รีวิว The Victims’ Game สืบสวนสะเทือนขวัญ สั่นอารมณ์ด้วยจิตวิญญาณลึกซึ้งคมคายแบบเอเชีย ห้ามพลาด!
The Victims' Game
สรุป
ซีรีส์สืบสวนที่บรรจงสร้างมาแบบพิถีพิถันมากทุกรายละเอียด งานโปรดักชั่นดีไซน์ต่างๆ มีความสมจริงสูงมาก บทออริจินอลเขียนขึ้นมาใหม่ โดยมีทีมงานมืออาชีพมาช่วยขัดเกลาให้ลงลึกได้อารมณ์จากประสบการณ์จริง มีมุมมองตัวเอกที่เป็นโรครับรู้อารมณ์คนอื่นไม่ได้เป็นหัวใจหลักของเรื่อง ผ่านโลกของการสืบสวนแบบนิติเวช ที่ช่วยค้นหากลับไปยังชีวิตของเหยื่อที่มีเรื่องราวเป็นเอกเทศอย่างน่าติดตาม พร้อมด้วยมุมมองปรัชญาชีวิตแบบเอเชียที่ชวนให้ถกกันทางความคิด ละเมียดละไมสะเทือนใจจนเสียน้ำตาได้เลย
Overall
9.5/10User Review
( votes)Pros
- ตัวเอกที่เป็นโรค “แอสเพอร์เกอร์” ชวนให้หงุดหงิด แต่ก็สมจริงไปพร้อมกัน
- เจาะรายละเอียดโลกของนิติเวช ตำรวจ นักข่าวที่มีความสัมพันธ์กันทั้งหมด
- งานโปรดักชั่นดีไซน์ต่างๆ มีความสมจริงสูงมาก
- เรื่องเดินไปไวต่อเนื่องตลอดเวลา ไม่มีช่วงอืดเลยแม้แต่น้อย
- ศพในเรื่องสุดสยองสมจริง
- มุมมองปรัชญาชีวิตที่คมคายลึกซึ้ง
- นักแสดงทุกคนเข้าถึงอารมณ์
- นางเอกสุดเซ็กซี่และฉลาดไหวพริบดี
- มีเผยเบื้องหลังงานสร้างทุกตอนหลังเอนด์เครดิตที่ช่วยทำให้เรื่องลึกซึ้งสมบูรณ์มาก
- เรื่องราวจบสมบูรณ์เคลียร์หมดทุกปมได้อย่างสวยงาม
Cons
- บางจุดดูรวบรัดข้ามไปให้พระเอกเอาตัวรอดได้แบบไม่เคลียร์จนคาใจนิดๆ
- รอยต่อของตอน 7 ไปยังตอน 8 ขาดการอธิบายด้วยภาพ ทำให้รู้สึกเกินจริงไป (แม้จะพอเข้าใจว่าเป็นไปได้)
- เมื่อแรกดูอาจจะรำคาญกับความประหลาดของพระเอก รวมถึงเหตุผลหลายอย่างที่คาใจ ต้องใช้เวลาให้เรื่องอธิบายหลายอย่างไปจนจบถึงเคลียร์
The Victims Game เจาะจิต ปิดเกมล่าเหยื่อ หนังสืบสวนคดีฆาตกรรมต่อเนื่องของ Netflix จากทีมผู้สร้างไต้หวัน ผ่านโลกของตัวเอกนิติเวชที่เป็นโรค แอสเพอร์เกอร์ บกพร่องทางการรับรู้อารมณ์ จนเข้าสังคมกับใครไม่ได้ แต่เต็มไปด้วยปรัชญาชีวิตลึกซึ้งคมคายในแบบเอเชีย โดยที่ยังชวนสยองระทึกขวัญไปพร้อมกัน
ตัวอย่าง The Victims Game เจาะจิต ปิดเกมล่าเหยื่อ
หมายเหตุ: บทความนี้เขียนโดยตั้งใจหลีกเลี่ยงสปอยล์มากถึงมากที่สุด เพื่อคงอรรถรสการรับชมซีรีส์เรื่องนี้ไว้ให้มากที่สุด แต่ก็ทำให้ไม่สามารถลงลึกได้เช่นกันครับ
ซีรีส์เรื่องนี้ตัวเอก “ฟางอี้เริ่น” เป็นตำรวจนิติเวชที่มีความสามารถวินิฉัยอะไรต่างๆ ได้ละเอียดมาก แต่เบื้องลึกมาจากการที่เขาเป็นโรค แอสเพอร์เกอร์ (Asperger’s Disorder) โรคบกพร่องทางพัฒนาการกลุ่มเดียวกับออทิสติก มีลักษณะบกพร่องในการเข้าสังคมปกติ ไม่สามารถรับรู้เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของคนอื่นได้ ทำให้ตอบสนองกลับไปแบบผิดความหมาย ตัวเขาเองจึงหมกหมุ่นอยู่กับงานมากกว่าคนปกติหลายเท่า แรกๆ ดูอาจจะรู้สึกว่าตัวละครนี้น่ารำคาญมากถึงมากที่สุด ดูล้นๆ เหมือนแสดงเกินเบอร์ทางอารมณ์ไปเยอะ แต่รับรองว่านี่เป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมและเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องนี้ที่จะพาคนดูค่อยๆ ดิ่งลึกลงไปยังจุดดำมืดที่สุดของเรื่องราวทั้งหมด ที่ทุกตัวละครมีความหมายลึกซึ้งคมคายกับชีวิต แม้ภาพรวมโทนเรื่องจะเป็นการสืบสวนไล่ล่าฆาตกรรมต่อเนื่องหฤโหดก็ตามที
เรื่องราวเปิดมาเป็นคดีฆาตกรรมสุดสยอง เหยื่อถูกละลายด้วยกรดจนเสียชีวิต ตัวเอก “ฟางอี้เริ่น” เข้ามาตรวจพื้นที่ แล้วก็พบกับหลักฐานบางอย่างที่ชี้นำไปถึงลูกสาววัย 17 ปี ของเขาที่ไม่ได้ติดต่อกันมานานและหายตัวไปหลังหย่าร้างกับภรรยา ซึ่งบทนำตอนแรกของเรื่องนี้ถูกใช้เป็นแม่แบบในการเล่าเรื่องทุกตอนลักษณะเดียวกันคือ เปิดมาตอนต้นจะเป็นการพบเจอซากของเหยื่อรายใหม่ ที่ตายด้วยวิธีพิสดารต่างกัน รวมถึงมีแมสเซจบางอย่างหลงเหลือไว้ในที่เกิดเหตุ ให้ฟางอี้เริ่นได้ปะติดปะต่อเรื่องราวในคดีที่เชื่อมโยงไปถึงอดีตของเขากับลูกสาว และด้วยสถานะตำแหน่งรุ่นพี่นิติเวช เขาจึงเข้าถึงหลักฐานและตัดตอนทุกอย่างไม่ให้สาวถึงลูกสาวที่สูญหายไปได้ พระเอกในเรื่องนี้จึงถือว่ากระทำความผิดและกลายเป็นอาชญากรซ่อนกายคนหนึ่งในสถานีตำรวจแห่งนี้ ที่เรื่องเดินไปแบบให้เขาลงไปสืบสวนในที่เกิดเหตุเองแบบลับๆ ล่อๆ เพราะไม่ได้มีหน้าที่สืบสวนโดยตรง และด้วยการที่เขาเป็น แอสเพอร์เกอร์ ทำให้การเข้าไปพูดคุยกับผู้คนแปลกหน้าเป็นอะไรที่ยากลำบากยิ่งกว่าการหาหลักฐานพยานวัตถุมาพิสูจน์ซะอีก
อีกด้านหนึ่งเนื้อเรื่องจะพาเราไปพบกับตัวละครนักข่าวสาว “ชูไห่ยิน” ที่เข้ามาติดตามหาข่าวคดีนี้ด้วยวิธีนอกกรอบแบบไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น เธอเป็นเหมือนนางเอกของเรื่องนี้ในทางหนึ่ง แต่เรื่องราวไม่ได้เดินไปในทางโรแมนติกใดๆ ทั้งสิ้น บทของชูไห่ยินเป็นเหมือนการนำเสนอโลกอีกด้านของคดีฆาตกรรมในมุมนักข่าว ตัวละครนี้แม้ภาพลักษณ์ตอนแรกอาจจะดูใส่มาเพื่อเน้นสวยเซ็กซี่ แต่เมื่อเรื่องดำเนินไปเรื่อยๆ เราจะได้เห็นว่าหนังไม่ได้นำจุดนี้มาใช้ล่อหลอกให้คนมาติดตามดูเลย แต่เป็นเรื่องราวที่เข้มข้นของการทำงานขุดคุ้ยข่าวที่หลายๆ อย่างเปราะบางและกระทบต่อสังคม เธอจะเป็นตัวละครที่เดินคู่กับพระเอก และเป็นตัวแทนคอยพูดคุยเติมเต็มส่วนที่พระเอกทำได้ลำบากอย่างการโน้มน้าวใจผู้คนให้เปิดเผยเรื่องราวที่ปิดซ่อนอยู่ในใจออกมา และตัวเธอเองก็ก็มีปมปริศนาในอดีต เป็นหนึ่งในคำตอบของเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
ส่วนในมุมของตำรวจเรื่องถูกเล่าโดยตัวละคร หัวหน้าตำรวจสืบสวน “ควาน” ที่พึ่งรับตำแหน่งนี้ และก็ประเดิมด้วยคดีแรกที่สุดพิสดาร หมิ่นเหม่และท้าทายตำแหน่งใหม่ของเขามากเช่นกัน ซึ่งควานจะเป็นตัวละครที่แสดงการทำงานของตำรวจร่วมกับนิติเวชเพื่อคลี่คลายคดี แต่มีกระบวนการทำงานแตกต่างกันมาก มีความขัดแย้งเห็นไม่ตรงกันหลายอย่าง ระหว่างเซ้นส์ของการสืบสวนกับหลักฐานที่เก็บพิสูจน์มาและอาจจะถูกบิดเบือนได้อย่างในกรณีของเรื่องนี้ที่ “ฟางอี้เริ่น” ตัวเอกของเรื่องตั้งใจปกปิดบิดเบือนหลักฐาน ควานจึงเป็นตัวละครที่ทั้งสืบไล่ล่าฆาตกรกับตามรอยความจริงที่ถูกปกปิดไว้พร้อมกัน และในอีกมุมหนึ่งลูกน้องของเขาเองก็แอบทำงานลับๆ ให้กับนักข่าว “ชูไห่ยิน” ด้วยเช่นกัน
ซึ่งทั้ง 3 ตัวละครหลักนี้เป็นเมนหลักของเรื่องที่ต้องการให้เห็นโลกของการทำงานของ ตำรวจ นิติเวช นักข่าว ที่ทุกฝ่ายมีเป้าหมายเดียวกันคือคลี่คลายความจริงออกมา แต่มีวิธีการทำงานและปัญหาอุปสรรคแตกต่างกัน ก็ต้องมาทำงานร่วมกันในหลายแง่มุม หนังนำเสนอโลกตรงนี้ออกมาได้อย่างละเอียด เผยให้เห็นความสัมพันธ์ในแบบสมจริง ซึ่งต้องบอกว่าตัวเรื่องนี้งานโปรดักชั่นใส่ใจในรายละเอียดมากทุกจุด เราจะได้เห็นการเผยเบื้องหลังงานสร้างทุกตอนต่อจากท้ายเอนด์เครดิต ความยาวประมาณ 10 นาที แนะนำว่าควรดูร่วมกันทุกตอน เพราะจะทำให้เข้าใจอะไรลึกซึ้งขึ้นอีกมาก (แม้ว่าตัวเรื่องจะเผยออกมาแล้ว) ซึ่งตั้งแต่บท วิธีการพูด คิด กระทำ การจำลองกายภาพศพที่ตายแบบพิสดาร ทุกอย่างในเรื่องมีการใช้บุคคลมืออาชีพที่ทำงานด้านนี้จริงๆ ลงมาให้ข้อมูลช่วยปรับรุงแก้ไขให้ดีที่สุด ตลอดเวลาที่เราดูจะสังเกตุได้ถึงความสมจริงใส่ใจในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ตลอดเวลา แม้กระทั่งการแสดงอารมณ์ที่ควรจะเป็นของตัวละคร ยกตัวอย่าง บรรณาธิการข่าวจะรู้สึกยังไงเมื่อมีเหตุฆาตกรรมสะเทือนขวัญ ที่ต้องยิ้มลึกๆ แบบยินดีปรีดากับข่าว มากกว่าความสลดหดหู่ในกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และด้วยความใส่ใจในรายละเอียดมากแบบนี้ จึงทำให้หนังมีความรู้สึกสมจริงมาก แม้ว่าเรื่องราวจะโอเว่อร์เกินจริงกับคดีฆาตกรรมที่ยิ่งตามรอยยิ่งใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ
โดยปกติแล้วสืบสวนแนวนี้มักจะมุ่งเน้นไปที่ตัวฆาตกร แต่ว่าเรื่องนี้กลับกันโดยมุ่งเน้นไปที่การสำรวจชีวิตจิตใจของผู้ตกเป็นเหยื่อ หนังจึงให้พระเอกมีอาชีพเป็นนิติเวชที่ต้องทำงานตรวจสอบหลักฐานย้อนกลับไปหาตัวตนชีวิตของเหยื่อก่อนตาย ซึ่งเป็นมุมมองใหม่ของแนวนี้เลยก็ว่าได้ เหยื่อแต่ละรายในเรื่องนี้จึงมีเรื่องเล่าย้อนกลับจากศพไปหาตอนมีชีวิต โดยใช้การเล่าแบบเปิดเรื่องทุกตอนไว้ก่อนไตเติลสักเล็กน้อย แล้วระหว่างเรื่องก็มีการแฟลชแบ็คกลับไปเป็นระยะๆ โดยไม่ทิ้งตัวละครไหนไป และตัวบทยังให้น้ำหนักเหยื่อแต่ละรายเท่าเทียมกัน ซึ่งนักแสดงที่มารับบทเหยื่อแต่ละคนก็รีดเค้นการแสดงที่เยี่ยมยอดมาก ดูแล้วสะเทือนจิตใจไปกับโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นมาก
แต่สิ่งที่ดีงามมากจริงๆ ในเรื่องนี้แบบที่ส่วนตัวเองก็แทบจำไม่ได้ว่าเคยดูหนังสืบสวนฆาตกรรมด้วยอารมณ์แบบนี้มาก่อน คือ “ปรัชญาชีวิตแบบคนเอเชีย” ที่เป็นแมสเซจสำคัญที่ถ่ายทอดมาในเรื่องแบบ “คมคายและงดงามมาก” แม้ว่าเปิดเรื่องมาหนังอาจจะดูเป็นเหมือนแนวฆาตกรรมสยองขวัญโดยทั่วไป แต่พอหนังได้เฉลยความจริงชุดแรกออกมาที่ตอน 3 เราจะเข้าใจเรื่องราวที่แท้จริงขึ้นมาทันที และก็ชวนให้คิดถกเถียงกับเรื่องราวต่อไปว่าอะไรผิด อะไรถูก หรือสิ่งนี้ไม่ควรมีใครมาตัดสินได้ ซึ่งนั่นคือจุดพลิกอารมณ์ของเรื่องครั้งแรก และเรื่องราวที่เหลือก็ไม่ได้หมดพลัง แต่กลับยิ่งลุกลามใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงไม่ทิ้งประเด็นใดๆ ตกหายไประหว่างทางเลยแม้แต่นิดเดียว
ในตอน 7 ก่อนจบตัวเรื่องส่งพลังความรู้สึกพลุ่งพลานทางอารมณ์จนถึงที่สุด เป็นการเดินเรื่องเพื่อมายังจุดก่อนสุดท้ายที่เราจะพบคำตอบของความหมายต่างๆ ในเรื่องที่คาใจหรืออาจจะดูไม่สมเหตุผลในสายตาคนดูมาตลอด อย่างการให้พระเอกเป็นโรคแอสเพอร์เกอร์ทำไม? คนเป็นโรคบกพร่องกับเพื่อนมนุษย์ในสังคมแบบนี้แต่งงานมีลูกได้ยังไง? ต้องบอกเลยว่าหาไม่ได้ในหนังสืบสวนฝรั่งแน่นอน อีกนัยหนึ่งตัวเรื่องก็เหมือนเป็นการเดินทางไปสู่จุดเปลี่ยนของจิตใจแนว Coming of Age ของตัวเอก “ฟางอี้เริ่น” ที่สะเทือนใจและกินใจไปพร้อมกับใส่ความหวังลงไปในจุดที่ดำมืดที่สุดในชีวิต
แม้เรื่องจะคลี่คลายทั้งหมดไปในตอน 7 ก่อนจบที่ตอน 8 ซึ่งดูเหมือนไม่น่ามีอะไรอีกแล้ว แต่กลายเป็นตอน 8 คือตอนที่ดีงามและเป็นบทสรุปของทุกตัวละครในแบบเรียลสมจริง ไม่ได้มีปรุงแต่งให้ดูล้นเกินกว่าที่ควรจะเป็น ใครทำอะไรไว้ก็ได้ผลนั้นกลับไปทุกคน ซีรีส์สร้างตอน 8 เป็นช่วงดราม่าพร้อมถกเถียงด้วยปรัชญาชีวิตที่ลึกซึ้ง อย่างประโยคหนึ่ง
“ถ้าเมล็ดข้าวสาลีไม่ร่วงลงพื้น มันก็เป็นแค่เมล็ดข้าวเมล็ดเดียว ถ้ามันตาย และถูกฝังไว้ในดิน ก็จะมีต้นข้าวงอกเงยเพิ่มขึ้น”
ในตอน 8 มีข้อโต้เถียงกันระหว่างตัวละครสองฝั่ง ซึ่งเป็นมุมมองที่แตกต่างกัน และก็ไม่ได้ชี้ว่ามุมมองไหนผิดหรือถูกไปซะทั้งหมด แต่นำเสนอมุมมองทางเลือกใหม่ ที่อาจจะไม่ได้ดีกว่าในเวลาที่ตัวละครนั้นกระทำลงไป แต่ก็ช่วยให้เห็นสิ่งที่ริบหรี่รำไรท่ามกลางความมืดในจิตใจคนได้ ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ผู้สร้างไต้หวันเรื่องนี้บรรจงใส่มากลับคืนให้คนดูได้อย่างงดงาม และช่วยยกระดับให้เรื่องนี้เป็นซีรีส์สืบสวนฆาตกรรมที่มีคุณค่าต่อจิตใจผู้คนที่ได้ดูมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคนที่ตกอยู่ในชะตากรรมความรู้สึกเดียวกับในเรื่องด้วยครับ
ตัวเรื่อง The Victims Game แม้จบได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็มีแอบแง้มให้ทำต่อได้นิดๆ ไว้ ซึ่งเชียร์ให้ทำต่อมาก ผู้เขียนเองยังอยากดูเรื่องราวต่อไปของ “ฟางอี้เริ่น” ที่เป็นตัวเอกที่มีชีวิตไม่เหมือนคนปกติทั่วไป และก็มีอะไรอีกมายต่อไปจากตอนจบของเรื่องนี้ครับ
อัพเดทซีรีส์เรื่องนี้ได้ไฟเขียวทำ SS2 ต่อแล้วครับ ฉายปี 2022