รีวิว The Wasteland (Netflix) ความกลัวปีศาจในใจที่กลายมาเป็นเรื่องจริง? (ไม่สปอยล์)
The Wasteland แผ่นดินร้าง
สรุป
ถือเป็นหนังทุนต่ำของ Netflix ที่ทำออกมาดีเลย แต่อาจจะไม่ถึงกับดูสนุกนัก มีสไตล์งานภาพที่สวยเกินหน้าหนังทุนต่ำ ตัวเรื่องเล่นกับความกลัวในใจคนบนพื้นที่รกร้างว่างเปล่าได้ดี แต่การที่ต้องตีความเรื่องปีศาจว่ามีจริงหรือไม่จุดนี้อาจจะเป็นปัญหา เพราะทำให้ดูเป็นหนังแนวอินดี้ที่ดูยากอยู่เหมือนกัน ยิ่งถ้าเป็นคอหนังสยองขวัญโดยตรงคงไม่แนะนำเพราะไม่ตอบโจทย์ตรงนี้เลย และไม่ได้มีฉากแหวะหรือฉากน่ากลัวมากอย่างที่คิดด้วย
*เพิ่มสปอยล์อธิบายปีศาจมีจริงหรือไม่ในบทความตอนท้าย
Overall
6.5/10User Review
( votes)Pros
- งานภาพสวยเกินหน้าหนังทุนต่ำ
- การเล่นกับปีศาจในจิตใจคน
- สะท้อนปัญหาครอบครัวในวัยเด็ก
- ตัวละครน้อยเล่นกันทั้งเรื่องแค่หลักๆ 2 คน
- มีเสียงพากย์ไทย
Cons
- ความคลุมเครือในเรื่องปีศาจที่ต้องตีความตลอดทำให้ดูเข้าใจยากพอสมควร
- หนังพยายามกั๊กการเห็นปีศาจไว้นานจนคนดูอาจจะหมดความอดทนก่อน
- ไม่ได้มีฉากแหวะหรือฉากน่ากลัวมาก
The Wasteland แผ่นดินร้าง หนัง Netflix แนวสยองขวัญจากสเปน เรื่องราวของครอบครัวพ่อแม่ลูกที่หลีกหนีผู้คนในยุคสงครามไปใช้ชีวิตในดินแดนรกร้าง แต่ในความเวิ้งว้างนี้กลับก่อให้เกิดปีศาจความกลัวขึ้นมาแทน
ตัวอย่าง The Wasteland แผ่นดินร้าง
เน็ตฟลิกซ์ยังเป็นพื้นที่ให้โอกาสกับนักทำหนังหน้าใหม่เสมอ ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นหนังเรื่องแรกของผู้กำกับ David Casademunt ซึ่งก่อนนี้เป็นมือเขียนบทมาตลอดกับทำหนังสั้นเล็กๆ มาหลายเรื่อง ในแง่การให้โอกาสทดลองทำอะไรใหม่ๆ ด้วยทุนจำกัด ก็มีโอกาสเกิดได้เช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้เองก็อยู่ในข่ายเดียวกัน ถือเป็นหนังทุนต่ำที่มีตัวละครหลักเล่นกันอยู่ 2-3 คนเท่านั้นทั้งเรื่องกับโลเกชั่นบ้านหลังเดียว แต่ก็ถือว่ามีอะไรหลายอย่างที่ดีพอตัวเลยทีเดียว
เรื่องย่อ
เนื้อเรื่องเกริ่นนำว่า สเปนในศตวรรษที่ 19 ประสบปัญหาจากสงครามต่อเนื่องทำให้ประเทศได้รับความเสียหาย ทำให้ผู้คนตัดสินใจแยกตัวออกไปจากสังคม ซึ่งครอบครัวในเรื่องนี้ก็เช่นกันมีเพียงพ่อแม่ลูก 3 คน อาศัยอยู่ในพื้นที่ร้างห่างไกลผู้คน ดำเนินชีวิตไปตามปกติ แต่หลังจากนั้นความกลัวก็เกาะกินในใจเข้ามา เมื่อพวกเขาเริ่มเห็นปีศาจปรากฎตัวขึ้นในที่แห่งนี้…
รีวิว The Wasteland
หนังเรื่องนี้เป็นหนังสยองขวัญทุนต่ำก็จริง แต่กลับดูแพงกว่าที่เห็นพราะงานภาพในเรื่องนี้ทั้งมุมกล้อง งานภาพ โทนการเล่นแสงสี ทุกอย่างดูศิลป์สวยงามกว่าหนังทุนต่ำโดยปกติ โดยเฉพาะภาพมุมกว้างกับพื้นที่รกร้างว่างเปล่ากับพล็อตที่มีตัวละครหลักแค่ 3 คน ยิ่งส่งเสริมให้ดูเข้ากันดี ทำให้ตัวหนังดูดีมีระดับขึ้นมาก จนเหมือนหนังลงโรงมากกว่าทุนเน็ตฟลิกซ์โดยทั่วไป ซึ่งนี่เป็นจุดเด่นดึงดูดสุดของเรื่องนี้มากกว่าเรื่องปีศาจสยองขวัญในเรื่องซะอีก
ส่วนแนวสยองขวัญในเรื่องนี้ก็ไม่ใช่แนวผีปีศาจไล่ฆ่าคน แต่เป็นแนวหลอกหลอนที่เล่นกับจิตใจตัวละครกับคนดูไปพร้อมกัน ซึ่งตัวเรื่องจะเริ่มจากเรื่องเล่าของพ่อที่ตั้งใจขู่ลูกให้กลัวด้วยการบรรยายรูปร่างหน้าตาปีศาจที่คอยตามหาเป้าหมายคนอ่อนแอ ซึ่งในที่นี่ก็คือลูกของเขาที่เป็นเด็กจิตใจดี ไม่ยอมลงมือฆ่ากระต่ายที่เลี้ยงไว้เพื่อมาเป็นอาหารตามคำสั่งของพ่อ หรือการที่ไม่ยอมฝึกหัดยิงปืนที่พ่อมอบให้เป็นของขวัญ ในขณะที่แม่ก็พยายามปกป้องลูกจากความรุนแรงที่พ่อพยายามฝึกสอนให้ลูกเอาตัวรอดในที่แห่งนี้ แต่ในเรื่องเล่าของพ่อเองก็เหมือนมีบางอย่างแฝงอยู่ว่าพ่อเชื่อว่าปีศาจนั้นมีจริง ก่อนที่ต่อมาแม่ก็เริ่มเห็นบางสิ่งที่ตรงกับเรื่องที่สามีของเธอเล่าให้ลูกฟัง เจ้าสิ่งนี้ปรากฎตัวขึ้นมาไกลๆ ในละแวกนั้น ก่อนจะค่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนถึงตัวบ้านในที่สุด ซึ่งฉากปีศาจในเรื่องนี้มาในรูปแบบคลุมเครือตั้งแต่เรื่องเล่าแล้วว่า พ่อนั้นเชื่อเรื่องที่ตัวเองเล่าจริงหรือไม่? แล้วเขาเคยเห็นปีศาจที่ว่านี้ด้วยตาตัวเองหรือไม่? จนมาถึงการปรากฏตัวในสายตาของแม่ที่เธอเริ่มเห็นมันใกล้เขามาเรื่อยๆ จนเธอเริ่มบ้าคลั่งอันตรายกับลูกขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ลูกกลับไม่เห็นอะไรแบบที่แม่เห็นเลย ซึ่งในมุมคนดูเองก็ต้องตัดสินใจตีความสิ่งที่เห็นด้วยว่า เรื่องจริงเป็นอย่างไรกันแน่ตั้งแต่ปีศาจเริ่มปรากฎตัวออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ (แอบคล้ายๆ Pan’s Labyrinth อัศจรรย์แดนฝัน มหัศจรรย์เขาวงกต อยู่บ้างในมุมหนึ่ง)
ต้องบอกก่อนว่าใครที่คิดว่าจะมีฉากปีศาจโผล่มาเต็มๆ ในเรื่องนี้ไม่มีแบบนั้น เพราะการที่เรื่องพยายามทำให้เจ้าสิ่งนี้ดูคลุมเครือคือคอนเซ็ปต์การเล่นกับความกลัวในใจคนของเรื่องนี้ คล้ายๆ กับที่เรามักมองเห็นอะไรในเวลากลางคืนน่ากลัวไปหมด จิตที่ฟุ้งจินตนาการขึ้นมาเองแวบๆ คือการปรากฎตัวของปีศาจในเรื่องนี้ ซึ่งการที่เรื่องใช้วิธีแบบนี้ก็ทำให้ผู้ชมที่ตั้งใจรอดูตัวเต็มๆ หรือต้องการฉากสยองขวัญ ฉากแหวะตามสูตรหนังแนวนี้อาจจะเบื่อไปก่อนก็ได้ เพราะหนังแม้ยาวแค่ชั่วโมงครึ่ง แต่ก็เล่นกับแนวจิตฟุ้งยาวแทบทั้งเรื่องไปจนจบ แต่ถ้าอดทนรอไหวก็มีบางฉากที่ได้เห็นเต็มๆ ด้วยเช่นกัน (โดยที่ต้องตีความอีกว่าใช่ปีศาจจริงหรือไม่อีกด้วย?) และก็มีฉากแหวะอยู่นิดๆ บางฉากให้พอเรียกว่าเป็นหนังสยองขวัญได้เท่านั้น
ด้วยความที่ตัวเรื่องมีกันแค่ 3 คน แต่โดยตัวหลักจริงๆ เป็นแม่กับลูกแค่นั้น การแสดงในเรื่องจึงเหมือนต้องแบกหนังไว้ด้วยในตัว ซึ่งในบทแม่ผู้อบอุ่นอ่อนโยนค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นแข็งกระด้าง มีความคล้ายพ่อในตอนแรกมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างในเรื่องจะมีฉากพ่อบังคับให้ลูกฆ่ากระต่าย แต่ตอนหลังกลายเป็นแม่ลงมือตรงนี้แทน โดยให้ลูกเลือกกระต่ายที่เลี้ยงมาให้เธอฆ่า หรือการใช้ปืนที่ในตอนแรกเธอไม่สนับสนุน ไปจนถึงการทวนกลับฉากเลี้ยงลูกในตอนแรกแบบอ่อนโยนมาเป็นแบบจิตไม่ปกติในเรื่องเดิมๆ อย่างการอาบน้ำในอ่างเดียวกัน การพาลูกไปเข้าห้องน้ำตอนกลางคืน นักแสดง Inma Cuesta ถ่ายทอดความน่ากลัวตรงนี้ขึ้นมาเรื่อยๆ ได้ดีมาก ส่วนลูกชายที่เป็นตัวหลักจริงๆ ของเรื่องก็เล่นได้ดีมากเช่นกัน จากบทเด็กที่อ่อนโยนรักสัตว์ไม่ทำอะไรรุนแรง ก่อนที่จะค่อยๆ เปลี่ยนไปเช่นกันแต่เพื่อความอยู่รอด และก็พยายามช่วยแม่จากปีศาจ ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองก็มองไม่เห็น ตัวนักแสดงเด็ก Asier Flores ก็ทำให้คนดูเชื่อตามในบทบาทนี้ได้เช่นกัน
เรื่องนี้มาแปลกอย่างคือเป็นหนังทุนต่ำที่มีเสียงพากย์ไทยมาด้วยเลยตั้งแต่วันแรก ซึ่งงานพากย์ก็มีคุณภาพดีด้วย ผู้เขียนลองสลับฟังทั้งสเปนกับไทย พบกว่าดูพากย์ไทยเลยดีกว่าเสียงสเปนที่ไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไหร่
สรุป The Wasteland หนังสนุกดีหรือไม่?
ถือเป็นหนังทุนต่ำที่ทำออกมาดีเลย อาจจะไม่ถึงกับดูสนุกนัก แต่มีสไตล์งานภาพที่สวยเกินหน้าหนังทุนต่ำ ตัวเรื่องเล่นกับความกลัวในใจคนบนพื้นที่รกร้างว่างเปล่าได้ดี แต่การที่ต้องตีความเรื่องปีศาจว่ามีจริงหรือไม่จุดนี้อาจจะเป็นปัญหา เพราะทำให้ดูเป็นหนังแนวอินดี้ที่ดูยากอยู่เหมือนกัน สำหรับคอหนังสยองขวัญโดยตรงคงไม่แนะนำเพราะไม่ตอบโจทย์ และไม่ได้มีฉากแหวะหรือฉากน่ากลัวมากอย่างที่คิดด้วย
ปีศาจใน The Wasteland มีจริงหรือไม่? (มีสปอยล์)
เนื้อหาส่วนนี้เป็นการตีความของผู้เขียนเองในส่วนตัว หลายอย่างในเรื่องนี้ไม่ได้มีคำอธิบายตรงๆ ออกมาทั้งหมด อาจจะมีคำอธิบายที่ถูกต้องกว่านี้ในภายหลังก็ได้ อย่างกรณีของ Pan’s Labyrinth อัศจรรย์แดนฝัน มหัศจรรย์เขาวงกต ที่หนังทำให้เชื่อว่าเป็นจินตนาการ แต่ผู้กำกับมาเฉลยภายหลังแล้วว่าเป็นเรื่องจริงจากฉากหนึ่งในเรื่องที่แอบบอกใบ้ไว้
ตำนานปีศาจในเรื่องนี้เริ่มจากการเล่าของพ่อถึง “ฮัวน่า” พี่สาวตอนเด็กที่เริ่มพูดถึงปีศาจที่อยู่ภายในบ้านมาหาเธอ แต่เขากลับไม่เชื่อว่ามีจริง และไม่พยายามช่วยเธอ จนวันหนึ่งเธอกระโดดลงจากหน้าต่าง แต่จากคำบอกเล่าของแม่ที่บอกลูกว่าปีศาจไม่มีจริง ฮัวน่าถูกพ่อแม่ทำร้ายจนทำให้เธอฆ่าตัวตาย ทำให้สันนิษฐานได้ว่าฮัวน่าคงโดนพ่อล่วงละเมิดทางเพศในตอนนั้นด้วย เพราะในเรื่องเล่ามีความพยายามบอกว่าปีศาจมาที่ห้องนอนที่เตียง และพ่อก็น่าจะรับรู้เรื่องนี้ในวัยเด็ก แต่ทำอะไรไม่ได้ เขาถึงบอกลูกว่าถ้าเห็นปีศาจแล้วก็จะมีเคราะห์กรรมตลอดชีวิต เป็นความเจ็บปวดที่ฝังอยู่ในใจ เขาจึงปรับเปลี่ยนเรื่องเล่านี้ให้ดูเป็นเรื่องของปีศาจไปแทน
หลังจากที่พ่อไม่กลับบ้าน แม่ก็เชื่อว่าเขาตายแล้ว ความหวาดระแวงจากการใช้ชีวิตท่ามกลางความไม่แน่นอนของสงคราม ประกอบกับความเศร้าโศกของการสูญเสียสามี มีแนวโน้มว่าเธอจะเริ่มมีอาการป่วยทางจิต เธอแสดงอาการซึมเศร้ากับหวาดระแวง ก่อนพยายามฆ่าตัวตายด้วยการผูกคอ แต่ก็รอดเพราะดิเอโกช่วยไว้ จากนั้นเธอก็ไล่ดิเอโกออกจากบ้านโดยบอกว่าปีศาจต้องการแค่ตัวเธอแล้วขังตัวเองไว้ ดิเอโกใช้ขวานพังประตูเข้ามาและเห็นแม่มีมีดในมือกับบาดแผลที่คอ จึงน่าจะเป็นความพยายามฆ่าตัวตายอีกครั้ง จากจิตที่วิกลจริตของเธอเอง
ในทำนองเดียวกัน ดิเอโกที่ยังเป็นเด็กถูกนำมาเลี้ยงในที่ห่างไกลผู้คน เพื่อนเพียงคนเดียวของเขาคือกระต่าย ซึ่งเขาถูกบังคับให้ฆ่าและกินมันเพื่อความอยู่รอด การฟังเรื่องราวเกี่ยวกับปีศาจจากพ่อ และการเห็นแม่หวาดระแวงมากขึ้นเรื่อยๆ อาจส่งผลต่อจิตใจของดิเอโกด้วยเช่นกัน ซึ่งสิ่งที่ดิเอโกเห็นว่าเป็นปีศาจตั้งแต่แรกๆ มาจากความกลัวในเวลากลางคืนของเด็ก อย่างการที่ต้องไปเข้าห้องน้ำนอกบ้านเพียงคนเดียวที่เรื่องพยายามสื่อถึงตรงนี้มาตลอด ซึ่งที่นั่นก็มีหุ่นไล่กา เสา หุ่นแกะสลักในบ้านของพ่อ ที่ทำให้เด็กที่จิตใจเปราะบางจากการเสียพ่อไปและแม่เริ่มเล่าถึงปีศาจ ก็ทำให้เขาเกิดจินตนาการสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาตามแม่ไปด้วย แต่เนื่องจากดิเอโกเอาชนะความกลัวได้ ปีศาจที่เขาจินตนาการจึงไม่สามารถทำร้ายเขาได้ อ้างอิงจากที่พ่อของเขาพยายามให้ลูกเข้มแข็งไม่อ่อนแอในตอนแรก ถ้าอ่อนแอปีศาจจะมาหา และในตอนจบดิเอโกมีบาดแผลที่มือเอาผ้าพันเหมือนกับพ่อ เป็นการแทนความหมายว่าดิเอโกเองก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกับพ่อที่เล่าเรื่องปีศาจในตอนแรกให้ฟัง