รีวิว The Wheel of Time SS3 (Prime) ยกระดับความอลังการเป็นมหากาพย์แฟนตาซีระดับโลก
The Wheel of Time ss3
Summary
ซีซั่น 3 ที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่ได้เพียงแค่ตามกระแสซีรีส์แฟนตาซี แต่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง เนื้อหาหนักแน่นด้วยดราม่าการเมืองในโลกที่สมจริง ที่ตัวละครสามารถพลิกบทบาทไปมาได้ตลอดเวลา บทมีคุณภาพสูงแม้จะมีการปรับเปลี่ยนจากนิยายต้นฉบับ งานสร้างประณีตและทุ่มทุนสร้าง แสดงให้เห็นว่าทีมงานได้ค้นพบทิศทางของตัวเองอย่างแท้จริง
Overall
9/10User Review
( votes)Pros
- การเติบโตของตัวละครชัดเจน
- เส้นเรื่องฝั่งตัวร้ายโดดเด่น
- งานสร้างยกระดับขึ้นมาก
- ดราม่าการเมืองเข้มข้น
- มีพากย์ไทย
Cons
- เส้นเรื่องของไนนีฟเอื่อยไป
- เส้นเรื่องหลายตัวละครเยอะมาก
ADBRO
The Wheel of Time ss3 นำเสนอเรื่องราวการเดินทางของแรนด์ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งทั้งภายในและภายนอก พร้อมความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างตัวละครหลัก ซึ่งทั้งหมดนี้นำไปสู่การเผชิญหน้าครั้งสำคัญที่กำลังจะมาถึง
รีวิวซีซั่น 2 https://www.playinone.com/folkplay/the-wheel-of-time-season-2-review-netflix/
รีวิว The Wheel of Time SS3 (มีสปอยล์บางส่วน)
ความตึงเครียดและตัวร้ายที่น่าจับตา
ซีซั่นนี้เปิดเรื่องด้วยความแตกแยกในหอคอยขาว พร้อมการปรากฏตัวของเหล่าผู้ละแสงที่ถูกปลุกขึ้นมา โดยเฉพาะมอเกเดียนที่แม้จะอ่อนแอที่สุด แต่กลับสามารถจับกุมลานเฟียร์ไว้ได้ตั้งแต่ตอนจบซีซั่น 2
ความน่าสนใจของฝ่ายผู้ละแสงไม่ได้มีเพียงการไล่ล่าตัวเอกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการห้ำหั่นกันเองด้วยกลยุทธ์และเล่ห์เหลี่ยมต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีลีอันดริน อาจาห์แดงผู้ทรยศที่หันไปเป็นอาจาห์ดำ และพยายามก้าวขึ้นมาเป็นผู้ละแสงในยุคใหม่
แม้ฉากของตัวร้ายเหล่านี้จะปรากฏเป็นช่วงๆ แต่ทุกครั้งที่พวกเขาโผล่มา เรื่องราวจะพลิกผันจนคาดเดาไม่ได้ ทำให้เส้นเรื่องของฝ่ายตัวร้ายมีความโดดเด่นและน่าติดตามไม่แพ้ฝ่ายตัวเอกเลยทีเดียว
เส้นทางของแรนด์ อัล’ธอร์
เนื้อเรื่องหลักติดตามแรนด์ในการเดินทางเพื่อหากองทัพสำหรับศึกใหญ่ครั้งสุดท้าย โดยเขาได้เดินทางไปตามวิถีของชนเผ่าไอเอล ที่เชื่อว่าเขาคือผู้นำตามคำทำนาย
การเดินทางนี้ทำให้แรนด์ได้ค้นพบความจริงเกี่ยวกับอดีตของตัวเองและลานเฟียร์ ซึ่งย้อนไปไกลถึงต้นกำเนิดในยุคหลายพันปีก่อน ขณะที่มอแรนต้องเผชิญกับภาพอนาคตในรูปแบบต่างๆ และพยายามยอมรับชะตาชีวิตของตน
ความสัมพันธ์ระหว่างแรนด์กับเอเกวนก็เริ่มแตกร้าว เมื่อเอเกวนได้เรียนรู้การใช้พลังใหม่ในฝันกับชาวไอเอล และเริ่มมีเป้าหมายที่แตกต่างไปจากแรนด์ ในขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างแรนด์กับลานเฟียร์กลายเป็นกุญแจสำคัญในการตัดสินชะตากรรมระหว่างแสงและความมืด
เพร์รินกับการกลับบ้าน
เพร์รินเดินทางกลับทูริเวอร์ส บ้านเกิดของเขา และต้องเผชิญกับความท้าทายในการเป็นผู้นำหมู่บ้าน แม้จะปรารถนาความสงบสุข แต่เขากลับต้องเผชิญกับความรุนแรงจากการไล่ล่าของเสื้อคลุมขาวที่มองว่าเขาเป็นภัยร้ายเช่นเดียวกับพวกอายเซได
เส้นเรื่องของเพร์รินมีการแนะนำตัวละครนางเอกคนใหม่ และมีฉากรบครั้งใหญ่กับโทรลลอคในตอนที่ 7 ซึ่งเป็นช่วงที่ทำให้เพร์รินได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ โดยมีอลันนา อายเซไดอาร์จาเขียวคอยช่วยเหลือ เพราะเธอเชื่อว่าชาวบ้านในหมู่บ้านนี้คือลูกหลานของวีรบุรุษในตำนานที่เธอตามหา
ไนนีฟกับภารกิจของเธอ
ไนนีฟรวมกลุ่มกับแมทและองค์หญิงเอเลย์น แม้พวกเขาจะไม่ได้มีบทบาทสำคัญในเส้นเรื่องหลักของซีซั่นนี้มากนัก แต่ก็มีภารกิจในการติดตามลีอันดรินที่กำลังตามหาปลอกแขนพิเศษ—อุปกรณ์ควบคุมที่สร้างขึ้นเพื่อควบคุมผู้ชาย โดยเป้าหมายของลีอันดรินคือการควบคุมแรนด์
แม้เส้นเรื่องนี้จะค่อนข้างยืดเยื้อ แต่ก็มีความสำคัญเนื่องจากเป็นจุดเริ่มต้นในการปลุกพลังของไนนีฟ โดยมีมอเกเดียน ผู้ละแสงคนหนึ่ง คอยติดตามการเดินทางของพวกเขาอยู่ตลอด
การเมืองในหอคอยขาว
ในหอคอยขาวมีเกมการเมืองที่ซับซ้อน โดยมีเอไลดาเป็นตัวละครสำคัญ เธอเป็นอาจาห์แดงที่เคยชิงตำแหน่งประมุขกับสวอนและพ่ายแพ้ไป เอไลดากลับมาในช่วงที่หอคอยขาวกำลังสั่นคลอนจากการบุกของอาร์จาดำ
การชิงอำนาจกลับคืนของเอไลดานั้นเข้มข้นและน่าติดตามทุกย่างก้าว รวมถึงการค้นหาว่าใครในหอคอยที่แท้จริงแล้วเป็นอาร์จาดำ อย่างไรก็ตาม ช่วงตอนจบของสวอนนับเป็นฉากที่ทรงพลังและน่าประทับใจที่สุดในซีซั่นนี้
การเติบโตของตัวละคร
ซีซั่น 3 คือช่วงเวลาแห่งการเติบโตของตัวละครทั้งหมด หลังจาก 2 ซีซั่นแรกที่พวกเขายังต้องพึ่งพาผู้ชี้นำ แต่ในซีซั่นนี้ ทุกตัวละครมีเป้าหมายของตัวเอง เติบโตขึ้น และมีพลังมากขึ้น ทำให้แต่ละคนเสมือนเป็นตัวเอกที่น่าติดตาม
งานสร้างในซีซั่นนี้ยกระดับความอลังการอย่างเห็นได้ชัด ทั้งฉากต่อสู้ด้วยพลังที่น่าทึ่ง และฉากโลเคชั่นใหม่อย่างเมืองในทะเลทรายซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเรื่องราวทั้งหมด เป็นครั้งแรกที่ซีรีส์นี้แสดงให้เห็นถึงองค์ประกอบไซไฟในโลกแฟนตาซี ทำให้ The Wheel of Time ยกระดับขึ้นมาทัดเทียมกับซีรีส์แฟนตาซีชั้นนำเรื่องอื่นๆ
น่าเสียดายที่ Prime Video ยังไม่ไฟเขียวซีซั่น 4 และรอดูผลตอบรับอยู่ ทำให้ซีซั่นนี้ต้องใส่ทุกอย่างแบบ “หมดหน้าตัก” แม้เสียงวิจารณ์จะดีมาก แต่จำนวนผู้ชมก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญ ซีรีส์นี้จึงยังอยู่ในสถานะที่ไม่มั่นคง เหมือนลูกเมียน้อยที่อาจถูกตัดจบได้ทุกเมื่อ
สรุปโดยรวม The Wheel of Time ss3 พิสูจน์ให้เห็นว่าซีรีส์เรื่องนี้ไม่ได้เพียงแค่ตามกระแสแฟนตาซี แต่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง เนื้อหาหนักแน่นด้วยดราม่าการเมืองในโลกที่สมจริง ที่ตัวละครสามารถพลิกบทบาทไปมาได้ตลอดเวลา บทมีคุณภาพสูงแม้จะมีการปรับเปลี่ยนจากนิยายต้นฉบับ งานสร้างประณีตและทุ่มทุนสร้าง แสดงให้เห็นว่าทีมงานได้ค้นพบทิศทางของตัวเองอย่างแท้จริง เหลือแค่จะได้ทำต่อหรือไม่ต้องรอลุ้นกันต่อไปครับ