รีวิว The Whole Truth ปริศนารูหลอน ซับซ้อนยำใหญ่หลายแนวแบบทื่อๆ
The Whole Truth
สรุป
เนื้อเรื่องพยายามทำให้ซับซ้อนด้วยการใช้หลายแนวมารวมกัน แต่กลายเป็นความพยายามทำให้เรื่องดูหักมุมแบบไม่เนียน จนดูทื่อๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉากผีหลอกก็ซ้ำๆ ไม่มีความแปลกใหม่ เหล่านักแสดงมีชื่อเสียงในเรื่องนี้ก็พร้อมใจเล่นกันเล่นใหญ่จนดูไม่เป็นธรรมชาติแข็งๆ ท่องบทพูดกันแบบชัดเจน จนทำให้ตัวหนังดูดรอปลงไปอีก เรียกว่าเป็นผลงานที่อาจจะน่าผิดหวังที่สุดของผู้กำกับ วิศิษฐ์ ศาสนเที่ยง เลยก็ได้
Overall
5.5/10User Review
( votes)Pros
- หนังผีที่รวมหลากหลายแนวไว้ด้วยกัน
- มีปันปันเป็นตัวเอกหลัก
- เนื้อเรื่องซับซ้อน แต่ไม่ทำให้งง
Cons
- ตัวหลอกกับหักมุมเยอะ แต่ไม่เนียนออกมาทื่อๆ
- ผีหลอกซ้ำๆ ในรูปแบบเดิม
- นักแสดงเล่นไม่เป็นธรรมชาติทั้งแอคติ้งกับบทพูด
- ซาวด์ประกอบตกใจใส่มาเยอะจนน่ารำคาญ
The Whole Truth ปริศนารูหลอน หนังผีไทยเรื่องล่าสุดจาก Netflix กำกับโดย วิศิษฐ์ ศาสนเที่ยง กับนักแสดงนำ กับ ปันปัน สุทัตตา เรื่องราวของรูลึกลับบนกำแพงบ้านตายายที่สองพี่น้องไปพบเจอ และกลายเป็นจุดเริ่มการเผยความลับดำมืดของครอบครัวนี้
ตัวอย่าง The Whole Truth ปริศนารูหลอน
หนังผีไทยของ Netflix เรื่องที่ 3 ต่อจาก สาวลับใช้ กับ GHOST LAB ซึ่งคราวนี้ได้ วิศิษฐ์ ศาสนเที่ยง ผู้กำกับดังจากหนังผีขึ้นหิ้งของไทยอย่าง เปนชู้กับผี ซึ่งตัวผู้กำกับเองมีงานหลากหลายแนว แต่ช่วงหลังจะเน้นจับแนวผีสยองขวัญเป็นหลักอย่าง รุ่นพี่, สิงสู่ มีเขียนนิยาย รุ่นน้อง ภาคต่อจากหนังรุ่นพี่ด้วย (มีคุมงานหนังเน็ตฟลิกซ์เรื่อง DEEP ด้วย) ซึ่งเท่ากับว่าผู้กำกับวิศิษฐ์ได้หันมาเอาดีด้านนี้จริงจัง อาจจะเพราะหลังจากอกหักจากหนังอินทรีแดงที่ไม่สามารถทำภาคต่อได้ ในฐานะที่เป็นแฟนผลงานของผู้กำกับคนหนึ่ง ผู้เขียนจึงค่อนข้างคาดหวังกับงานนี้ไว้มากว่าอาจจะเป็นผลงานที่พาผู้กำกับวิศิษฐ์ให้กลับมาดังได้ โดยเฉพาะเมื่อไม่มีปัญหาเรื่องงบประมาณอย่างที่ผ่านๆ มา กับการฉายในสตรีมมิ่งก็ไม่มีแรงกดดันเรื่องรายได้กลับมา และยังเป็นผลงานที่โกอินเตอร์ตรงๆ ผ่านเน็ตฟลิกซ์ด้วย แต่ก็ต้องบอกกันก่อนเลยว่าค่อนข้างผิดหวังหนักมากกับผลงานเรื่องนี้ของผู้กำกับวิศิษฐ์ครับ ซึ่งอาจจะเพราะบทหนังถูกเขียนโดยคนอื่นที่หน้าใหม่ด้านนี้อย่าง Abishek J. Bajaj (อภิเษก เจ บาจาช) ซึ่งผู้เขียนเข้าใจว่าเป็นงานที่เน็ตฟลิกซ์ส่งต่อให้ผู้กำกับวิศิษฐ์ทำ ผลงานที่ออกมาจึงดูแปลกๆ และค่อนข้างตกต่ำจากมาตรฐานผลงานดีๆ ของเขาครับ
เนื้อเรื่องเริ่มต้นจาก พิมและพัท สองพี่น้องที่ต้องย้ายไปอยู่บ้านใหม่ของตายายที่มารับตัวพวกเขาไปหลังจากแม่ประสบอุบัติเหตุรถชนกันจนต้องนอนโคม่าอยู่ในโรงพยาบาล เมื่อมาอยู่บ้านของตายายพวกเขาก็รู้สึกอึดอัดจากพฤติกรรมแปลกๆ ของทั้งคู่ และเมื่อมาเจอรูลึกลับบนกำแพงที่ส่องเข้าไปแล้วเห็นห้องประหลาดอีกด้าน ยิ่งทำให้เรื่องราวของบ้านหลังนี้ลึกลับซับซ้อนมากขึ้นไปอีก
พล็อตเรื่องถ้าดูเผินๆ อาจจะเหมือนลอกหนังฝรั่ง The Visit ของผู้กำกับเอ็มไนท์ ชมาลายาน ซึ่งก็เหมือนกันแค่พล็อตเท่านั้น แม้จะมีกลิ่นอายแนวลึกลับหักมุมเหมือนกัน แต่เนื้อในของปริศนารูหลอนแตกต่างออกไปมาก ซึ่งเนื้อหารีวิวต่อจากนี้อาจจะมีสปอยล์จางๆ ปนอยู่ด้วย เพราะยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่เขียนถึงความพยายามยำใหญ่หลายแนวของเรื่องอย่าง วัยรุ่น ผี ไซไฟ อาชญากรรม จิตวิทยา ซึ่งตรงนี้ก็ถือว่าเป็นสปอยล์ไปแล้วว่าเรื่องนี้เป็นการรวมหลายแนวเข้าด้วยกัน ไม่ใช่ผีหรือสยองขวัญเพียวๆ แบบหนังแนวนี้ที่ผ่านมา
โอเคการยำรวมหลายแนวเข้าไว้ด้วยกันอาจจะเป็นไอเดียที่ดีที่ทำให้การเดินเรื่องดูหลากหลาย สามารถบิดไปมาได้ตามใจ ซึ่งเรื่องนี้ก็มาในแนวแบบนั้นเลย ด้วยการวางเรื่องชีวิตวัยรุ่นเป็นตัวเปิดเรื่องให้ดูเหมือนมีปมลึกลับ จากการที่เพื่อนชายร่วมโรงเรียนของพิมมีความลับบางอย่างซ่อนไว้ และพยายามเอาจุดนี้มาข่มขู่พัทน้องชายของเธอให้ร่วมมือ ก่อนที่จะตัดไปแนวลึกลับจากการมาของตัวละครตายายปริศนา ตามด้วยการพบรูในบ้านที่โยนเข้าเรื่องผีเต็มๆ ก่อนที่จะสับขาหลอกมาเฉลยด้วยแนวทฤษฎีไซไฟ ตามมาด้วยการบิดเรื่องไปแนวล้างแค้นอาชญากรรม ก่อนจะกลับมาด้วยแนวจิตวิทยา แล้วก็สลับมาผีอีกครั้ง ซึ่งการที่เรื่องพลิกไปมาหลายแนวอย่างที่เห็น เป็นการตั้งใจให้เรื่องดูมีหักมุมซับซ้อนชวนคิดติดตาม ซึ่งก็ได้ผลในแง่นั้น แต่ปัญหาคือการพลิกในแต่ละครั้งมันดูไม่เนียน ทื่อๆ เหมือนอยากจะยัดอะไรก็ยัดมา อย่าง เรื่องแก่งแย่งชิงตำแหน่งเชียร์ลีดเดอร์ กับช่วงที่เกิดอาชญากรรมล้างแค้นคนที่ขับรถชนแม่ของพิม สองเรื่องนี้แทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเส้นเรื่องหลักเลย เป็นได้แค่เนื้อหาหลอกคนดูให้คิดว่ามีอะไรกับรูในเรื่องแค่นั้น หรืออย่างการพยายามยัดให้เรื่องผีกลายเป็นทฤษฎีรูหนอนแนวไซไฟข้ามมิติ ก็เป็นอะไรที่เรียกว่ายัดมาทื่อๆ แบบไร้ชั้นเชิงมาก โดยไม่มีที่มาที่ไปอธิบายอะไรเพิ่มเติมด้วย ก่อนที่ช่วงท้ายจะกลายเป็นแนวจิตวิทยาไปอีก เป็นความพยายามทำให้เรื่องดูซับซ้อนหักมุมสุดๆ แต่ผลที่ได้มันกลับเป็นความพยายามมากไปจนดูไม่เนียนเอามากๆ แต่อย่างน้อยก็อาจจะมีข้อดีตรงที่ แม้เรื่องจะดำเนินไปแบบหลากหลายแนวรวมกันก็ไม่ได้ดูแล้วงงหรือเข้าใจยากอะไรครับ
ปัญหาของบทอาจจะค่อนข้างแย่แล้ว แต่ที่แย่กว่าคือ แอคติ้งการแสดงของตัวละครทุกคนในเรื่องดูไม่เป็นธรรมชาติเอามากๆ โอเคตัวตายายที่เล่นโดย หมู-สมภพ เบญจาทิกุล กับ ก้อย-ทาริกา ธิดาทิตย์ อาจจะเป็นตัวละครที่ต้องการให้แอคติ้งออกมาประหลาดๆ ดูไม่เหมือนคนปกติอยู่แล้วเพื่อสร้างความน่าสงสัยแบบหลอนๆ ให้กับคนดู แต่ก็ยังรู้สึกว่ามันออกมาประหลาดแบบแข็งๆ มากกว่าจะเป็นในแนวลึกลับน่าสงสัยแบบเนียนๆ อย่างที่ควรจะเป็น ส่วน ปันปัน สุทัตตา กับ แม็ค-ณัฐพัชร์ นิมจิรวัฒน์ ในบทของพิมกับพัทที่เป็นตัวเอกหลักในการเดินเรื่องราวกลับแสดงออกมาแข็งๆ แอคติ้งไม่ผ่าน ประกอบกับบทพูดที่ไม่เป็นธรรมชาติด้วย ทำให้ปันปันที่ว่าเป็นนักแสดงที่เก่งก็ยังเอาตัวไม่รอดในเรื่องนี้ กลายเป็นเหมือนกำลังเล่นหนังเกรดบีท่องบทพูดไปแทน ซึ่งเป็นอะไรที่น่าผิดหวังมาก แอบแถมด้วยว่าแม้แต่บทแมว “ลาเต้” ในเรื่องที่ดูเหมือนมีความสำคัญ เพราะมีการใช้ภาพแมวตัวนี้ขึ้นในโปสเตอร์โมทโมทเรื่องด้วย แต่ก็กลับไม่ได้ใช้แมวตัวนี้ให้เป็นส่วนสำคัญกับเรื่องเลย
นอกจากข้อเสียที่ว่ามาแล้ว ในเรื่องยังมีส่วนที่แอบน่ารำคาญอยู่ด้วยจากการใช้เสียงซาวเอฟเฟ็กต์ประกอบแบบโฉ่งฉ่างเกินพอดีในทุกๆ ฉาก อะไรนิดหน่อยก็ใส่เข้ามาจนล้นมากเกินไป และฉากผีในเรื่องก็ออกมาแบบซ้ำๆ ไม่ได้แปลกใหม่อะไรแล้วกับแนวผีคลานเหมือนพวกผีญี่ปุ่น กับเล่นเรื่องอ๊วกเป็นเลือดวนไปวนมา ซึ่งก็เป็นคำใบ้ของเรื่องว่าสุดท้ายแล้วพอเฉลยมาคนดูจะเข้าใจว่าทำไมผีต้องทำอะไรซ้ำๆ แบบนั้น แต่มันก็กลายเป็นข้อเสียไปด้วยเมื่อไม่สามารถครีเอทฉากผีหลอกเว่อร์ๆ ไปกว่านั้นได้จากข้อจำกัดที่ว่าครับ ถามว่าน่ากลัวไหมก็น่ากลัวพอประมาณ แต่ก็ไม่ได้มีฉากน่าจดจำด้วยเช่นกัน
สรุปว่าไม่ผ่านจริงๆ แม้ตัวหนังอาจจะดูได้ไม่แย่แบบเกินทนอะไร แต่พอดูจบก็รู้สึกเสียดายเวลากับความคาดหวังก่อนดูมาก ซึ่งถ้าใครต้องการดูแบบฆ่าเวลาก็คงดูได้ แต่ถ้าให้แนะนำก็คงต้องบอกผ่านเลยกับเรื่องนี้ครับ