playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว This Is a Robbery: The World’s Greatest Art Heist สารคดีปล้นงานศิลป์บรรลือโลก

This Is a Robbery: The World's Greatest Art Heist

สรุป

หนังสารคดี 4 ตอนจบ ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับวงการโจรกรรมงานศิลป์ว่ามีมูลค่าในวงการใต้ดินมากแค่ไหน แต่ในส่วนไขคดีแทบไม่ได้มีอะไรให้จับต้องเป็นหลักฐานชี้ชัดได้เลย เพราะตัวคดีจริงที่ FBI ทำมากกว่า 30 ปี ก็ยังไม่สามารถปิดหรือยืนยันคนร้ายได้เลยแม้แต่คนเดียว รวมถึงภาพเขียนทั้งหมดก็ยังไม่สามารถตามหากลับมาได้ ซึ่งทำให้ตัวเรื่องขาดความน่าสนใจในการไขความจริงไปโดยปริยาย

Overall
5/10
5/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • เรื่องราวการปล้นงานศิลป์ที่โยงไปถึงวงการมาเฟียใต้ดิน

Cons

  • คดียังไม่คลี่คลายพอเอามาทำก็เลยแทบไม่มีอะไรคืบหน้าให้เห็น
  • การตัดสลับเล่าเรื่องข้ามไปมาหลายช่วงเวลาวกวนจนไม่น่าติดตาม
  • พาร์ทจำลองเหตุการณ์ในอดีตที่ตั้งใจทำเบลอ และใช้ฉากเดิมซ้ำวนมาเรื่อยๆ

ADBRO

This Is a Robbery: The World’s Greatest Art Heist ปล้นงานศิลป์บรรลือโลก หนังสารคดี Netflix แนวสืบสวนแกะรอยคดีปล้นงานศิลป์หลายชิ้นมูลค่ากว่า 200 ล้าน จากพิพิธภัณฑ์ศิลปะในบอสตัน ที่เรื่องราวผ่านมากว่า 30 ปีก็ยังไม่คลี่คลาย

 This Is a Robbery: The World's Greatest Art Heist (2021) on IMDb

ตัวอย่าง This Is a Robbery: The World’s Greatest Art Heist ปล้นงานศิลป์บรรลือโลก

สารคดี 4 ตอนจบ ตอนละ 50 นาที เรื่องนี้เป็นเรื่องราวเจาะลึกคดีปล้นงานศิลป์หลายชิ้นไปจากพิพิธภัณฑ์ Isabella Stewart Gardner ในเมืองบอสตัน โดยภาพเขียนส่วนใหญ่เป็นของแร็มบรันต์ จิตรกรผู้มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของโลก ซึ่งคดีเริ่มต้นเมื่อปี 1990 จนมาถึงปัจจุบันก็ยังไม่สามารถตามหาภาพกลับมาได้ แต่ในสารคดีชุดนี้จะแกะรอยเรื่องราวเหตุการณ์ใหม่ และลำดับให้เห็นความเป็นไปได้ว่าใครเป็นคนร้ายในคดีนี้

ตัวหนังสารคดีเริ่มต้นที่การจำลองเหตุการณ์ในคืนวันที่ภาพเขียนถูกโจรกรรมไป โดยคนร้ายปลอมตัวเป็นตำรวจบอสตัน 2 คน และบุกเข้าไปแจ้งข้อหาปลอมแก่ รปภ. ที่ดูแลประตูอยู่ จากนั้นจึงจับเขากับคู่หูมัดไว้ในห้องใต้ดิน ก่อนที่จะใช้เวลาขโมยภาพเขียนกับงานศิลปะแบบอื่นสิบกว่าชิ้นไปจากที่นี่ และก็ดูเหมือนเป็นงานเจาะจงตามใบสั่ง ไม่ได้ขโมยตามมูลค่าของภาพ เพราะหลายภาพที่มีมูลค่ามากกว่าไม่ได้ถูกขโมยไปด้วย ก่อนที่จะมีการแถลงข่าวใหญ่โต เพราะเป็นคดีโจรกรรมงานศิลป์ที่มีมูลค่าสูงสุดในอเมริกาตั้งแต่นั้นมาจนบัดนี้ ซึ่งตัวเรื่องจะตัดภาพฟุตเตจวิดีโอกับภาพนิ่งที่มีบันทึกไว้ในยุคนั้นมาลงให้ดู  สลับกับการสัมภาษณ์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในปัจจุบัน ซึ่งมีตั้งแต่ รปภ. ที่ถูกมัดและตกเป็นผู้ต้องสงสัยมาตลอด จากการถูกมัดด้วยเทปกาวแบบพิสดาร ผอ.พิพิธภัณฑ์ในยุคนั้นที่พึ่งเข้ามารับตำแหน่งไม่ถึง 6 เดือน รวมไปถึงโจรปล้นงานศิลป์ชื่อดังในอดีตที่ยังมีชีวิตอยู่ก็มาร่วมให้ข้อมูลด้วย

โจรงานศิลป์ชื่อดังมาร่วมให้ความเห็นต่างๆ ด้วย

ส่วนข้อมูลอีกด้านคือจาก FBI ที่เป็นเจ้าของคดีตั้งแต่แรก แต่กลับไม่สามารถไขคดีได้ แม้จะตั้งเงินรางวัลไว้สูงหลายล้านดอลล่าห์สำหรับผู้ให้ข้อมูล และตัว FBI เองก็แทบไม่ได้เผยแนวทางการสืบสวนให้เห็นมากสักเท่าไหร่ ในเรื่องนี้จึงมีแค่บางอย่างประกอบ โดยมาจากคดีอื่นๆ ของ FBI ที่เกี่ยวข้องกับมาเฟียในยุคนั้น และดูเหมือนเชื่อมโยงมายังคดีนี้ โดยที่ FBI คาดว่าโจรที่มีส่วนเกี่ยวข้องในคดีนั้นได้ตายลงเกือบหมดแล้ว จากการโดนเก็บปิดปาก แต่ FBI ก็ยังตามสืบหาภาพที่หายไปต่อเนื่องมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันต่อไป

จุดเด่นของสารคดีเรื่องนี้ไม่ใช่การตัดสินว่าใครเป็นคนร้าย เพราะหลักฐานเรื่องราวต่างๆ ยังไม่มียืนยันชัดเจนว่าใครทำ เป็นแค่การสันนิษฐาน และผู้ต้องสงสัยรายสุดท้ายก็ติดคุกจากคดีอื่น และพึ่งถูกปล่อยตัวมาในปี 2019 ดังนั้นตัวเรื่องจึงนำเสนอแรงจูงใจที่มาของวงการใต้ดินที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจรกรรมงานศิลป์ ที่ว่ากันว่ามีขนาดใหญ่มากหลายพันล้านดอลล่าห์ต่อปี และงานศิลป์พวกนี้ก็ถูกยักย้ายเปลี่ยนมือไปมาทั่วโลก ผ่านทางวงการใต้ดินที่ตีมูลค่างานศิลป์จากบนดินเหลือแค่ 20-30% และก็ไม่ได้มีมูลค่าแค่เงิน แต่งานศิลป์พวกนี้ยังเป็นเหมือนใบรับประกันต่อรองลดหย่อนคดีต่างๆ ของอาชญากรตัวเอ้ทั้งหลายด้วย ซึ่งเป็นส่วนที่คนทั่วไปคิดไม่ถึงว่างานศิลป์พวกนี้มีมูลค่าในหลายรูปแบบใต้ดิน ซึ่งไม่อาจจะให้ใครดูหรือประมูลบนดินได้อีกเลย แต่มันก็ยังล้ำค่าในสายตาของอาชญากรพวกนี้อยู่ดี

รปภ. ที่ถูกมัดแบบผิดปกติจนกลายมาเป็นผู้ต้องสงสัยแบบคลุมเครือมาจนถึงปัจจุบัน 

แม้โครงเรื่องราวจะมีอะไรหลายอย่างน่าสนใจ แต่ข้อเสียของสารคดีเรื่องนี้ตรงๆ เลยก็คงเพราะเรารู้แต่แรกแล้วว่าคดียังไม่ถูกคลี่คลาย ดังนั้นการเล่าเรื่องเลยกลายเป็นเหมือนอ้อมโลกไปมา วนกลับไปอดีตในฉากเดิมๆ มาถึงบทสัมภาษณ์คนที่ยังอยู่ในปัจจุบัน แต่แทบไม่ได้รู้เรื่องอะไรเพิ่มเติมขึ้นมาเลย เรียกว่าดูไปมีแต่น้ำเยอะมากกว่าเนื้อ นอกจากจุดเชื่อมโยงไปยังมาเฟียที่ถูกคาดว่าปล้นงานศิลป์นี้แล้ว ส่วนอื่นก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ และเรื่องก็จบลงแบบไม่ได้ยืนยันหรือรู้เรื่องอะไรเพิ่มมากมายอย่างที่คิด อีกทั้งการจำลองเหตุการณ์ในอดีตก็มีไม่กี่ฉากวนไปมา ทำเป็นภาพเบลอๆ ตลอดเวลา เนื่องจากไม่อาจจะระบุตัวคนร้ายได้ชัดว่าเป็นใคร และก็ไม่มีความตื่นเต้นในการดำเนินเรื่องเลยแม้แต่น้อย เพราะเรื่องเน้นตัดสลับเล่ากลับไปกลับมาแบบสารคดีจริงจัง จนแอบงงๆ ด้วยว่าที่เล่าอยู่นี้คือช่วงเวลาไหน แม้เรื่องจะมีเส้นเวลาให้ดูตลอด แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมต้องย้อนวกไปวนมาไม่เรียงลำดับเรื่องให้ต่อเนื่องดูเข้าใจง่ายกว่านี้ครับ

สรุปเป็นสารคดีที่ดูแล้วได้ความรู้เรื่องราววงการโจรกรรมงานศิลป์ที่มีมูลค่าในวงการใต้ดินหลากหลายแบบ แต่สอบตกในเรื่องราวการนำเสนอสืบสวนไขความจริง เพราะสุดท้ายคดีก็ยังไม่คลี่คลายในปัจจุบัน แต่กลับเอามาทำเหมือนว่าไขคดีได้แล้ว ทั้งๆ ที่เป็นแค่การคาดเดาเท่านั้นครับ

 

อ่านรีวิวหนัง Netflix ในเว็บไซต์เพิ่มเติมคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!