รีวิว Time Cut (Netflix) วัยรุ่นสยองขวัญรวมกับไซไฟย้อนเวลาที่บทไม่ลึก ชิลๆ ไปทั้งเรื่อง
Time Cut
Summary
หนังจากผู้เขียนบท Freaky คราวนี้เป็นแนวฆาตกรต่อเนื่องกับไซไฟย้อนเวลามาเจอกัน แต่หนังไม่ได้สดใหม่เท่าเรื่องก่อน ปมเรื่องไซไฟกับดราม่าครอบครัวก็ยังธรรมดาไป รวมถึงฉากโหดก็ไม่มีให้เห็นตรงๆ เพราะเรตแค่ 13+ ฉากไล่เชือดก็มีไม่เยอะ แต่การซ่อนปริศนาคนร้ายว่าเป็นใครหนังตั้งใจหลอกได้สำเร็จอยู่ ซึ่งก็ทำให้เรื่องมีความซับซ้อนขึ้นมาบ้าง แต่รวมๆ แล้วหนังก็ออกแนวดูชิลๆ ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากนักครับ
Overall
6.5/10User Review
( vote)Pros
- แนวฆาตกรต่อเนื่องกับไซไฟย้อนเวลามาเจอกัน
- มีพากย์ไทย
Cons
- บทไม่เข้มข้นลึกสักทาง
- นางเอกไม่เด่น
Time Cut Netflix เจาะเวลาฆ่าอดีต ภาพยนตร์วัยรุ่นสยองขวัญไซไฟย้อนเวลา เมื่อเด็กสาววัยรุ่นจากปี 2024 ย้อนเวลาไปปี 2003 และพยายามหยุดฆาตกรต่อเนื่องที่ยังจับตัวไม่ได้ ซึ่งเหยื่อรายสุดท้ายก็คือพี่สาวของเธอเอง
รีวิว Time Cut Netflix
หนังจากผู้เขียนบท Freaky สลับร่างฆ่า ล่าป่วนเมือง ซึ่งเป็นการยำรวมแนวฆาตกรต่อเนื่องกับพล็อตสลับตัวนางเอกวัยรุ่นกับฆาตกร และได้รับคำชมไปมากมาย มาคราวนี้เขาก็ทำแนวเดิมอีก แต่เปลี่ยนเป็นนางเอกวัยรุ่นย้อนเวลาไปเจอกับฆาตกรในอดีตที่ฆ่าพี่สาวของเธอ ซึ่งจริงๆ พล็อตย้อนเวลาไปหยุดฆาตกรนี่เคยมีมาแล้วในหนัง Totally Killer ปี 2023 ของ Prime ซึ่งพล็อตเรื่องก็แทบคล้ายกันมาก แต่ตัวเรื่องก็ยังดีที่ไม่ซ้ำกัน เพราะเรื่องนั้นคือไปช่วยพ่อแม่ให้รักกันระหว่างเจอฆาตกรแบบหนัง Back to the Future เป๊ะเลย แต่เรื่องนี้คือ นางเอกไปช่วยพี่สาว โดยมีปมว่าถ้าพี่สาวรอดเธอก็จะไม่เกิดมาเพราะพ่อแม่ต้องการมีลูกแค่คนเดียว หนังจึงมีปมเรื่องเวลาให้เล่นแตกต่างออกไป ซึ่งเรื่องก็พยายามสอดแทรกชีวิตของครอบครัวนี้ที่มีปมจากลูกสาวตายไป ทำให้เธอเกิดมาเป็นลูกที่ห่างจากอายุพ่อแม่มาก และกลายเป็นเหมือนไข่ในหินที่พ่อแม่ไม่ยอมให้ลูกสาวคนนี้ไปไหน ซึ่งทำให้เธอรู้สึกไม่มีความสามารถกำหนดชีวิตตัวเองได้ จนกระทั่งการย้อนเวลากลับมาเจอพ่อแม่กับพี่สาวในอดีตช่วงที่ยังแตกไม่สลาย ครอบครัวอบอุ่นอยู่ ทำให้เธอต้องตัดสินใจว่าจะช่วยหรือไม่ช่วยพี่สาวของตัวเองดี หรือหาทางกลับไปในอนาคตโดยไม่ต้องสนใจใคร ซึ่งหนังก็พยายามหาทางออกแบบไซไฟให้ตัวนางเอกดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แล้ว แม้ในจุดสุดท้ายจะมีเรื่องเส้นเวลาที่ไม่ลงตัวอยู่ แต่ก็สามารถมองข้ามไปได้เพราะนี่เป็นแค่หนังวัยรุ่นชิลๆ มากกว่าจะมาซีเรียสแบบหนังย้อนเวลาจริงจังครับ
หนังเล่าปมปัญหาครอบครัวไปพร้อมกับการสืบหาฆาตกรไล่เชือดใส่หน้ากากว่าเป็นใคร เมื่อมีเหยื่อทั้งหมด 4 ราย แต่ไม่สามารถจับคนร้ายได้ หนังก็พยายามหลอกล่อให้คนดูหลงคิดว่าใครเป็นคนร้ายตามสูตร โดยการการโยนฉากน่าสงสัยให้บางตัวละคร หรือสร้างฉากที่ทำให้ผู้ชมปัดผู้ต้องสงสัยออกไปแบบ Scream ซึ่งหนังก็สับขาหลอกให้เขวได้ดี แล้วก็ใช้เรื่องไซไฟเส้นเวลาเข้ามาเป็นปมทำให้เรื่องเริ่มซับซ้อนมากขึ้น แต่ดันขาดที่มาที่ไปของตัวร้ายให้เข้าใจได้ชัดเจน ทำให้เรื่องในส่วนนี้ดูตื้นเขินไปหน่อยครับ ส่วนความแรงของเรื่องนี้ได้แค่ 13+ มีฉากฆาตกรฆ่าโหดอยู่บ้างแต่ก็ไม่เห็นตรงๆ เรื่องไม่แรงเท่าแนวนี้โดยตรงหรือโหดแบบ Freaky เลย
ส่วนของเครื่องย้อนเวลานี่แทบไม่ได้สำคัญกับเรื่องนี้มากเลย เพราะหนังแทบไม่อธิบายอะไร แค่บอกว่ามีเฉยๆ นางเอกไปเจอ แล้วก็ไปจับเอาเรื่องความเก่งของเพื่อนสนิทพี่สาว ที่เล่นโดย Griffin Gluck ดาราหนุ่มตัวเล็กขาประจำของเน็ตฟลิกซ์ โดยให้เขาเป็นสายไอทีร่วมกับนางเอกที่ชำแหละเครื่องนี้จนเข้าใจกลไกย้อนเวลา แต่ขาดพลังงานมาเดินเครื่อง ซึ่งก็เป็นพล็อตแนวเดิมๆ ของหนังสไตล์นี้ ก่อนที่ตอนหลังจะเฉลยที่มาของเครื่อง ซึ่งก็เหมือนไปสร้างพล็อตโฮลแปลกๆ ขึ้นมาอีกในแนวเส้นเวลาแบบไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกันแบบนั้น แต่ก็มองข้ามไปแบบเดิมนั่นแหละครับ
ตัวนักแสดง Madison Bailey เป็นนางเอกก็จริง แต่เธอดูไม่เด่น ไม่มีเสน่ห์เลย รวมถึงบทก็ยังดูธรรมดา ซึ่งเพราะเธอเล่นเป็นบทวัยรุ่นซึมเศร้าท้อถอยกับชีวิตด้วย ที่เด่นจริงๆ กลับเป็น Antonia Gentry ซึ่งเป็นพี่สาวของเธอที่เล่นในบทตรงข้ามเป็นคนมีความหวังกับชีวิต แถมยังทำให้มีปมว่าเธอรักผู้หญิงด้วยกัน ซึ่งในยุคนั้นเรื่องพวกนี้ยังไม่ถูกยอมรับอย่างเปิดเผยนัก ซึ่งน้องสาวเธอก็คือคนที่มาบอกว่าอนาคตเรื่องนี้จะเปิดกว้างขึ้น แต่เสียตรงที่ว่าปมนี้ถูกใส่มาผิวๆ แม้จะมีฉากสารภาพรักกลางงานในที่สาธารระแต่มันก็ยังไม่อิมแพ็คใดๆ กับเรื่องเลยครับ
สรุป หนังจากผู้เขียนบท Freaky คราวนี้เป็นแนวฆาตกรต่อเนื่องกับไซไฟย้อนเวลามาเจอกัน แต่หนังไม่ได้สดใหม่เท่าเรื่องก่อน ปมเรื่องไซไฟกับดราม่าครอบครัวก็ยังธรรมดาไป รวมถึงฉากโหดก็ไม่มีให้เห็นตรงๆ เพราะเรตแค่ 13+ ฉากไล่เชือดก็มีไม่เยอะ แต่การซ่อนปริศนาคนร้ายว่าเป็นใครหนังตั้งใจหลอกได้สำเร็จอยู่ ซึ่งก็ทำให้เรื่องมีความซับซ้อนขึ้นมาบ้าง แต่รวมๆ แล้วหนังก็ออกแนวดูชิลๆ ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากนักครับ