รีวิวหนัง Time to Hunt เกมล่าฆ่าไม่ตาย หนังโรงฟอร์มใหญ่ของเกาหลีที่ลี้ภัยมาฉายลง Netflix
Time to Hunt
สรุป
หนังโรงฟอร์มใหญ่ของเกาหลีที่หนีภัยโควิดมาลง Netflix ซึ่งตัวบทกับโปรดักชั่นและดาราที่แสดงมีคุณภาพสูงมาก หนังมีแอ็กชั่นยิงถล่มกันหลายฉากกลางเมืองจากการเซ็ทโลกในอนาคตอันใกล้ที่เมืองในเกาหลีล่มสลายไปแล้วทำให้หลุดข้อจำกัดเหตุผลความสมจริงไปได้ง่ายๆ แต่ก็มีแทรกด้วยดราม่ามิตรภาพของฝั่งตัวเอกที่ทำได้ดี แม้จะมีติดยืดๆ อยู่บ้างกับความยาวถึง 2 ชั่วโมงกว่าของหนัง บางครั้งเรื่องออกดูชิลๆ เกินไปบ้าง แต่ช่วงเกมล่ากดดันอารมณ์คนดูให้หวาดเสียวหายใจไม่ทั่วท้องไปกับเรื่องได้ดีมาก
Overall
7.5/10User Review
( votes)Pros
- ฉากไล่ล่าให้อารมณ์กดดันลุ้นระทึกได้สมจริง
- เนื้อเรื่องเป็นโลกสมมุติในอนาคตที่เกาหลีกลายเป็นแดนเถื่อน
- มีฉากโหดรุนแรงเลือดท่วมตลอดเรื่อง
- Woo-sik Choi นักแสดงที่พึ่งโด่งดังจากหนัง Parasite มาร่วมเล่นด้วย
Cons
- เนื้อเรื่องบางช่วงดูชิลๆ จนรู้สึกไม่สมจริงตามที่ควรจะเป็น
- ตัวละครบางคนถูกตัดบทไปไม่มีฉากอธิบายที่แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น
- หนังเป็นแนวเกมล่าเอาสนุก มีเปิดช่องให้สู้กลับได้ อาจจะดูไม่สมจริงอย่างที่ควรจะเป็นนัก
- ความยาว 2 ชั่วโมงกว่าที่มีช่วงยืดๆ อยู่พอสมควร
Time to Hunt ถึงเวลาล่า หนังเกาหลี Original Netflix เมื่อเศรษฐกิจประเทศเกาหลีในอนาคตตกต่ำ กลุ่มวัยรุ่น 4 คน จึงคิดแผนปล้นหาเงินก้อนใหญ่เพื่อหนีจากชีวิตที่เป็นดั่งขุมนรก แต่กลับเป็นจุดเริ่มต้นของการถูกไล่ล่า จากนักฆ่าที่สนุกกับเกมล่าพวกเขา
ตัวอย่างหนัง Time to Hunt ถึงเวลาล่า
บทความมีเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนประกอบรีวิว แต่ไม่ใช่จุดหักมุมของเรื่อง
หนังเกาหลีที่ติดปัญหาโควิด 19 จนไม่ได้ฉายในโรงภาพยนตร์ ตัวแทนจัดจำหน่ายจึงหาทางออกด้วยการมาขายสิทธิ์ให้ Netflix ทั่วโลกแทน จนกลายเป็นกรณีพิพาทช่วงก่อนฉายว่าผู้สร้างไม่ยินยอมให้หนังเรื่องนี้ลง Netflix ก่อน เพราะเท่ากับตัวแทนที่ซื้อสิทธิ์ไปฉายในโรงหนังทั่วโลกจะมีปัญหา กรณีพิพาทหนักถึงขั้นขู่ฟ้องร้องกันกะให้เป็นคดีตัวอย่าง จน Netflix เองต้องยอมถอดออกจากโปรแกรมฉาย แต่แล้วไม่กี่วันก่อนฉายก็ได้กลับมาลงในระบบ คาดว่าคงเจรจาจ่ายกันจนลงตัวแล้วนั่นแหละครับ นั่นเท่ากับว่านี่เป็นหนังโรงฟอร์มใหญ่ที่ติดปัญหาโควิด 19 จนต้องกลายมาเป็นหนังลงสตีมมิ่งของ Netflix แทน ซึ่งคาดว่าหลังจากนี้น่าจะมีตามมาอีกเรื่อยๆ เพราะปัญหาโควิดกระทบกับธุรกิจโรงหนังตรงๆ ยาวนานกว่าธุรกิจแบบอื่น
จุดเด่นของเรื่องคือได้ Woo-sik Choi นักแสดงที่พึ่งโด่งดังจากหนัง Parasite (รับบทลูกชายที่เป็นติวเตอร์ตัวเอกของเรื่อง) มารับบท “กีฮุน” (Ki-hoon) เพื่อนสนิทของตัวเอก “จุนซอก” (รับบทโดย Lee Jehoon จากซีรีส์ Signal) ซึ่งเป็นบทสมทบ แต่ก็กลายช่วยทำให้หนังเรื่องนี้ถูกจับตาว่าน่าสนใจมากขึ้นทันที ซึ่งตัวโครงเรื่องเองไม่ได้แปลกใหม่นัก หนังเริ่มเรื่องในช่วงอนาคตไม่ไกลจากปัจจุบันนัก ที่ประเทศเกาหลีเศรษฐกิจตกต่ำ ผู้คนตกงาน รัฐบาลไม่มีจ่ายหนี้ IMF มหาศาล จนกลายเป็นประเทศที่ไร้อนาคต ย่านเศรษฐกิจของเมืองปิดตัวลงเหมือนเมืองร้าง แต่กลับเต็มไปด้วยแก๊งอาชญากรรมผุดขึ้นครองเมืองมากมาย กีฮุนตัวเอกของเรื่องพึ่งออกมาจากคุกพบกับเพื่อนร่วมแก๊งปล้นร้านเพชรเมื่อ 3 ปีก่อนที่หนีรอดไปได้ ก็พึ่งพบว่าเงินเกาหลีที่ได้มาจากการปล้นครั้งก่อนแทบไม่มีค่าอะไรอีกแล้ว เพราะค่าเงินตกต่ำลงมากจนคนขวนขวายหาแต่เงินดอลล่าห์สหรัฐใช้ จึงทำให้พวกเขาวางแผนปล้นบ่อนคาสิโนของแก๊งมาเฟียในเมือง ด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนอีกคนที่ทำงานบ่อนแห่งนี้ แต่นั่นกลายเป็นว่าเขาได้ก้าวขาเข้าไปสู่โลกอีกด้านที่ไร้กฎหมาย ถูกตามล่าจากนักฆ่าที่ต้องการความสนุกจากการล่า มากกว่างานที่ได้รับมาซะอีก
หนังเต็มไปด้วยบรรยากาศกดดันหนักหน่วงอยู่แทบตลอดเวลา ฉากฆ่ากันทำได้สมจริงมีความรุนแรงสูง แบบยิงหัวทะลุให้เห็นกันจะๆ แถมด้วยจัดแสงไฟสีแดงย้อมทั้งฉาก ยิ่งเพิ่มความกดดันเวลาตัวละครอยู่ในสถานการณ์คับขันยิ่งช่วยให้อารมณ์ของหนังเข้ากับชื่อเรื่องมากๆ ตัวเรื่องเซ็ทโลกอนาคตไม่ไกลที่เกาหลีล่มสลายทางเศรษฐกิจมาเป็นตัวขับเคลื่อนแรงจูงใจให้เหล่าตัวละครในเรื่องนี้อยู่ในวังวนของอาชญากรรมได้อย่างสมเหตุผล ซึ่งถ้าเป็นโลกในปัจจุบันตัวเรื่องนี้จะไม่สมจริงขึ้นมาทันที เพราะฉากการไล่ล่าหรือก่ออาชญากรรมในเรื่องอยู่ในที่โจ่งแจ้งตามที่สาธารณะแทบทั้งหมด อย่างการบุกยิงในโรงพยาบาลที่แทบไร้ผู้คน การยิงถล่มกันกลางเมืองร้างอย่างบ้าระห่ำเหมือนทั้งเมืองตกอยู่ในสงครามมาก่อน ซึ่งก็นับว่าเป็นการเขียนฉากของเรื่องออกมารองรับเนื้อเรื่องได้อย่างสมเหตุผล ทำให้ตัวหนังมีช่วงแอ็กชั่นยิงถล่มด้วยอาวุธสงครามกันหลายช่วงในเรื่องอย่างหนักหน่วง และให้อารมณ์กดดันกับคนดูเสมือนติดอยู่ในเกมล่าเดียวกับกลุ่มตัวเอกของเรื่องไปด้วย
แต่หนังก็ไม่ได้เป็นแนวสาดกระสุนตลอดเวลา หนังมีช่วงพักหายใจเป็นช่วงๆ กับเรื่องราวมิตรภาพของสมาชิกในแก๊งทั้ง 4 คน ทำให้คนดูได้เข้าใจว่าทั้ง 4 คนนี่เป็นมากกว่าเพื่อนร่วมงานปล้น แต่เป็นเหมือนเพื่อนรักกันทั้ง 4 คน ซึ่งแต่ละคนก็จะมีปูมหลังของตัวเองเสริมเรื่องนิดหน่อย แต่จะเน้นหนักไปที่ “กีฮุน” ที่รับบทโดย Woo-sik Choi จาก Parasite ซึ่งเป็นคนที่มีพ่อแม่เป็นครอบครัวเพียงคนเดียวในแก๊ง และก็เป็นตัวเชื่อมเรื่องราวดราม่าเกี่ยวกับความฝันในการออกไปจากเกาหลีของพระเอกสู่เกาะเล็กๆ ในไต้หวันที่รอทุกคนให้ไปอยู่ด้วยกัน ซึ่งหนังปูความสัมพันธ์พวกนี้แทรกมาตามช่วงพักของเหตุการณ์ ทำให้เรื่องดูดีมีอะไรมากขึ้นกว่าการตามล่าไล่ยิงกันอย่างเดียว แต่บางทีก็รู้สึกว่าเรื่องค่อนข้างแช่อยู่กับส่วนนี้หลายครั้งนานเกินไปนิดๆ เหมือนกัน กลายเป็นทำให้รู้สึกว่าเหล่าสมาชิกในแก๊งหลังจากปล้นเสร็จเหมือนไร้แผนหนีไปเก็บตัวตามที่ควรจะเป็น และดูชิลๆ จนเกินไป ทั้งๆ ที่ก่อนปล้นค่อนข้างเต็มไปด้วยอารมณ์กดดัน มีการวางแผนรัดกุมรอบคอบ แต่พอหลังปล้นอารมณ์ตรงนี้กลับหายไปเปิดเป็นช่องโหว่ให้ฝ่ายมาเฟียกลับมาตามล่าได้ง่ายเกินไป จนแอบน่าหงุดหงิดกับความชิลๆ ไม่ค่อยทุกข์ร้อนของพวกนี้สักเท่าไหร่ จนภัยมาถึงตัวเรื่องค่อยกลับมากดดันอีกครั้ง
นี่ไม่ใช่หนังที่แบบไล่ยิงกันกะเอาให้ตายแบบเรียลสมจริงนัก แต่เป็นแบบเกมของตัวร้ายที่เปิดช่องไล่ล่าพวกตัวเอกเพื่อความสนุกของตัวเอง มีการเปิดช่องให้รอด มีการยืนท้าทายให้โอกาสพวกพระเอกได้สวนกลับ ก็อาจจะมีแอบขัดใจกับการปล่อยโอกาสที่ฆ่าได้กลับไม่ฆ่าในบางช่วง และหนังไม่ได้วางไว้แค่ตัวละคร 2 ฝั่ง แต่ยังมีฝั่งที่ 3 ที่ตามเข้ามาภายหลังในเกมล่าครั้งนี้อีกด้วย ซึ่งก็เป็นตัวช่วยปิดเรื่องราวให้สมเหตุผลได้มากกว่าแค่การไล่ยิงกันแล้วมีใครรอดตายเป็นผู้ชนะตามปกติ พร้อมทั้งยังมีเรื่องราวทิ้งไว้ในตอนท้ายที่ไม่ได้ตัดจบลงทันที แต่กลับมาที่เรื่องราวดราม่ามิตรภาพในแก๊งอีกครั้ง พร้อมกับฉากจบแบบปลายเปิดไว้ทำภาคต่อไปอีกด้วย (แต่ก็จบได้ลงตัวไม่ค้าง)
สปอยล์สำหรับคนที่ดูแล้วงงกับฉากจบ
จุนซอกที่รอดมาคนเดียวมาเปิดร้านจักรยานที่ไต้หวัน (ไต้หวันเป็นประเทศอุตสหกรรมผลิตจักรยานอันดับ 1 ของโลก) และก็เห็นภาพในจินตนาการว่ากีฮุนเพื่อนรักที่หนีกลับไปหาครอบครัวตามมาถึงที่นี่ (เรื่องไม่แน่ชัดว่ากีฮุนรอดหรือไม่) พร้อมกับได้รับข่าวจากรุ่นพี่ในไต้หวันว่า “ฮัน” นักฆ่าที่ตามล่าพวกเขารอดชีวิตมาจากแก๊งค้าอาวุธสงครามที่ไล่ฆ่าเขาในตอนจบได้ และพาตำรวจไปทลายแก๊งนี้จนสิ้นซาก และด้วยความโรคจิตส่วนตัวของฮันที่ตามล่าเหยื่อไม่เลิก ทำให้พระเอกรู้ว่าถึงอยู่ไต้หวันก็ไม่รอด จึงต้องกลับไปตามล่าฮันที่เกาหลีอีกครั้ง
ตัวละครหลักทั้ง 4 คนในเรื่องถือว่าเล่นได้ดีเหมาะสมกับบททุกคน และบางคนแม้ไม่ได้เป็นตัวเอกอย่าง “จางโฮ” ที่รับบทโดย Jae-hong Ahn ที่แสดงเป็นหนุ่มร่างท้วมเป็นโรคหอบหืด และไม่ได้เข้ากรมทหารของเกาหลีมาก่อนจึงใช้ปืนไม่เป็นคนเดียว เป็นตัวละครที่ดูเหมือนอ่อนแอที่สุดของเรื่อง แต่กลับได้รับบทที่มีพัฒนาการกับหลายฉากน่าจดจำไม่แพ้ตัวเอกของเรื่องเลย ส่วนตัวนักแสดงที่เป็นนักฆ่าฉายา “ฮัน” รับบทโดย พัคแฮซู (รับบทนำในซีรีส์เกาหลี Prison Playbook) ก็เล่นได้สมบทบาทนักฆ่าที่แอบโรคจิตสนุกไปทุกครั้งกับการฆ่าคนแบบชิลๆ
สรุปก็ต้องถือเป็นความโชคดีของคนดู Netflix ที่หนังโรงฟอร์มใหญ่เรื่องนี้ได้มาลงให้ดูกันแบบง่ายๆ ซึ่งมีคุณภาพของทั้งบทและโปรดักชั่นถือว่าสูงมากกว่าหนังทำลง Netflix โดยตรงครับ