รีวิว True Detective ss4 Night Country (HBO) ฉากเหนือธรรมชาติเยอะจนหลุดจากธีมสืบสวนมากไป
True Detective ss4 Night Country
Summary
ซีซั่น 4 ที่หลุดลอยออกจากจากธีมชื่อเรื่องซีรีส์นี้ไปมากที่สุดแล้ว ด้วยคดีซ้อนที่ใส่เข้ามาเยอะหลายคดีจนไม่รู้จะกลับมาบรรจบกันได้ไงให้ลงตัว ฉากเหนือธรรมชาติหลายอย่างที่ใส่มาจนเหมือนหนังผีมากกว่าสืบสวน จนทำให้เรื่องหลงทิศทางไปเยอะ แม้ตอนจบจะวกกลับมาเคลียร์คดีในแบบปกติได้ดีอยู่ แต่ก็ทิ้งปริศนาพวกนี้คาไว้แบบไม่เฉลย สิ่งที่แบกเรื่องนี้ไว้คือตัวนักแสดงโจดี้ ฟอสเตอร์ ซึ่งผู้ชมยังคาดหวังการแสดงคุณภาพนี้ได้อยู่ครับ
Overall
6.5/10User Review
( votes)Pros
- คดีฆาตกรรมในอะแลสก้าผสมเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ
- นักแสดงโจดี้ ฟอสเตอร์
- งานโปรดักชั่นคุณภาพสูง
- มีพากย์ไทย
Cons
- ฉากเหนือธรรมชาติเยอะจนทำให้ธีมเรื่องเสีย
- คดีซ้อนในเรื่องเยอะมากไป
- ดราม่าชีวิตส่วนตัวเยอะ
True Detective ss4 Night Country ซีซั่น 4 ของซีรีส์ดังแนวสืบสวนของ HBO 6 ตอนจบ เรื่องราวเกิดขึ้นในอะแลสกาช่วงวันที่มืดสนิทต่อเนื่องของที่นี่ เมื่อนักวิทยาศาสตร์ทั้งศูนย์ทดลองตายหมู่ในสภาพแช่แข็งกลางแจ้ง ตำรวจนักสืบหญิงสองคนที่มีความขัดแย้งกันในอดีตจึงเริ่มสืบสวนและพบว่า คดีนี้เชื่อมโยงไปยังการตายปริศนาของหญิงสาวที่เป็นแกนนำประท้วงบริษัทเหมืองที่หล่อเลี้ยงชาวเมืองส่วนใหญ่ไว้
รีวิว True Detective ss4 Night Country (ไม่สปอยล์)
ซีรีส์สืบสวนที่ขึ้นหิ้งจริงๆ ในซีซั่นแรก ด้วยรูปแบบตำรวจนักสืบที่เน้นพื้นฐานการสืบสวนแน่นๆ ตามชื่อเรื่องจริงๆ แต่จากนั้นมาเรื่องก็ดรอปลงเรื่อยๆ แม้จะเป็นการจบในซีซั่นไม่มีตัวละครที่มีความเกี่ยวเนื่องกันเลย แต่รูปแบบเนื้อหาค่อยๆ ห่างไกลจากชื่อเรื่องตอนแรกไปทุกที ซึ่งทางซีรีส์คงพยายามฉีกให้เรื่องราวแตกต่างไม่จำเจกับการสืบสวนดั้งเดิมพอเข้าใจได้ โดยยึดหลักหนึ่งคือทุกซีซั่นต้องมีดาราดังมารับบทเพื่อเป็นจุดขาย ซึ่งในซีซั่นนี้ก็คือ Jodie Foster ดาราสาวคุณภาพในอดีต ที่ตอนนี้อายุ 61 ปีแล้ว ด้วยมือชีพอย่างเธอมารับบทนำทำให้เรื่องนี้ดูมีความหวังมากกับการกรองบทที่น่าจะคัดคุณภาพมาแล้ว นอกจากนี้ยังมี Kali Reis นักแสดงตัวเอกคู่กับเธอ โดยเป็นนักกีฬาชกมวยหญิงที่ผันตัวมารับงานแสดง และซีซั่นนี้ยังได้ผู้สร้างคนใหม่ที่เป็นผู้หญิง Issa López มาทำด้วย ทำให้เรื่องนี้ก็คือซีซั่นแรกที่ใช้ทีมหญิงนำล้วนๆ และน่าจะช่วยยกระดับคุณภาพของเรื่องนี้กลับมาได้
แต่ปัญหาเดิมๆ ก็ยังกลับมานั่นคือซีรีส์เลือกเล่าเรื่องไปในแนวเหนือจริงในฉากทัศน์ของอะแลสก้าที่เต็มไปด้วยความลึกลับมากกว่าการสืบสวนแบบดั้งเดิม ซึ่งฉากคดีฆาตกรรมตายหมู่ในเรื่องนี้ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากหนัง The Thing ไอ้ตัวเขมือบโลก ซึ่งเคยมีซีรีส์ใน HBO ทำมาก่อนแล้วในชื่อ The Head และก็ทำได้ดีกว่าด้วย (คลิกอ่านรีวิวที่นี่มี 2 ซีซั่น)ในทรูดีเทคทีฟนี้เอาแค่ฉากการตายของนักวิทย์ที่เกาะกลุ่มกันตายแบบปริศนามาเป็นจุดดึงดูดความสนใจ ซึ่งการเปิดเรื่องตอนแรกทำได้น่าสนใจดีกว่าจะวกกลับมายังการฆาตกรรมปกติได้อย่างไร เมื่อรูปแบบการตายค่อนข้างเกินคาดคิดมาก ตัวเอกทั้งคู่ก็ยังพยายามสืบสวนหาคำอธิบายการตายผิดปกตินี้ ก่อนที่จะเชื่อมโยงไปยังคดีการตายของแกนนำหญิงที่ประท้วงเหมืองที่สร้างงานให้หมู่บ้านนี้หลายปีก่อน เท่านั้นยังไม่พอเรื่องยังใส่ให้ตัวเอกทั้งคู่มีปมอาชญากรรมในอดีตที่เกี่ยวข้องด้วยกัน กลายมาเป็นนิสัยแย่ๆ ติดตัวทั้งคู่มาตลอดและขัดแย้งกันในการทำคดี ทั้งหมดเป็นการเล่าเรื่องโดยมีปริศนาคดีมากมายใส่เข้ามายุบยั่บไปหมด จนเรื่องเดินไปหลายทางเหลือเกิน แถมยังแทบจะไม่ได้กลับมาสืบสวนคดีแรกอีกด้วย ซึ่งนี่คือจุดที่ทำให้เรื่องนี้เริ่มมีปัญหา แต่ก็ยังพอทนได้เพราะอยากรู้ว่าเรื่องจะจบทุกอย่างในรูปแบบความเป็นจริงได้อย่างไร
นอกจากคดีในเรื่องที่มีหลายอย่างแล้ว เรื่องยังเน้นเล่าถึงตำรวจหนุ่มที่เป็นลูกมือของโจดี้คอยช่วยสืบสวน แต่ก็มีปัญหากับพ่อที่เป็นตำรวจด้วยกัน และลามไปถึงภรรยาที่สามีเลือกงานมากกว่าครอบครัว แล้วเรื่องก็เล่าถึงชีวิตส่วนตัวของตัวเอกหญิงทั้งคู่ว่ามีความสัมพันธ์กับผู้ชายในแบบไม่ผูกมัด และโจดี้ยังรับบทแม่ที่มีลูกบุญธรรมชนพื้นเมืองที่ไม่เชื่อฟังเธออีก ซึ่งเนื้อหาพวกนี้มีเยอะและเสียเวลาไปมาก กลายเป็นดราม่าชีวิตส่วนตัวของตำรวจทั้ง 3 คน แม้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะถูกนำมาใช้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาการสืบสวนคดีด้วย แต่มันก็ทำให้การเล่าเรื่องค่อนข้างดูหลุดออกนอกกรอบไกลขึ้นไปอีก
แต่สิ่งที่ทำลายการสืบสวนทุกอย่างไปหมดนั่นก็คือ ตัวเรื่องพยายามใส่เรื่องฉากเหนือธรรมชาติเข้ามาเยอะมาก ตั้งแต่ฝูงกวางที่กะโดดลงหน้าผาตายในฉากแรก ปริศนาถ้ำน้ำแข็งที่มีซากฟอสซิลโบราณจนเหมือนเอเลี่ยน จากนั้นก็มีพวกภาพหลอนผีปรากฎตัวหลายครั้ง เสียงหลอนที่ตัวเอกคู่หูโจดี้ได้ยินคนเดียว เนื่องจากเธอเป็นชนพื้นเมืองที่ทิ้งถิ่นนี้ไปและกลับมาสืบคดีจากความรู้สึกผิดที่ไขคดีการตายของเพื่อนชนพื้นเมืองที่เป็นแกนนำประท้วงไม่ได้ โดยฉากพวกนี้หลายครั้งก็ไม่ได้ถูกชี้ชัดว่าคืออะไร แล้วยังไม่ใช่ภาพหลอนโดยตรง หลายครั้งก็ทำให้คดีคืบหน้า ซึ่งเรื่องเริ่มเละเทะมากในช่วงกลางเรื่องไป จนแทบไม่แน่ใจว่าตอนสุดท้ายจะคลี่คลายคดีนี้ในแบบปกติไม่เหนือธรรมชาติได้หรือไม่เลยด้วยซ้ำ แต่ก็ยังดีที่บทสามารถวกกลับมาได้ แล้วอธิบายทุกอย่างได้ในตอนจบ แต่ก็เป็นตอนจบแบบที่โยงให้ทั้งหมดมาสัมพันธ์กันในแบบวิทยาศาสตร์+ฆาตกรรม+มีความเป็นเฟมินิสต์ในตัว ซึ่งก็พอรับได้ จบได้ดี แต่เรื่องก็ทิ้งบางอย่างให้เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติไว้อยู่ดีเช่นกัน
สรุปเป็นซีซั่น 4 ที่หลุดลอยออกจากจากธีมชื่อเรื่องซีรีส์นี้ไปมากที่สุดแล้ว ด้วยคดีซ้อนที่ใส่เข้ามาเยอะหลายคดีจนไม่รู้จะกลับมาบรรจบกันได้ไงให้ลงตัว ฉากเหนือธรรมชาติหลายอย่างที่ใส่มาจนเหมือนหนังผีมากกว่าสืบสวน จนทำให้เรื่องหลงทิศทางไปเยอะ แม้ตอนจบจะวกกลับมาเคลียร์คดีในแบบปกติได้ดีอยู่ แต่ก็ทิ้งปริศนาพวกนี้คาไว้แบบไม่เฉลย สิ่งที่แบกเรื่องนี้ไว้คือตัวนักแสดงโจดี้ ฟอสเตอร์ ซึ่งผู้ชมยังคาดหวังการแสดงคุณภาพนี้ได้อยู่ครับ