playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Venom 2 ภาคต่อที่ขายตัวร้ายสุดโหด แต่กลับโดนเรตกดไว้จนน่าเสียดาย (ไม่มีสปอยล์)

สรุป

ภาคต่อที่เน้นตัวร้ายคาร์เนจสุดโหดจากคอมิค  แต่เจอเรต PG13 กดไว้จนความโหดรุนแรงแบบเลือดสาดหายไปหมด แล้วก็มีฉากแอ็กชั่นใหญ่ของคาร์เนจแค่ 3 ฉากสั้นๆ เท่านั้น ซึ่งใครที่หวังตรงนี้ไว้มากก็อาจจะผิดหวังได้ แถมตัวเรื่องเน้นยิงมุกติดตลกเยอะมากจนแทบจะเป็นหนังตลกเลยก็ยังได้  แต่ในภาพรวมตัวหนังก็ไม่ได้แย่มาก ดูเพลินๆ ไปได้เรื่อยๆ จนจบ ไม่เสียดายค่าตั๋วครับ

Overall
6/10
6/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • ตัวร้ายคาร์เนจคู่ปรับเวน่อม
  • แอนตี้ฮีโร่ที่เน้นตลกควบคู่แอ็กชั่น
  • ความน่ารักของเวน่อมที่เพิ่มขึ้นเยอะมาก
  • CG เข้าขั้นดีมาก
  • เอนด์เครดิตเชื่อมต่อจักรวาล

 

Cons

  • บทเป็นเส้นตรง ออกแนวง่ายๆ จนไม่มีลุ้นอะไรเลย
  • เน้นยิงมุกตลกมากจนเกินไปจนกลายเป็นฝืดแทน
  • ฉาดโหดถูกลดทอนความแรงไปหมด
  • เกริ่นนำเรื่องยาวมากกว่าจะเปิดตัวคาร์เนจ

 

Venom 2 Let There Be Carnage เวน่อม 2 ภาคต่อหนังแอนตี้ฮีโร่ที่ใช้คาร์เนจตัวละครคู่ปรับของเวน่อมมาเดินเรื่องเป็นตัวร้ายหลัก เน้นความโหดรุนแรงสูง แต่ถูกลดทอนลงด้วยเรต PG13 ให้เด็กดูได้เพลินๆ

ADBRO

 Venom: Let There Be Carnage (2021) on IMDb

ตัวอย่าง Venom 2 Let There Be Carnage

ภาคต่อที่เล่าเรื่องราวต่อเนื่องของเอ็ดดี้บร็อกที่มีซิมบิโอตปรสิตจากต่างดาวอยู่ในตัวที่มีชื่อ เวน่อม ทั้งคู่ต้องพยายามใช้ชีวิตร่วมกันแม้จะเห็นต่างกันทุกเรื่อง โดยเอ็ดดี้ตั้งกฎห้ามเวน่อมฆ่าคนอีกต่อไป  ให้กินแต่ไก่กับช็อกโกแลต จนมาวันหนึ่งเอ็ดดี้ได้รับคำขอร้องจากนักโทษประหาร “เคลตัส คาซาดี้” ให้มาพูดคุยกับเขา และด้วยความผิดพลาดทำให้เคลตัสได้รับเชื้อซิมบิโอตต่อจากเอ็ดดี้ไป และก็กลายเป็นตัวลูกของเวน่อมที่ชื่อ คาร์เนจ ซึ่งตามกฎของเผ่าพันธ์ซิมบิโอตตัวลูกต้องตามกลับมาฆ่าตัวต้นกำเนิดเพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งที่สุด ซึ่งนั่นก็คือที่มาของเรื่องราวการทำลายล้างของคาร์เนจกับเวน่อมในภาคนี้

นี่เป็นหนังแฟรนไชน์ทำเงินของโซนี่ที่นักวิจารณ์ไม่รักมาตั้งแต่ภาคแรกจนมาถึงภาคนี้ (ภาคแรกได้ 30% จากเว็บมะเขือ ส่วนภาค 2 ได้ 59%) แต่คนดูกลับเทคะแนนให้ตรงกันข้าม ซึ่งก็ไม่แปลกใจอะไรเพราะเรื่องราวในภาคแรกกับภาคนี้ยังมีแนวทางเดิมๆ ที่ชวนให้นักวิจารณ์ยี้ จากส่วนผสมของแนวแอนตี้ฮีโร่ติดตลก+เลือดสาด จะว่าเหมือนเดดพูลก็ไม่ใช่เพราะเรตของเรื่องนี้อยู่ที่ PG13 เท่านั้นเอง ซึ่งก็คือไม่มีฉากแหวะกัดเลือดไหลใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งมันค่อนข้างย้อนแย้งกับต้นฉบับคอมิคของเรื่องนี้ที่เน้นโหดเลือดสาด ยิ่งภาคนี้การที่เรื่องเน้นไปที่ตัวร้ายคาร์เนจที่ต้นร่างเป็นฆาตกรต่อเนื่อง คาร์เนจโหดมากกว่าเวน่อมมากมาย แต่พอโดนจำกัดด้วยเรต 13 แบบนี้ก็เลยกลายเป็นตัวเรื่องไม่สามารถไปในแนวทางนั้นได้เต็มที่ที่ หรือแม้แต่สักครึ่งเดียวก็อาจจะยังไม่ได้ด้วย ดังนั้นคงที่คาดหวังความโหดจากตัวร้ายในภาคนี้ก็ต้องผิดหวังกันแน่นๆ แต่ถ้ามองอีกมุมสำหรับคนที่ไม่เคยดูหรือรู้เรื่องต้นฉบับคอมมิคมาก่อน คาร์เนจตัวร้ายในหนังเวอร์ชั่นนี้ก็เป็นตัวร้ายที่มีฉากแอ็กชั่นถล่มทำลายล้างสิ่งต่างๆ รอบตัวได้สนุกแบบเว่อร์ๆ ดีเหมือนกัน เรียกว่าตอบโจทย์ผู้ชมทุกอายุทุกกลุ่มได้เลย จึงไม่แปลกใจที่หนังทำเงินถล่มทลายทั้ง 2 ภาคสวนทางกับนักวิจารณ์ตลอด แต่กว่าที่เรื่องจะเปิดตัวคาร์เนจก็ปาไปเกินครึ่งชั่วโมงแล้ว โดยเป็นฉากแหกคุก กับคั่นด้วยฉากตำรวจไล่ล่านิดหน่อย แล้วก็ไปโผล่อีกทีในฉากต่อสู้ตัดสินท้ายเรื่อง ซึ่งรวมๆ แล้วฉากแอ็กชั่นต่อสู้กันก็ไม่ได้เยอะอย่างที่คิด นอกจากนี้ก็มีตัวละครแฟนของเคลตัสที่มีพลังพิเศษเป็นการพ่นคลื่นเสียงออกมาแจมด้วย แต่เธอก็ไม่ได้มีบทบาทอะไรมาก เหมือนเป็นตัวร้ายแถมซะมากกว่าครับ

แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาและไม่เกี่ยวกับคนอ่านคอมิคมาคือ การที่เรื่องพยายามเน้นตลกพร่ำเพรื่อมากเกินไป เรียกว่าเหมือนผู้สร้างได้ใจที่ภาคแรกใส่ส่วนผสมนี้มาแล้วคนชอบ ภาคนี้จึงพยายามยัดมุกตลอกเข้ามาถี่ยิบจนทำให้ตัวละครทุกตัวในภาคนี้ต้องหาทางยิงมุกตลกกันหมด ซึ่งแรกๆ ก็อาจจะขำกับมุกทะเลาะกันของเอ็ดกี้กับเวน่อม แต่พอตัวเรื่องยัดมุกตลกใส่ตัวละครทุกตัวอย่าง คาร์เนจ เคลตัส ซึ่งเป็นตัวร้ายก็เลยกลายเป็นตลกที่ออกมาค่อนข้างฝืด แม้กระทั่งไคลแม็กซ์ฉากสู้สุดท้ายของเรื่องก็ยังไม่วายยิงมุกตลกกันมาเรื่อยๆ ซึ่งมันกลายเป็นมุกตลกเฟ้อจนแอบลดทอนความเข้มข้นของฉากแอ็กชั่นในเรื่องไปแทน

นอกจากนั้นตัวบทก็ถือว่ามีปัญหาพอสมควร จากการที่เรื่องแทบไม่มีอะไรเลยคือ เอ็ดดี้พาเชื้อไปทำให้เคสตัสกลายเป็นคาร์เนจ แล้วก็กลับมาตามล่าเอ็ดดี้แค่นั้น ไม่อะไรหักมุมหรือแปลกใหม่เลย เรียกว่าเป็นเส้นตรงแน่วจนคนดูไม่ต้องเดาอะไรอีกเลย แถมยังดูการ์ตูนง่ายๆ มากไป ตัวเรื่องจึงเหลือแค่ฉากแอ็กชั่นที่คนรอดูและช่วยกลบบาดแผลของบทตรงนี้ไปแทน

แต่จุดที่ภาคนี้ทำได้ดีก็ยังมี นั่นคือการเน้นความสัมพันธ์ของเอ็ดกี้กับเวน่อม ซึ่งภาคนี้ดูมีจิตใจเหมือนมนุษย์มากขึ้นกว่าภาคแรก โดยเวน่อมเป็นเหมือนคนคอยดูเอ็ดดี้ทุกอย่าง แม้จะชอบพูดกัดเอ็ดดี้ไปด้วยก็ตาม ซึ่งเรื่องทำให้เวน่อมภาคนี้ดูน่ารักขึ้นมาก อีกทั้งยังเข้าอกเข้าใจความรู้สึกของเอ็ดดี้ในเรื่องความรักที่ไม่สมหวัง ซึ่งตัวละครแอนนี่แฟนเก่าของเอ็ดดี้ก็ได้กลับมามีบทบาทสมทบนิดหน่อยพอเป็นสีสันเล้กของเรื่องได้ แต่บทในภาคนี้ใส่เธอกลับมาเพื่อตัดออกไปมากกว่า เพราะการที่เรื่องต้องมีนางเอกดูเป็นภาระมากกว่าจะเป็นตัวช่วยสำคัญได้ เพราะยังไงคนก็ต้องการดูตัวเวน่อมมากกว่าอยู่ดี ในตอนจบของเรื่องจึงกลายเป็นฉากกระหนุงกระหนิงบอกรักของเวน่อมกับเอ็ดดี้ไปแทน

ส่วนตัวนักแสดง วู๊ดดี้ ฮาเรลสัน ที่เป็น เคลตัส คาซาดี้ ก็ดูจิตๆ เหมาะกับบทดี ยิ่งฝีมือระดับนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่บทพยายามยัดตลกเข้ามากับบทที่อ่อนเหมือนการ์ตูนเด็ก ก็เลยกลายเป็นการแดสงของวู๊ดดี้ก็ไม่ได้ช่วยให้เรื่องดีขึ้นสักเท่าไหร่ สุดท้ายตัวละครนี้ก็ถูกปิดตายไปในตอนจบด้วย

แต่สุดท้ายไม่ว่ายังไง ในภาพรวมตัวหนังก็ไม่ได้แย่มาก ดูเพลินๆ ไปได้เรื่อยๆ จนจบ ไม่เสียดายค่าตั๋ว ยิ่งอยู่ในค่ายโซนี่ที่ไม่ได้มีสตรีมของตัวเอง การรอลงสตรีมก็นานมากแน่ๆ ถือว่าตีตั๋วดูโรงก็ได้ดูก่อนยาวๆ ครับ (หมายเหตุช่วงอาทิตย์นี้ปลายเดือนพฤศจิกายนยังเป็นรอบพิเศษ 1 ทุ่มไปจนกว่าจะเข้าจริงในอาทิตย์ถัดไปครับ)

สปอยล์ฉากบอกใบ้เรื่องราวต่อไป

ตัวเรื่องปิดท้ายด้วยฉากใบ้เรื่องราวต่อไป 2 จุด จุดแรกเป็นการเผยให้เห็นตัวละครใหม่ในจักรวาลซิมบิโอต ซึ่งก็คือตัว ท็อกซิน (TOXIN) ที่เกิดจากนักสืบมัลลิแกนที่ตามติดคดีเคลตัวมาตลอด โดยเป็นฉากที่ฉายให้เห็นตาของนักสืบเปลี่ยนเป็นสีฟ้าก่อนจะตัดฉากไป (อ่านเรื่องราวของท็อกซินในคอมมิคผ่านวิกิได้ที่นี่)

จุดที่สองคือเอนเครดิตท้ายเรื่อง เป็นฉากเวน่อมเห็นสไปเดอร์แมนเวอร์ชั่นทอมจากภาพข่าวในทีวี ตอนถูกเปิดหน้ากากออกมาให้ทั่วโลกรู้ ซึ่งจะไปตรงกับเหตุการณ์ของภาคต่อไปของ Spider-Man: No Way Home ที่กำลังจะลงโรงฉายเดือนธันวา คาดว่าน่าจะเป็นตอนที่หมอแปลกใช้เวทย์ช่วยลบความจำคนทั้งโลกเรื่องตัวจริงของสไปเดอร์แมนออกไป แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นพาศัตรูจากอีกมิติมาแทน ซึ่งเวน่อมในเรื่องนี้ก็ได้รับผลจากเวทย์ของหมอแปลกด้วยเช่นกัน ซึ่งก็เป็นการยืนยันกลายๆ ได้ว่าสไปเดอร์แมนภาคนี้มีจุดเชื่อมโยงมาถึงเวน่อมแน่ๆ ครับ

 

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!