รีวิวซีรีส์ Vortex ย้อนเวลาสืบสวนผ่านโลก VR แบบบัตเตอร์ฟลายเอฟเฟ็กต์
Vortex
Summary
โดยรวมนี่เป็นซีรีส์ที่เล่นเรื่องไทม์ทราเวลในแบบใหม่ได้ดีเลย แม้จะยังไม่ถึงกับเนียนได้หมดทุกจุด แต่ถ้าปล่อยใจไหลไปกับเรื่องราวแนวบัตเตอร์ฟลายเอฟเฟ็กต์ ที่มีการสืบหาคนร้ายข้ามเวลากับปมปัญหาชีวิตครอบครัว ถือว่าเรื่องนี้ทำได้สมดุลย์ทั้ง 2 ทาง และออกมาดีมากแล้ว แนะนำเลยว่าไม่ควรพลาด
Overall
7.5/10User Review
( votes)Pros
- ไทม์ทราเวลผ่านโลก VR
- แนวบัตเตอร์ฟลายเอฟเฟ็กต์
- ปมฆาตกรต่อเนื่องซับซ้อน
- ปมดราม่าครอบครัวทำได้ดี
Cons
- เขียนบทโดยใช้ตัวละครหลอกมากไปจนบางครั้งดูไม่สมเหตุผล
- การแก้ปัญหาเรื่องเวลายังไม่ถึงกับลงตัวมาก
Vortex ซีรีส์ 6 ตอนจบของฝรั่งเศสที่ฉายทางทีวีเมื่อปลายปี 2022 ก่อนที่ Netflix จะซื้อมาลงในระบบ เป็นเรื่องราวในปี 2025 ตำรวจมีเทคโนโลยี VR จำลองที่เกิดเหตุได้เสมือนจริง Ludovic ตำรวจสืบสวนได้เข้ามาทำคดีหญิงสาวตกลงมาจากหน้าผา ในจุดเดียวกับที่อดีตภรรยาของเขาพลัดตกลงมาเมื่อ 27 ปีก่อน ในที่เกิดเหตุจำลองของโลก VR เขากลับได้พบภรรยาในห้วงเวลา 27 ปีก่อนเกิดเหตุ 11 วัน และพบว่ามันคือคดีฆาตกรรมไม่ใช่อุบัติเหตุ ทั้งคู่จึงเริ่มหาทางสืบสวนว่าใครคือฆาตกร
รีวิวซีรีส์ Vortex (Netflix)
ซีรีส์ที่ใช้พล็อตเรื่องแนวไทม์ทราเวลรวมกับเทคโนโลยี VR กลายเป็นไอเดียที่สดใหม่ไม่เคยมีเรื่องไหนทำมาก่อน โดยเรื่องนี้จะเป็นการย้อนเวลากลับไปได้เฉพาะเวลาสวมแว่น VR ที่จำลองที่เกิดเหตุไว้เท่านั้น ทำให้มีขอบเขตจำกัดแค่ห้องเสี่เหลี่ยมในโลกจริง ที่ตัวเอกในอนาคตกับอดีตจะได้มาเจอกันตามเวลาที่นัดไว้เท่านั้น แต่ไม่สามารถสัมผัสกันได้เพราะตัวละครในอดีตเป็นแค่ VR ซึ่งการบีบให้มีข้อจำกัดขนาดนี้ทำให้เรื่องดูไม่เว่อร์มาก และยังใช้ประโยชน์จากข้อจำกัดเรื่องย้อนเวลามาทำให้เหตุการณ์ในเรื่องดำเนินไปแบบลุ้นระทึกตลอดเวลา ด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันของตัวเอกทั้งคู่ที่ร่วมสืบสวนทั้งในอดีตกับอนาคต และก็ทำให้เหตุการณ์ถูกเปลี่ยนไปมาทุกครั้งที่ทั้งคู่พยายามแก้ปริศนาว่าใครคือคนร้าย โดยเรื่องนี้ใช้ทฤษฎีแบบหนังบัตเตอร์ฟลายเอฟเฟ็กต์ (Butterfly Effect) ที่เส้นเวลาไม่ได้แตกแขนงออกไปเรื่อยๆ แต่มีเพียงเส้นเวลาเดียวที่คงอยู่และเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลงในอดีต
และไม่ใช่แค่ข้อจำกัดในเรื่องการใช้ VR อย่างเดียว แต่ในเรื่องยังใส่ปมว่าตัวเอก Ludovic นั้นได้แต่งงานใหม่ มีลูกชายเพิ่มมาอีกคน ดังนั้นการที่เขาพยายามช่วยภรรยาในอดีตไม่ให้ตายก็กลายเป็นการทำลายชีวิตปัจจุบันของเขาไปด้วย โดยที่ภรรยาในอดีตของเขาก็รู้สึกปวดใจที่ต้องมารู้ว่าตัวเองตายและสามีไปแต่งงานใหม่ กลายเป็นความรู้สึกว่าไม่ใช่แค่การสืบหาคนร้ายให้เจอ แต่พวกเขายังต้องพยายามหาทางรักษาเส้นเวลาในปัจจุบันให้คงอยู่เหมือนเดิมไปด้วย เพื่อรักษาชีวิตครอบครัวของทั้งคู่ไว้ใน 2 ช่วงเวลาพร้อมกัน รวมถึงความพยายามแก้ไขชีวิตของเพื่อนร่วมงานที่เปลี่ยนไปให้กลับมาเหมือนเดิมด้วย ทำให้ปมการแก้ไขเหตุการณ์ในเรื่องซับซ้อนขึ้นไปอีกหลายเท่า และนี่คือบทสรุปสุดท้ายของเรื่องที่สำคัญกว่าการไขคดีฆาตกรรม ที่ตัวเรื่องขมวดจบลงได้ค่อนข้างดีเลย
ซีรีส์ใส่เรื่องราวการสืบหาฆาตกรต่อเนื่องไว้ได้อย่างลงตัวกับการเล่นกับเวลา โดยเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ซ่อนตัวมาเป็นเวลานาน และสร้างฉากฆาตกรรมให้เหมือนเป็นอุบัติเหตุ โดยมีตัวละครที่ทำให้ผู้ชมต้องสงสัยตั้งแต่เปิดเรื่อง และถูกบทชี้นำทำให้คิดตามที่วางไว้ได้เป็นอย่างดี ถือว่าคาดเดาได้ยากพอสมควรเลย แต่ตรงนี้ก็เป็นจุดด้อยของเรื่องเหมือนกันเมื่อบทพยายามใส่ตัวละครกับเหตุการณ์หลอกผู้ชมซ้ำๆ หลายครั้งมากไปหน่อย จนบางอย่างดูไม่สมเหตุผล
CG ในเรื่องถือว่าทำได้ดีมาก โดยเทคโนโลยี VR ที่เห็นในเรื่องส่วนใหญ่มาจากการใช้จอ LED โค้งขนาดใหญ่ถ่ายทำในสตูดิโอสร้างภาพเสมือนจริง คล้ายๆ เทคนิคเดียวกับซีรีส์ the Mandalorian ซึ่งการจำกัดฉากในคดีฆาตกรรมไว้แค่ชายหาดที่เดียวก็ช่วยลดต้นทุนและทำให้เทคโนโลยีนี้เหมาะมาก แต่เรื่องก็ยังดูล้ำยุคอยู่เสมอเมื่อตัดฉากเข้ามาในโลก VR นี้ แต่นอก VR ก็ยังเป็นโลกปกติทั่วไป ไม่มีการใช้ CG ใดๆ เลย แม้แต่แว่นตาในเรื่องก็ยังใช้แว่นตาปกติมาทำเสมือนให้เป็นแว่น VR ไม่ใช่แบบครอบหัวไว้เหมือนในปัจจุบัน
โดยรวมนี่เป็นซีรีส์ที่เล่นเรื่องไทม์ทราเวลในแบบใหม่ได้ดีเลย แม้จะยังไม่ถึงกับเนียนได้หมดทุกจุด แต่ถ้าปล่อยใจไหลไปกับเรื่องราวแนวบัตเตอร์ฟลายเอฟเฟ็กต์ ที่มีการสืบหาคนร้ายข้ามเวลากับปมปัญหาชีวิตครอบครัว ถือว่าเรื่องนี้ทำได้สมดุลย์ทั้ง 2 ทาง และออกมาดีมากแล้ว แนะนำเลยว่าไม่ควรพลาด