รีวิว Warrior Nun SS2 ครึ่งแรกดีแอ็กชั่นเจ๋ง ครึ่งหลังดรอปลงจนเหมือน “หมดมุก+หมดงบ”
Warrior Nun SS2
Summary
ซีซั่นภาคต่อที่อัพเกรดฉากแอ็กชั่นดีกว่าซีซั่นแรกมากในทุกๆ ด้าน แต่น่าเสียดายที่ตัวเรื่องไม่ค่อยลึกหรือซับซ้อนหักมุมแบบภาคแรก แล้วบทก็ค่อยๆ หาทางลงง่ายๆ ในช่วงท้ายจนเหมือนงบหมด ทำให้หลังๆ ฉากแอ็กต่างๆ ดูดรอปลงไม่มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจเท่าช่วงแรก แต่ก็จบแบบเคลียร์เรื่องราวหมดจบสมบูรณ์ได้เลย แค่มีทิ้งไว้เผื่อต่อนิดเดียวเท่านั้น
Overall
7/10User Review
( votes)Pros
- ฉากแอ็กชั่น CG ดูดีกว่าภาคแรก
- มีเรื่องราวความรักแบบ LGTB เพิ่มเข้ามา
- บิดเรื่องพระคริสต์เป็นมุมมองใหม่
Cons
- ช่วงหลังบทหาทางลงง่ายๆ ฉากแอ็กชั่นก็ดรอปลงตามด้วย
- ตัวละครใหม่จบแบบตัดบททิ้งว่างเปล่าไปหน่อย
- ฉากเปิดเรื่องที่ต่อจากภาคก่อนโดนตัดข้ามไปทั้งหมด
รีวิว Warrior Nun SS2
ซีรีส์แม่ชีนักรบที่เรื่องราวสืบต่อจากตอนจบซีซั่นแรกที่ตัดค้างไว้ซะอลังการงานสร้างมาก แต่พอได้ทำต่อกลายเป็นว่าฉากต่อสู้กับเทวฑูตเอเดรียลที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากใต้นครวาติกันกลับไม่มี ซึ่งผู้สร้างก็รู้เลยล่ะว่าผู้ชมต้องการฉากต่อสู้ที่คาดว่าจะมันส์แน่ๆ ตั้งแต่เริ่ม แต่ผู้สร้างกลับเลือกตัดข้ามฉากนั้นไปเลยแล้วบอกเล่าว่าเรื่องผ่านมาสักระยะแล้ว แม่ชีที่อยู่ตอนนั้นพ่ายแพ้เอเดรียล แล้วก็หนีหลบซ่อนกบดานกันอยู่ โดยที่ไม่มีการเล่าย้อนกลับไปฉากต่อสู้ช่วงนั้นให้เห็นในภายหลังด้วย ซึ่งก็คงทำให้หลายคนเฟลตั้งแต่แรกแน่ๆ
ซึ่งเหตุผลจริงๆ ก็น่าจะเป็นเพราะตัวเรื่องในภาคนี้พึ่งพา CG ต่างๆ มากกว่าภาคเก่าเยอะ เพราะไม่มีการปูเรื่องราวดราม่าชีวิตส่วนตัวของนางเอกแบบซีซั่นแรกที่เชื่อเลยว่าคนจะเทเพราะครึ่งแรกของซีรีส์แมบน่าเบื่อมากกับชีวิตวุ่นๆ ของนางเอก จนมาครึ่งหลังที่ค่อยๆ อัดความแอ็กชั่นแฟนตาซีไซไฟเข้ามาติดๆ จนจบแบบพีคมากๆ ใน SS2 ตัวละครทุกตัวเลยเริ่มมาแบบมีพลังพิเศษโชว์อวดกันตั้งแต่แรก โดยเฉพาะลิลิธที่ได้พลังปีศาจมานี่แทบจะกลายเป็นตัวเด่นสุดของซีซั่นนี้ไปเลยด้วยร่างมารขั้นสุดยอดที่เหนือจินตนาการ ซึ่งทำให้แม้ตอนเปิดจะข้ามฉากสำคัญไปก็ยังมีอะไรที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ดูน่าตื่นตาตื่นใจ แล้วมุมมองฉากแอ็กชั่นในภาคนี้ก็ดูอัพเกรดจากภาคแรกขึ้นไปเยอะ เรียกว่าดูดีสวยเท่ทุกฉาก แล้วก็ยังคงเลือดสาดติดเรต 18+ แบบสะใจผู้ชมกันแน่ๆ ไม่แพ้ภาคแรกเลย
ตัวเรื่องกลับเป็นจุดอ่อนของภาคนี้มากกว่า เพราะเส้นเรื่องแทบจะไม่ค่อยมีอะไร เป็นแค่การที่เอเดรียลพยายามจะกลายเป็นพระเจ้าในโลกยุคนี้ โดยที่ต้องอาศัยวาติกันมาช่วย โดยที่มีเบื้องหลังเชื่อมโยงกับสายวิทยาศาสตร์ในเรื่อง แม้จะมีการพยายามเล่าตีความศาสนาคริสต์ในมุมมองใหม่ว่าพระเยซูจริงๆ ก็อาจจะเป็นแค่แฟรี่เทลของมนุษย์ ไม่ใช่พระมาโปรดแต่อย่างใด แล้วก็อ้างอิงการเอามงกุฎหนามมาใช้เป็นอุปกรณ์ต่อสู้กับเอเดรียล ซึ่งมันก็ดูโอเคกับความพยายามบิดเอาเรื่องโน่นนี่มายำรวมกันให้เป็นกึ่งเทวะตำนานผสมวิทยาศาสตร์ แต่มันกลับไม่ดูลึกซับซ้อนเท่าซีซั่นแรกที่มีการเชื่อมโยงตำนานต่างๆ กับปมความลับสำคัญของเรื่องที่หักมุมพลิกมากอยู่ ภาคนี้กลับเป็นการเชื่อมโยงเพื่อเล่าเรื่องหาวิธีปราบง่ายๆ แถมยังจบแบบ “หมดมุก+หมดงบ” ช่วงท้ายๆ ของเรื่องแทบไม่มีฉากอะไรตื่นตาตื่นใจแบบช่วงแรกๆ ของซีซั่น เรียกว่าถ้าเป็นเส้นกราฟภาคนี้คือดิ่งลงเรื่อยๆ ในด้านเนื้อเรื่องกับฉากแอ็กชั่น ตรงข้ามกลับภาคแรกที่ไต่ขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังดีที่ตัวเรื่องพอประคองตัวให้ดูจนจบได้แบบไม่ถึงกับแย่อะไรนักครับ
และเหมือนเป็นสูตรสำเร็จที่เน็ตฟลิกซ์ยังไงก็ต้องมีใส่ไว้คือเรื่องราวความรักแบบ LGBTQ ที่ภาคนี้ยัดใส่มาแต่แรกให้ผู้ชมรู้กันเลยว่าเบียทริซแอบหลงรักนางเอกเอวาอยู่ แล้วก็เป็นความรักต้องห้ามทั้งในฐานะแม่ชีหรือในฐานะผู้หญิงด้วยกัน โดยมีตัวละครใหม่เป็นชายหนุ่มหล่อที่มีความลับสำคัญกับเรื่องมาคอยกึ่งๆ เป็นตัวหลอกเหมือนพระรองให้ผู้ชมหมั่นไส้นิดๆ ซึ่งตัวเรื่องพยายามแทรกเรื่องรักนิดๆ เข้าไปอยู่เรื่อยๆ ตั้งแต่แรกจนจบแบบทำได้ดีทีเดียว แล้วก็ไม่ได้มีฉากที่ดูเกินเลยไปแบบน่าเกลียด พร้อมทั้งบทสรุปลงเอยความรักของเรื่อง ที่เรียกว่าผู้ชมสายจิ้นแนวนี้ต้องประทับใจแน่นอน
ตัวเรื่องจบแบบเคลียร์เนื้อหาจากภาคแรกแบบจบสมบูรณ์ลงตัวเลย แต่มีเอนด์เครดิตทิ้งท้ายไว้นิดๆ แบบจะทำต่อก็ได้ไม่ทำก็ได้เท่านั้นคัรบ
สรุปคือเป็นซีซั่นภาคต่อที่อัพเกรดฉากแอ็กชั่นดีกว่าซีซั่นแรกมาก แม้เนื้อเรื่องอาจจะดูหลวมๆ ง่ายๆ ไป แต่ก็ยังตอบโจทย์คนดูได้เป็นอย่างดีอยู่ครับ