playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Y: The Last Man ซีรีส์แนวดราม่าหายนะล้างโลกแบบเนือยๆ

Y: The Last Man

สรุป

ซีรีส์แนวหายนะโลกดิสโทเปียที่มาในแนวดราม่าเนิบๆ เนือยๆ เน้นการเมืองกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนไปเหลือแต่ผู้หญิงอยู่ในโลก ซึ่งต้องใช้ความอดทนดูมากพอสมควรเพราะเรื่องไม่มีจุดพีคให้ตื่นเต้นอะไรได้เลย

Overall
5.5/10
5.5/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • การจำลองโลกดิสโทเปียที่เหลือแต่ผู้หญิงว่าสังคมจะเปลี่ยนไปแบบไหน
  • โปรดักชั่นอยู่ในขั้นดีมาก

Cons

  • เรื่องออกแนวดราม่าเดินเรื่องอืดช้ามาก
  • ตัวเอกยอริกถูกสร้างให้นิสัยแบบเด็กๆ น่ารำคาญมาก
  • การเซ็ตติ้งสภาพสังคมให้ผู้หญิงรอดตายแต่กลับจัดการปัญหาหลายอย่างไม่ได้ดูแปลกๆ

ADBRO

Y: The Last Man ซีรีส์แนวดราม่าหายนะโลกดิสโทเปีย ของค่าย Hulu ที่ดูผ่าน Disney+ ได้ เรื่องราวของวิกฤติสูญสิ้นมนุษย์เพศชายบนโลกจนเหลือแต่ผู้หญิง ยกเว้นผู้ชายคนเดียวที่เหลือรอดและเป็นความหวังสุดท้ายในการกู้สายพันธ์มนุษย์กลับมา

 Y: The Last Man (2021) on IMDb

ตัวอย่าง Y: The Last Man

เนื้อเรื่องเริ่มจาก “ยอริก” ลูกชายของนักการเมืองชื่อดังคู่ปรับกับประธานาธิบดีสหรัฐได้พบว่าตัวเองเป็นผู้ชายคนเดียวที่รอดตายจากหายนะล้างโลกที่คร่าชีวิตแต่ผู้ชาย รวมถึงสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนมตัวผู้ที่มีโครโมโซม Y แบบไม่ทราบที่มาที่ไป เขาจึงหลบซ่อนตัวจากผู้คน ในขณะที่ เจนนิเฟอร์ บราว แม่ของเขาขึ้นครองตำแหน่งประธานาธิบดีแทนคนเก่าที่ตายไปตามลำดับสิทธิ์ในเวลานั้น และก็พยายามควบคุมแก้ไขสถานการณ์ให้ได้ เพราะเมื่อไม่มีผู้ชายสังคมจึงค่อยๆ ล่มสลายลงทุกด้าน การรับรู้ว่าลูกชายของเธอมีชีวิตรอดคนเดียวจึงกลายเป็นภัยต่อตำแหน่งที่เธอดำรงอยู่ ทางเดียวที่จะแก้ไขเรื่องนี้คือหาทางไขปริศนาว่าอะไรทำให้ยอริกพิเศษกว่าคนอื่น เธอจึงส่งลูกชายออกเดินทางไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่สายลับรหัส 355 ผู้หญิงผิวดำฝีมือฉกาจ เพื่อหาตัวนักวิทยาศาสตร์มาไขปริศนานี้ให้ได้

เรื่องนี้สร้างมาจากคอมิคในชื่อเดียวกันของค่าย DC Vertigo มาในแนวล้างโลกที่มีเหตุการณ์ประหลาดหาคำอธิบายไม่ได้ ซึ่งในเรื่องตอนนี้ที่รีวิวจาก 6 ตอน (มีทั้งหมด 10 ตอนจบซีซั่น 1) ก็ยังไม่ได้เฉลยว่าสาเหตุที่เพศชายตายหมดโลกเพราะอะไร ตัวเรื่องจึงดำเนินไปในแนวการผจญภัยของยอริกกับสายลับ 355 เป็นเมนหลักของเรื่อง ควบคู่ไปกับการบริหารงานในทำเนียบขาวของแม่ยอริก นอกจากนั้นก็มีเส้นเรื่องอื่นผสมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่ตัวหลักสำคัญเท่ากับสองเส้นเรื่องนี้

ต้องบอกก่อนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แนวแอ็กชั่นใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นแนวดราม่าเอาชีวิตรอดผสมการเมือง ตัวเรื่องก็เลยไม่ได้มีฉากบู๊ตื่นเต้นอะไรแทบทั้งนั้น อาจจะเพราะข้อจำกัดว่าตัวละครในเรื่องมีแต่ผู้หญิงด้วย การที่เรื่องจะไปเน้นอะไรหนักๆ แบบนั้นก็คงแปลกๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าตัวเรื่องจะเรียบสนิทไปซะทีเดียว เพราะเส้นเรื่องของยอริกกับ 355 ก็เป็นแนวการผจญภัยเอาชีวิตรอดของทั้งคู่ โดยมียอริกเป็นตัวปัญหาของเรื่อง ทั้งจากความเป็นผู้ชายที่เหลือคนสุดท้าย ซึ่งทำให้เกิดความบ้าคลั่งของผู้คนจากความไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมลูกประธานาธิบดีกลายเป็นผู้รอดชีวิตคนเดียว ซึ่งก่อให้เกิดทฤษฎีสมคบคิดได้มากมายว่าประธานาธิบดีมีส่วนรู้เห็นเป็นใจ ตัวเรื่องจึงให้ยอริกมักอยู่ในชุดปกปิดทั้งตัวใส่หน้ากากป้องกันแก๊ซพิษเพื่อปิดบังหน้าตา โดยมีลิงตัวผู้ที่เขาไว้แสดงมายากลเหลือรอดพร้อมกับเขาด้วย ซึ่งเป็นปริศนาควบคู่กันว่าทำไม อีกจุดที่เป็นปัญหาคือตัวยอริกเองก็ถูกวางไว้ให้นิสัยเด็กๆ ไม่ได้ตระหนักถึงความสำคัญของตัวเองในตอนนี้ ทำให้เขามักทำอะไรเสี่ยงอันตรายแหกคอกการคุ้มครองของสายลับ 533 เสมอ ซึ่งตัว 533 เองกลายเป็นตัวเอกสายบู๊ที่คอยต่อสู้ช่วยชีวิตยอริกที่เป็นตัวถ่วงซะมากกว่าเเสมอ ซึ่งตัวเรื่องจะมีความน่ารำคาญจากการการเซ็ตติ้งเรื่องงี่เง่าของยอริกไว้แบบนี้

ในฝั่งของแม่ยอริกเรื่องราวจะเกิดขึ้นอยู่แต่ในทำเนียบขาว เป็นแนวการเมืองล้วนๆ ซึ่ง เจนนิเฟอร์ บราว ไม่ใช่คนแทนตำแหน่งประธานาธิบดีจริง แต่ตอนนั้นไม่มีตัวเลือกอื่นทำให้เธอได้เป็น ซึ่งเธอก็ต้องมารับบทประธาธิบดีจำเป็น ต้องแก้วิกฤติอาหาร ไฟฟ้า การข่าว และอะไรอีกหลายอย่างในรูปแบบการเมือง แต่เป็นช่วงหายนะโลกที่ไม่มีรูปแบบรับมือได้มาก่อน ซึ่งเนื้อเรื่องก็จะไม่มีลุ้นหรือตื่นเต้นอะไรอีกเช่นกัน ออกจืดๆ มากกว่าฝั่งยอริกมาก ถึงแม้ภายหลังจะเปิดตัวคู่แข่งประธานาธิบดีที่มีสิทธิ์จากตัวจริง ตัวเรื่องก็ยังเป็นไปในทำนองเดียวกัน แต่เพิ่มเรื่องแผนการยึดอำนาจของอีกฝ่ายเข้ามา โดยมีลูกสาวประธานาธิบดีคนก่อนคอยเสี้ยมเป่าหูปล่อยข่าวลือต่างๆ นาๆ กับคนในทำเนียบขาว เพราะเชื่อว่าเจนนิเฟอร์กำลังปกปิดอะไรบางอย่างอยู่ (เรื่องยอริกยังไม่ตาย)

นอกจากนี้ก็มีเส้นเรื่องสมทบเป็นพี่สาวของยอริกที่เป็นเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือทางการแพทย์หญิงเดินทางร่วมกับ “ทรานส์แมน” หญิงข้ามเพศที่ใช้ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนเพิ่มความเป็นชาย และมีแม่ลูกอีกคู่ติดสอยห้อยตามไปด้วย กลุ่มนี้ต้องพบพวกที่รวมตัวกันยึดซูเปอร์มาเก็ตเป็นชุมชนของตัวเองที่มีอาวุธครบมือ จากการเข้ามาแบบบังเอิญกลายเป็นการติดอยู่กับกลุ่มนี้แล้วออกไม่ได้ โดยมีอันตรายจากความบ้าคลั่งของคนพวกนี้ซ่อนอยู่เป็นชนวนหายนะ

งานโปรดักชั่นในเรื่องถือว่าลงทุนสูงในการจำลองฉากหายนะต่างๆ และต้องสร้างสังคมโลกดิสโทเปียที่เหลือแต่ผู้หญิงขึ้นมาให้สมจริง ซึ่งก็เป็นความพยายามจินตนาการในแบบคล้ายๆ Mad Max เวอร์ชั่นผู้หญิง แต่ยังไม่ถึงขั้นกลายเป็นคนเถื่อนแบบนั้น แต่ในเรื่องก็เกือบๆ จะเป็นแบบนั้นได้แล้ว หลังจากที่เวลาผ่านไปแค่ไม่กี่เดือน โลกในเรื่องถูกจำลองว่าไม่มีไฟฟ้าใช้ ซึ่งก็อาจจะผิดปกติสักหน่อยว่าผู้ชายตายไปแล้วไม่มีผู้หญิงดูแลอะไรแบบนี้ได้เลย ตรงนี้ตัวเรื่องพยายามใส่คำอธิบายว่าผู้ชายคุมความรู้พวกนี้ไว้หมดตั้งแต่โลกยังปกติ จนทำให้เวลาเกิดหายนะผู้หญิงไม่สามารถไปทดแทนได้ ซึ่งเป็นความพยายามสะท้อนปัญหาในมุมแฟมินิสต์แบบที่ไม่ได้ต้องการให้สมจริงมากนัก ซึ่งก็เป็นข้อเสียของเรื่องไปเลย เพราะโลกในเรื่องดูขาดเสถียรภาพหลายๆ อย่างจนดูไม่น่าเชื่อสักเท่าไหร่ว่าผู้หญิงที่เหลือไม่สามารถฟื้นฟูสิ่งพวกนี้กลับมาได้ แต่ถ้าดูในมุมของการตั้งใจสะท้อนสังคมปัญหาของผู้ชายกุมอำนาจก็ถือว่าโอเคอยู่

ตัวเรื่องเดินหน้าไปแบบสโลว์มาก ค่อนข้างเนือยไปเรื่อยๆ ไม่มีจุดพีคอะไรให้ลุ้นจริงจัง ซึ่งน่าจะทำให้หลายคนที่คาดหวังแนวหายนะโลกต้องผิดหวัง ซึ่งตรงนี้ก็ต้องรอดูจนจบก่อนว่าช่วงหลังของเรื่องจะมีจุดพีคอะไรที่น่าสนใจมากกว่าปัจจุบันที่รีวิวถึงตอน 6 หรือไม่ครับ

ติดตามอ่านรีวิวเรื่องอื่นในดิสนีย์+ ได้ที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!