รีวิว Yakamoz S-245 สปินออฟ Into the Night ที่เล่าเรื่องราวในเรือดำน้ำแบบ Into the Deep
Yakamoz S-245
สรุป
ซีรีส์สปินออฟ Into the Night ที่เป็นเหมือนภาค 2.5 ทั้งเล่าเรื่องในเวลาเดียวกันแต่ต่างออกไปในเรือดำน้ำ และก็เชื่อมต่อเรื่องราวที่ขาดไปของภาคก่อนๆ พร้อมทั้งบทเฉลยความลับที่ไปไกลกว่าภาค 2 ครึ่งแรกเรื่องราวจะน่าเบื่อจากความขัดแย้งงี่เง่าของคนในเรือแบบเดียวกับซีซัน 1 พอช่วงหลังที่เรื่องราวเริ่มแตกต่างออกไปจะเริ่มสนุกน่าติดตาม แต่ก็ยังไม่ระทึกเท่าเครื่องบินในซีซันแรก ถ้าใครดูมาแล้วก็แนะนำว่าต้องดูต่อเลย แต่ถ้าดูภาคก่อนมาแล้วไม่ชอบก็ข้ามเรื่องนี้ไปเลยครับ
Overall
7/10User Review
( votes)Pros
- สปินออฟที่เชื่อมต่อกับนำเสนอเรื่องราวไปไกลกว่า
- สถานการณ์ความขัดแย้งในเรือดำน้ำ
- ตัวละครรองกับตันบทโดดเด่นมากเกินหน้าพระเอก
- เก็บรายละเอียดเครื่องกลในเรือได้ดี
- มีพากย์ไทย
Cons
- ในช่วงแรกยังยัดบทการกระทำงี่เง่าให้ตัวละครเพื่อสร้างความขัดแย้งแบบเดิม
- CG ภายนอกเรือดำน้ำยังดูไม่เนียนในหลายฉาก
- ตัวละครฝ่ายนักวิทย์บางคนบทน่ารำคาญมาก
Yakamoz S-245 เรือดำน้ำผ่ารัตติกาล ซีรีส์สปินออฟ (ภาคแยก) จาก Into the Night ที่มีมาแล้ว 2 ซีซั่น (อ่านรีวิวได้ที่นี่) และกำลังมีซีซั่น 3 แต่ภาคสปินออฟนี้ก็กึ่งๆ เป็นซีซั่น 2.5 ไปในตัวด้วยเช่นกัน เพราะเป็นการเล่าเรื่องอีกด้านที่เชื่อมต่อหลายเหตุการณ์ของซีซั่น 1 กับ 2 ไปพร้อมกันด้วย ผ่านตัวละครในเรือดำน้ำ ซึ่งบางช่วงถ้าไม่เคยดู Into the night ทั้ง 2 ซีซั่นมาก่อนก็จะงงๆ ไม่เข้าใจจุดเชื่อมต่อเหตุการณ์บางอย่างที่ภาคนี้ใส่มาได้ (แต่ถ้าเริ่มดูภาคนี้ก่อนแล้วย้อนกลับไปดู 1-2 ก็จะเข้าใจได้เช่นกัน)
ตัวอย่าง
เรื่องย่อ
เนื้อเรื่องยังคงมีที่มาแบบเดียวกันคือมหันตภัยล้างโลกจากแสงอาทิตย์ที่แผ่รังสีบางอย่างทำให้สิ่งมีชีวิตประเภทสัตว์ตายในทันที (พวกพืชรอด) กลุ่มตัวเอกในเรื่องคือนักวิทยาศาสตร์ 5 คนที่ลงไปดำน้ำใต้ทะเลลึก เมื่อขึ้นมาถึงผิวน้ำกลับพบว่าคนบนโลกตายไปหมดแล้ว ในขณะเดียวกันก็มีเรือดำน้ำ ยากามอส S-245 ของนาโต้โผล่ขึ้นมาพบเจอพวกเขา และทั้งสองทีมก็ร่วมกันเอาชีวิตรอดจากหายนะล้างโลก พร้อมทั้งพยายามสืบสวนหาเรื่องราวความจริงบางอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในเรือดำน้ำนี้
รีวิว Yakamoz S-245
****รีวิวมีสปอยล์เนื้อหาภาค 1-2 บางส่วน แต่ไม่สปอยล์ส่วนสำคัญภาคนี้***
ภาคสปินออฟนี้เป็นงานสร้างจากตุรกีต่างจาก 2 ภาคแรกของเบลเยียม แต่อยู่ภายใต้โครงงานของเน็ตฟลิกซ์เหมือนกันทั้งคู่ โดยสร้างมาจากนิยายชุดเดียวกัน ภาคแยกนี้จะมีทั้งหมด 7 ตอน ความยาวแต่ละตอนประมาณ 50 นาที ซึ่งยาวกว่า into the night ทั้ง 2 ซีซั่นมาก (Into มี 6 ตอนต่อซีซั่น เวลาต่อตอนไม่ถึง 30 นาที) โดยธีมของเรื่องก็ยังเป็นแบบเดียวกันคือไม่ได้เน้นที่มหันตภัยโดยตรง ไม่ใช่แนวแอ็กชั่น แต่เป็นแนวไซไฟทริลเลอร์ดราม่ากดดันจากความบ้าคลั่งของมนุษย์ด้วยกันเอง โดยจะคล้ายกับซีซั่น 1 มากที่สุดตรงที่เรื่องราวเน้นไปที่ความขัดแย้งของนักวิทยาศาสตร์กับทหารที่มีหลักการแนวคิดต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ทั้งสองฝ่ายต้องมาติดอยู่ในที่เดียวกัน โดยที่ยังมีดราม่าจากการกระทำไม่เข้าท่าของทั้ง 2 ฝ่าย แบบยัดใส่มาให้เป็นเรื่องราวขัดแย้งแบบเดียวกับในซีซั่น 1 เป๊ะๆ ซึ่งใครที่รำคาญอะไรแบบนี้ก็อาจจะเบื่อกับการเล่าแนวทางเดิมๆ ของเรื่องนี้เช่นกัน แต่ถ้าเทียบกันแล้วก็ถือว่าเบาลงกว่าสองภาคก่อน อยากให้ทนสักนิดจนผ่านกลางเรื่องไป เนื้อเรื่องจะเริ่มมีทิศทางใหม่ๆ หลังจากนั้นครับ
ทิศทางใหม่ของเรื่องนี้ก็คือการคลายปมความลับต่างๆ ที่ทั้ง 2 ซีซั่นก่อนขยักค้างๆ ไว้ ภาคนี้บอกเล่าเรื่องราวของนาโต้เพิ่มเติมในแบบที่ชัวร์แหละว่านี่คือ 1ในฝ่ายตัวร้ายของเรื่องแน่ๆ จากที่ภาคก่อนคือเหมือนแค่นาโต้ล่วงรู้ว่าจะมีเหตุการณ์นี้ แต่ในภาคนี้จะมีความลับบางอย่างที่ไปไกลกว่านั้น แล้วก็นำมาผูกรวมเข้ากับเรือดำน้ำลำนี้ได้อย่างน่าสนใจ และเส้นเรื่องของภาคนี้ในช่วงหลังคือจะแวะเข้าไปข้องเกี่ยวกับเหตุการณ์ใน 2 ภาคก่อน ทั้งการติดตามเครื่องบินในซีซั่นแรกกับการตามไปยังหลุมหลบภัยในซีซั่น 2 โดยมีอีกมุมมองที่ต่างออกไป และยังได้ไปสำรวจบางอย่างที่ภาคก่อนทิ้งปริศนาไว้ไม่ไปหาอีกด้วย อย่างเหมืองแห่งหนึ่งที่ส่งสัญญาณวิทยุออกมา นอกจากนี้ยังมีบางตอนที่เรื่องราวบ้าคลั่งเกือบจะเป็นแนวซอมบี้ไปเลย ซึ่งหลายๆ อย่างในช่วงหลังทำได้น่าติดตามมากผิดกับช่วงแรกเลย และแอบมีอะไรว้าวๆ เกินคาดมาให้เห็นในตอนจบด้วย (เข้าใจว่าภาคนี้น่าจะไปรวมเรื่องในซีซั่น 3 คงไม่มีแยกออกมาอีก)
และก็เหมือนหนังเรือดำปกติที่มักจะใส่เรื่องช่วงชิงการนำบังคับบัญชาเข้ามา ซึ่งเรื่องนี้ก็ยังสอดแทรกแนวนี้ไว้ด้วยเช่นกัน โดยมีตัวรองกับตันที่ดูเหมือนทหารบ้าอำนาจและพร้อมฆ่าใครก็ตามที่ขัดขวางการทำหน้าที่ของเขา ตัวเรื่องวางเขาไว้เหมือนเป็นตัวร้ายในตอนแรกดูเป็นตัวละครมิติเดียวแบบทื่อๆ แต่บทก็ใส่รายละเอียดที่มาของนิสัยใจของเขาให้ได้รู้ภายหลัง กลายเป็นตัวละครที่มีความซับซ้อน ซึ่งตัวเรื่องวางตัวละครนี้ไว้ได้อย่างโดดเด่นและน่าสนใจ มีบทบาทสำคัญมากกว่าตัวพระเอกของเรื่องซะอีก จนผู้ชมอาจจะรู้สึกเอาใจช่วยตัวละครนี้มากกว่ากลุ่มตัวเอกนักวิทย์ศาสตร์เสียด้วยซ้ำ เพราะในเหตุการณ์หายนะแบบนี้การตัดสินใจเด็ดขาดในแบบทหารของเขาอาจจะเป็นอะไรที่เหมาะสมกว่ามาก (ตัวละครฝั่งนักวิทย์มีบทออกแนวงี่เง่าหลายครั้งมาก)
ซีรีส์ใช้ CG ในฉากเรือดำภายนอกแทบทั้งหมด ซึ่งก็ไม่ค่อยเนียนมาก แต่ก็พอรับได้ เพราะนี่เป็นซีรีส์สเกลใหญ่แต่ทุนไม่สูง อาศัยการเล่าเรื่องความขัดแย้งของคนมากกว่า แต่ส่วนรายละเอียดเครื่องกลภายในทำออกมาค่อนข้างดีมาก อันนี้ก็คือจุดที่ทดแทนกันได้ เพราะเรื่องเน้นภายในมากกว่าภายนอก ไม่มีฉากรบยิงตอปิโดแบบหนังเรือดำน้ำทั่วไปครับ (มีเล่าว่ายิงตอปิโด แต่ไม่มีฉากยิงให้เห็น)
เรื่องนี้มีพากย์ไทยในตัว แต่ด้วยความที่เรื่องเกี่ยวข้องกับคนหลายเชื้อชาติแบบเดียวกับภาคก่อนๆ เวลาฟังเสียงไทยจะเป็นบทสนทนาจากภาษาตุรกี แต่พอตัวละครในเรื่องพูดกรีก เยอรมัน อังกฤษ ตรงนี้จะไม่มีพากย์ทับมาให้ มีซับให้อ่านแทน เพราะต้องการให้คนดูเข้าใจว่าตัวละครกำลังสื่อสารกันเพื่อไม่ให้คนอื่นรู้ หรือเป็นการใช้ภาษาที่แตกต่างตามบทที่วางไว้ครับ (อย่างมีตัวละครนึงพูดกรีกทั้งเรื่อง แต่เป็นคนเยอรมัน)
สรุป
โดยรวมแล้วถือว่าเป็นซีรีส์สปินออฟที่ทำออกมาได้ดีกว่าต้นเรื่องซีซั่น 2 แต่ไม่ดีเท่าซีซั่น 1 ที่เป็นเครื่องบินหนีแสงอาทิตย์แบบข้ามโซนเวลาที่ลุ้นกว่ามาก (อันนี้แค่ดำก็หลบได้แล้ว) ซึ่งถ้าใครดูมาก่อนแล้วก็แนะนำว่าต้องดูเลย แต่ถ้าใครดูภาคก่อนมาแล้วไม่ชอบก็ข้ามเรื่องนี้ไปได้เลยครับ