รีวิวซีรีส์ Yu Yu Hakusho คนเก่งฟ้าประทาน (Netflix) มีดีที่แอ็กชั่น CG แต่ยุบเนื้อเรื่องจนดูแย่มาก
Yu Yu Hakusho
Summary
สรุปเป็นซีรีส์จากมังงะเก่าแก่ยุค 90 มาทำเป็นซีรีส์ Live Action ที่มีดีตรงฉากแอ็กชั่นผสม CGI ที่ดีมากในระดับของงานญี่ปุ่น ผู้ชมจะได้ความสนุกกระชับรวดเร็วจากการเล่าเรื่องด้วยฉากแอ็กชั่น 70% ในจำนวนตอนที่สั้นเพียง 5 ตอนจบ ซึ่งเป็นการยุบเนื้อเรื่องภาค 1-3 มาไว้ด้วยกัน จนจุดนี้เป็นข้อเสียใหญ่ของเรื่องที่มีผลทั้งผู้อ่านมังงะมาก็คงไม่ชอบและผู้ชมใหม่ก็คงงงกับหลายอย่างที่ยัดมาแบบทื่อๆ มากครับ
Overall
6.5/10User Review
( vote)Pros
- ฉากแอ็กชั่นผสม CGI ที่ดีมากในระดับของงานญี่ปุ่น
- จำนวนตอนสั้น 5 ตอนจบในซีซั่นเลย
- มีพากย์ไทย
Cons
- เนื้อเรื่องที่ยุบจากมังงะมาจนแย่มาก
- นักแสดงไม่ค่อยลงตัวกับบท
Yu Yu Hakusho คนเก่งฟ้าประทาน ซีรีส์ญี่ปุ่น Original Netflix 5 ตอน สร้างจากมังงะยอดฮิตระดับตำนานที่ถูกดัดแปลงเป็นผลงานฉบับคนแสดงจริง เรื่องราวของ ยูสึเกะ อุราเมชิ หลังจากสละชีวิตเพื่อช่วยเด็กจากอันตรายจนถึงแก่ความตาย เขาก็ได้รับเลือกให้เป็นนักสืบโลกวิญญาณ ซึ่งมีหน้าที่ไขคดีปริศนาที่เกี่ยวพันกับปีศาจร้าย
รีวิวซีรีส์ Yu Yu Hakusho คนเก่งฟ้าประทาน Netflix (ไม่มีสปอยล์)
มังงะเก่าแก่ตั้งแต่ปี 1990 ของอาจารย์ Yoshihiro Togashi ที่เขียน Hunter × Hunter ในปัจจุบันที่โด่งดังกว่า แต่ในสมัยของเรื่องนี้ก็คือดังระดับเดียวกัน เป็นผลงานที่ไม่ยาวนักใช้เวลา 4 ปี มี 4 ภาค และจบสมบูรณ์ไปแล้ว โดยมีอนิเมะตามออกมาในปี 1992 กับอีกหลายเวอร์ชั่นต่อมา ซึ่งการหยิบเอามังงะเก่าแก่ขนาดนี้มาทำได้ก็คงเพราะทีมงานนี้สร้าง Alice in Borderland จนดังมาก ซึ่งตอนนี้ประกาศทำถึงซีซั่น 3 แล้วด้วย และทาง Netflix ก็ยังมีผลงานวันพีชที่ประสบความสำเร็จมากตามมาอีก การสร้างผลงานมังงะยอดนิยมเรื่องนี้จึงเป็นการเสี่ยงที่พอคุ้มค่าอยู่เหมือนกัน ทั้งในแง่การดึงผู้ชมรุ่นเก่าให้มาดู หรือการเปิดตลาดให้ผู้ชมรุ่นใหม่ได้รู้จักในแบบ Live Action ที่ญี่ปุ่นทำเองแบบที่ผ่านๆ มาแล้วไม่ประสบความสำเร็จในระดับสากลนัก แต่ด้วยความเสี่ยงนี้ทาง Netflix จึงให้ทำออกมาแค่ 5 ตอน ซึ่งสั้นมาก และก็เป็นการยุบและยำเนื้อเรื่องภาค 1-3 เข้าด้วยกัน ซึ่งผลงานที่ออกมามันเลยไม่โอเคเท่าไหร่นัก
ด้วยความที่เรื่องนี้ยุบเนื้อเรื่องต้นฉบับ 3 ภาคเข้าด้วยกัน จึงมีการแต่งเรื่องใหม่โดยเอาเนื้อเรื่องของภาค 3 ที่มีหลุมขนาดใหญ่เกิดขึ้นมาในเมือง แล้วก็มีปีศาจหลุดออกมา ทำให้พระเอกยูสึเกะประสบอุบัติเหตุในแบบเดิม แล้วก็ต้องมาปราบปีศาจพวกนี้ก่อนเจอกับเพื่อนที่เหลือกับบอสโทงุโร่ ซึ่งคนอ่านสมัยก่อนก็คงไม่โอเคกับเนื้อเรื่องใหม่นี้แน่นอน เพราะเนื้อเรื่องสำคัญถูกตัดไปจนหมด ทำให้การดำเนินเรื่องผิดแปลกไปมาก แล้วก็ออกมาไม่ดีด้วย แม้จะดูแล้วเข้าใจลำดับเรื่องใหม่นี้ แต่มันก็ขาดการปูพื้นเรื่องราวชีวิตที่ส่งผลถึงพัฒนาการตัวละครไปจนหมด ซึ่งคนที่ไม่เคยดูเรื่องนี้มาก่อนน่าจะรู้สึกงงๆ กับหลายอย่างที่ซีรีส์นำเสนอออกมาแบบแทบไม่อธิบายอะไรให้คนดูกลุ่มนี้ได้เข้าใจเลย และด้วยความเก่าของเรื่องนี้หลายๆ อย่างจึงดูล้าสมัยตามไปด้วยเช่นกัน ซึ่งแม้แต่คนอ่านสมัยก่อนมาก็น่าจะรู้สึกได้เช่นกันว่าเนื้อเรื่องมันเชยมากเกินไปแล้วในตอนนี้
แต่ด้วยความที่เป็นทีมงาน Alice in Borderland ทำ ซึ่งมีจุดขายชัดเจนที่ฉากแอ็กชั่นกับ CGI ที่ดี ทำให้เรื่องนี้ก็มาในแนวเดียวกันคือ เน้นฉากแอ็กชั่นผสม CGI ที่อยู่ในขั้นดีมากของญี่ปุ่น (แต่ก็ไม่ถึงที่ทางตะวันตกทำที่เนียนกริ๊บกว่า) ซึ่งการยุบเนื้อเรื่องให้เหลือแค่ 5 ตอนก็ให้เวลาไปกับฉากแอ็กชั่นมากถึงประมาณ 70% ของเรื่อง เนื้อเรื่องมีแค่การเกริ่นสั้นๆ ก่อนที่จะพาไปเจอศัตรที่ต้องสู้แบบต่อเนื่องไปเรื่อยๆ แม้จะไม่ประทับใจเนื้อเรื่อง แต่ก็ต้องยอมรับว่าการทดแทนด้วยฉากสู้ก็ทำได้ดีมาก มีความมันส์ในฉากต่อสู้แบบ Live Action ที่สมจริงที่สุดแล้ว หลายอย่างเหมือนมังงะมาก โดยเฉพาะพลังของตัวเอกและบอสโทงุโร่ จนนี่คือจุดเด่นจุดขายหลักที่ชวนคนมาดูได้จริงๆ (แต่ก็มีการตัดศัตรูหายไปเยอะมากด้วย)
ส่วนตัวนักแสดงที่รับบทตั้งแต่เห็นภาพแรกผู้เขียนเองก็ไม่ชอบสักคน (ไม่เหมือนวันพีชที่ชอบหมด) เพราะดูว่าแคสมายังไม่ดีพอ แต่พอได้ดูจริงก็รู้สึกว่าหลายคนก็ดีกว่าที่คิดมาก อย่าง ยูสึเกะ (รับบทโดย Takumi Kitamura ) ที่ติดนิสัยเด็กเกเร พูดจาไม่ดี แต่จิตใจดีได้เหมือนต้นฉบับแบบไม่ขัดกับตัวนักแสดงมาก แต่ที่ยกให้ว่าดีที่สุดก็คือ คุวาบาระ (รับบทโดย Shuhei Uesugi) คู่แข่งของยูสึเกะที่เล่นได้ดีมากในบทตลกที่ทำให้เรื่องดูผ่อนคลายได้เสมอ แล้วความมุ่งมั่นของตัวละครก็แสดงออกมาได้ดี แม้ว่าบทจะน้อยมากแต่ก็ยังทำให้ผู้ชมรู้สึกเอาใจช่วยตัวละครนี้เสมอ แต่ในกรณีของคุรามะกับฮิเอ (เล่นโดย Jun Shison กับ Kanata Hongō) นี่คือค่อนข้างแย่ ตั้งแต่นักแสดงที่ไม่ได้ลงตัวแล้วทั้งคู่ยังต้องใส่วิกทำผมแปลกๆ บทของตัวละครก็น้อยมีแค่ฉากสู้ใหญ่คนละครั้ง เลยกลายเป็นเหมือนตัวประกอบเรื่องมากกว่า ส่วนตัวละครสมทบที่ดีก็มี โบตั๋น (เล่นโดย Kotone Furukawa) แม้หน้าตาจะไม่ตรงต้นฉบับเลย แต่การแสดงของเธอออกมาดี มีบทที่มีเสน่ห์น่ารักเล็กๆ ทำให้เรื่องดูดีขึ้น โคเอนมะ (รับบทโดย Keita Machida) มาในร่างกายผู้ใหญ่เลยไม่ใช่เด็กทารกดูดจุกนม
แต่ก็ยังมีจุกนมคาปากอยู่ มันก็เลยดูแปลกๆ ตลอดเวลาที่เห็นตัวละครนี้พูด ส่วนตัวละครที่เหลือนี่ก็คือธรรมดามากจนไม่มีอะไรน่าจดจำ
ตัวเรื่องจบเคลียร์เรื่องราวทั้งหมดแบบไม่มีทิ้งค้างไว้เป็นพาร์ท 1-2 แบบที่ Netflix มักชอบทำในช่วงหลัง แต่ก็ยังสามารถทำต่อได้เพราะต้นฉบับมังงะก็ยังมีเนื้อเรื่องเหลืออีก 2 ภาค ซึ่งเชื่อว่า Netflix ก็คงรอดูผลตอบรับ ถ้าดีก็คงได้ทำต่อ แต่ก็อาจจะมาแบบสั้นๆ 5 ตอนจบเหมือนเดิมครับ
สรุปเป็นซีรีส์จากมังงะเก่าแก่ยุค 90 มาทำเป็นซีรีส์ Live Action ที่มีดีตรงฉากแอ็กชั่นผสม CGI ที่ดีมากในระดับของงานญี่ปุ่น ผู้ชมจะได้ความสนุกกระชับรวดเร็วจากการเล่าเรื่องด้วยฉากแอ็กชั่น 70% ในจำนวนตอนที่สั้นเพียง 5 ตอนจบ ซึ่งเป็นการยุบเนื้อเรื่องภาค 1-3 มาไว้ด้วยกัน จนจุดนี้เป็นข้อเสียใหญ่ของเรื่องที่มีผลทั้งผู้อ่านมังงะมาก็คงไม่ชอบและผู้ชมใหม่ก็คงงงกับหลายอย่างที่ยัดมาแบบทื่อๆ มากครับ