ฮ่องกงเดือด! เห็นข่าวความรุนแรงในฮ่องกง แล้วอดประหวั่นพรั่นพรึงไม่ได้ ถึงข้อพิพาทระหว่างกลุ่มการเมืองไทยที่กินเวลาถึง 6 ปี ในพุทธศักราช 2548-2553
การประทะกันของผู้ชุมนุมในฮ่องกง
การก่อหวอดประท้วง เป็นการแสดงปฏิกิริยาต่อต้านอำนาจจากผู้ปกครองชนิดหนึ่ง ซึ่งการประท้วงจะยิ่งขยายใหญ่และทวีความรุนแรงขึ้น หากไม่สามารถหาข้อตกลงที่ win-win ได้ทั้งสองฝ่าย รวมถึงวิธีตั้งรับของฝ่ายการปกครองที่ไม่อาจสร้างความพึงพอใจให้แก่ประชาชนได้ ย่อมทำให้สถานการณ์บานปลายไปสู่หายนะอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 16 มิ.ย. ปี 2562 เป้นต้นมา เกิดการปะทะอย่างต่อเนื่องระหว่างประชาชนช่าวฮ่องกงที่ลุกขึ้นมาประท้วงกับเจ้าหน้าที่รัฐ จนเกิดการใช้แก๊ซน้ำตาและระเบิดควันในการยับยั้งสถานการณ์ ส่งต่อปฏิกิริยาคลุ้มคลั่งให้กลุ่มวัยรุ่นหัวรุนแรงบุกทำลายสถานที่ราชการ ปิดเส้นทางจราจรทั้งรถไฟใต้ดิน ลามถึงสนามบิน เพื่อ shut down ทุกระบบในเกาะฮ่องกงให้ชะงักงัน
ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และภาพลักษณ์ของฮ่องกงเท่านั้น การต่อสู้ครั้งนี้ยังเป็นกรณีตัวอย่างที่โชว์ให้โลกเห็นว่า โลกจะไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของจีนอีกต่อไป เพราะเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้สหรัฐฯก้าวเข้ามาสนับสนุนและแทรกแซงการประท้วงครั้งนี้ ด้วยการยื่นมือให้ความช่วยเหลือ รวมถึงผลักดันให้แกนนำประท้วงได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ
ความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนคือ สหรัฐฯต้องการจะสู่้กับจีนเองโดยยืมมือฮ่องกง เกาะฮ่องกงเปรียบเหมือนสนามจำลองการรบระหว่างจีนกับสหรัฐ โดยมีกลุ่มวัยรุ่นผู้ประท้วงและเจ้าหน้าที่รัฐเป็นตัวตายตัวแทน
การสนับสนุนความรุนแรงและการเข้าแทรกแซงอย่างออกหน้าออกตานี้อาจะไม่เกิดขึ้นหากประธานาธิบดีสหรัฐฯไม่ใช่โดนัล ทรัมป์ ซึ่งแสดงท่าทีไม่เป็นมิตรต่อจีนมาตลอดตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง และการตั้งรับของจีนก็ไม่สอดคล้องกับเกมส์กระดาน รังแต่จะสร้างความรุนแรงมากขึ้น เช่น ตอบโต้ผู้ประท้วงด้วยการข่มขู่กวาดล้าง ต้้งข้อหาลากเข้าตะราง และอ้างถึงกรณีการกวาดล้างผู้ชุมนุมที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในอดีตว่าเป็นการตอบโต้ที่เหมาะสม ทั้งที่เป็นเหตุนองเลือดในตำนานที่ทำให้จีนยังถูกประณามจนบัดนี้
การตอบโต้ของจีนไม่ฉลาด การยื่นมือเข้าไปสอดอย่างไร้มารยาทของสหรัฐก็หน้าด้าน ผู้ที่เสียผลประโยชน์จากเหตุการณ์นี้อย่างที่สุด มีแต่ประชาชนตาดำๆในเกาะฮ่องกงเท่านั้น
หากย้อนดูว่าการประท้วงครั้งนี้เกิดมาจากอะไร ก็คือการที่จีนขอแก้ร่างกฏหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งน่าจะส่งผลประโยชน์ต่อฮ่องกงในทีแรกด้วยซ้ำ แต่มันกลับถูกยกระดับให้กลายเป็นการประท้วงเรียกร้องเพื่อสิทธิมนุษยชนเสียเฉย
การที่ฮ่องกงไม่ยอมให้จีนเข้ามาแทรกแซงจับกุมผู้ร้ายในดินแดนของตน มีเหตุผลหลายอย่าง
1. เพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนของผู้ร้ายช้ามชาติ…จริงๆ
2. เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของชาวฮ่องกง ที่ต้องการปกครองตัวเอง โดยไม่ยอมให้จีนเข้ามาแทรกแซง
3.เพื่อเป็นการตอบโต้ว่าจีนไม่มีอำนาจในการปกครองเกาะฮ่องกงแม้จะรวมประเทศแล้วก็ตาม
4.เพื่อเป็นการบอกว่าชาวฮ่องกงต้องการเป็นอิสระจากจีน และการปกครองสองระบบในประเทศเดียวเป็นเพียงอุดมคติที่ไม่มีอยู่จริง
และ…
5.เพื่อปกป้องระบบมาเฟียและอาชญากรต่างชาติที่มาชุมนุมกันอยู่เป็นซุ้มในเกาะฮ่องกงและคนพวกนี้ส่งผลต่อเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ ของคนในเกาะฮ่องกงเป็นอย่างมาก
การเข้ามาแทรกแซงของจีนอาจปิดฉากอำนาจมาเฟียที่คุมเกาะฮ่องกงอยู่ แต่ใช่ว่ากระบวนกวาดล้างผู้มีอิทธิพลจะเป็นการยกระดับกระบวนการยุติธรรมของโลกให้ขาวสะอาด ตรงกันข้าม มันกลับเป็นการรวบอำนาจผู้อิทธิพลยิบๆย่อยๆให้ไปอยู่ใต้อำนาจของมาเฟียตัวที่ใหญ่ที่สุดในนามของประเทศจีน
เพราะเหตุนี้ฮ่องกงจึงพยายามประท้วงอย่างถึงที่สุด โลกอนาคตในสายตาฮ่องกหากต้องอยู่ในการปกครองของจีนเป็นหนทางที่มืดมิดสำหรับประชาชนวัยรุ่น-วัยทำงานที่ยังอาศัยในเกาะฮ่องกงดังเช่นภาพสะท้อนในภาพยนตร์เรื่อง Ten Years ที่ชาวฮ่องกงสร้างออกมา
กลุ่มผู้ประท้วงได้จัดอีเวนต์สร้างแรงจูงใจให้ตัวเองด้วยการจัดฉายหนัง Ten Years ให้ประชาชนนั่งดูกันซ้ำๆ เพื่อให้รู้สึกว่าความอดทนในการต่อสู้ครั้งนี้ของพวกเขาจะไม่ไร้ความหมาย
หนัง Ten Years สร้างภาพพจน์ของจีนให้กลายเป็นกลุ่มเผด็จการที่ไร้ซึ่งชีวิตจิตใจ และสร้างภาพชีวิตของชาวฮ่องกงให้กลายเป็น under dog ผู้หดหู่ไร้หนทางต่อสู้ ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการปลุกเร้าผู้ประท้วงได้เป็นอย่างดี
วิธีการสร้างขวัญกำลังใจและชักใยมวลชนให้ฮึกเหิมและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันพร้อมจะต่อสู้จนถึงที่สุด คือ
1… ลดความเป็นมนุษย์ของฝ่ายตรงข้าม ทำให้ดูเหมือนเป็นปีศาจที่ไร้ชีวิตจิตใจ กลายเป็นนามธรรมบางอย่าง ที่ให้ความรู้สึกทางลบ เช่น อำนาจ รัฐบาลเผด็จการ ปีศาจ ยักษ์ กองกำลัง เป็นต้น
2…เพิ่มความเป็นมนุษย์ให้ฝ่ายตนเอง ทำให้ดูเป็นบุคคลที่กำลังต่อสู้เพื่อความถูกต้อง เป็นกลุ่มที่ถูกกด ถูกทำให้หวาดกลัวบางสิ่งบางอย่าง ถูกรังแก ถูกกลั่นแกล้ง เป็นกลุ่มคนตัวเล็กๆ ที่น่าสงสารและให้ความรู้สึกเอาใจช่วย ด้วยวาทกรรมเชิงบวกอย่างความยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน
จิตวิทยาที่ดีที่สุดในการสร้าง mob ประท้วงที่รุนแรงคือการสร้างความหวาดกลัว และทำให้รู้สึกว่าหากไม่รวมใจกันต่อสู้จะต้องลงเอยด้วยสิ่งที่พวกเขานั้นกำลังหวาดกลัวอยู่ ความหวาดกลัวต่อชีวิตในอนาคตหากว่าจีนมีอำนาจมากขึ้น เสมือนการต่อสู้ครั้งนี้จะเป็นทางออกเดียวที่จะทำให้พวกเขาเป็นอิสระจากอนาคตอันมืดดำนั้น
การตอบโต้ของจีน ท่าทีตั้งรับต่อการประท้วงอย่างรุนแรง ใช้คำข่มขู่ “อย่าเล่นกับไฟ” หรือสร้างข่าวว่าจะส่งกองกำลังเตรียมปราบปรามให้ถึงที่สุด เป็นการปลุกเร้าความหวาดกลัวในกลุ่มผู้ประท้วง ความหวาดกลัวที่ถูกแปรสภาพเป็นความก้าวร้าว ทำให้ยิ่งรู้สึกว่าจะต้องต่อสู้จนถึงที่สุด เหมือนว่าสุนัขหากถูกต้อนจนจนตรอกก็ต้องกัด
บทสรุปที่แท้จะนำไปสู่สิ่งใด หากจีนไม่หยุดทำตัวเป็นขาใหญ่ หากสหรัฐฯไม่หยุดใช้เบี้ยฮ่องกงเป็นตัวรุกฆาต จุดจบของม็อบฮ่องกงจะเป็นอย่างไรได้ นอกจากการถูกจัดการด้วยความรุนแรงขึ้นสุด ไม่ต่างจากยุทธการคืนความสุขในประเทศไทยเมื่อ 6 ปีก่อน เมื่อทหารเข้ามาจัดการและยีดครองทุกหัวระแหงเพื่อยุติความรุนแรง และข้อพิพาทนานานับประการที่เกิดขึ้น
ที่น่ากลัวก็คือ…สถานการณ์ที่เกิดในฮ่องกงขณะนี้ มันช่างเหมือนภาพสะท้อนเหตุการณ์ในไทยเมื่อหลายปีก่อน ในขณะที่ประเทศไทยสงบมานาน ภายใต้ความรู้สึกว่าถูกกด…ให้ต้องสงบ เป็นไปได้ว่ากำลังสะสมแรงต่อต้านที่ทรงพลังขึ้นเรื่อยๆและเตรียมที่จะปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ต่างจากฮ่องกงที่ทนถูกกดขี่ให้อยู่ใต้การปกครองของจีนมานานจนระเบิดขึ้นในกาลนี้
ถ้าผู้ปกครองไม่หยุดใช้อำนาจแบบเกินหน้าเกินตาแบบจีน ถ้านักการเมืองไทยเลือดใหม่บางกลุ่มไม่หยุดทำตัวเป็นบ่างช่างยุแบบอเมริกา เป็นไปได้ว่า…สถานการณ์แบบในฮ่องกง อาจย้อนกลับมาเกิดที่ไทย ในอีกปี หรือสองปีข้างหน้านี้ก็ได้