Frozen 2
สรุป
เป็นการ์ตูนภาคต่อที่ดีมาก เพลงเพราะ ภาพสวย เนื้อเรื่องสนุก และจะดีมากถ้าเคยดูภาคแรกมาก่อน
Overall
7/10User Review
( vote)Pros
- ภาพสวยขึ้นมาก
- เพลงยังคงเพราะเสมอ
- เนื้อเรื่องโตตามวัย
Cons
- ต้องดูภาคแรกมาสักหน่อยถึงจะอิน
- ตอนท้ายๆ เหมือนรวบเนื้อเรื่องไปหน่อย
- ฉากจบ…
โฟรเซ่น2 การผจญภัยที่มาอุดทุกรอยรั่วของ โฟรเซ่น1
โฟรเซ่น หรือ Frozen แฟรี่เทลออริจินัลสายเจ้าหญิงของ วอล์ทดีสนี่ย์ ที่ปังแบบถล่มทลายสุดๆ ในตอนเปิดตัวเมื่อปี 2013 ซึ่งเอาจริงๆ ผมว่าไม่มีใครคิดด้วยซ้ำว่ามันจะดังขนาดนี้แต่ Frozen ก็ขึ้นแท่นเป็นการ์ตูนอนิเมชั่นที่ทำรายได้สูงที่สุดมา 6 ปี(เพิ่งเสียสถิติให้ The Lion King ก็ปีนี้แหละ) ด้วยรายได้ทั่วโลก 1,290 ล้านเหรียญโดยประมาณ เป็นจุดกำเนิดเจ้าหญิงดีสนี่ย์คนใหม่ถึง 2 ตำแหน่งในทีเดียวคือ Elsa (เอลซ่า) และ Anna (อันนา) ทั้ง 2 สามารถขึ้นมาเทียบรัศมีเจ้าหญิงรุ่นพี่ได้อย่างสบายๆ ขนาดเจ้าหญิงรุ่นพี่จะมีตำนานนิทานพื้นบ้านเป็นต้นทุนด้วยนะ เรียกว่าประสบความสำเร็จสุดๆ ส่วนเพลงไม่ต้องพูดถึง “มีใครไม่เคยได้ยินเพลง Let it go บ้าง?”
และด้วยเหตุที่ไม่ได้คิดว่าจะดังนี้ ทำให้บทของโฟรเซ่นในภาคแรกยังมีเรื่องราว, ช่องโหว่ จนทำให้เกิดคำถามขึ้นมากมายมากและน่าจะเป็นที่มาที่ทำให้เกิดโฟรเซ่น 2 ซึ่งผมคิดว่ามันได้ตอบเกือบทุกคำถามแล้วจริงๆ ไม่ว่าจะเป็น
– ทำไมเอลซ่าถึงมีพลัง ในขณะที่อันนาไม่มี?
– ทำไมเอลซ่าถึงมีรูปร่างหน้าตาต่างจาก พ่อแม่สุดๆ?
– พระราชากับพระราชินี ออกเรือไปล่มง่ายจัง ออกเรือไปทำไม?
– ทำไมชาวบ้านพอเห็นเวทมนตร์เป็นครั้งแรก แล้วรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งไม่ดี น่าหวาดกลัว?
…และอาจจะมีคำถามอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งคุณจะได้คำตอบในภาคนี้แหละ
โฟรเซ่น 2 เปิดเรื่องมาด้วยเรื่องเล่าเกี่ยวกับ “ป่าต้องมนตร์” ที่พระราชาเล่าให้ เอลซ่า และอันนา ฟังในวันเด็ก (ก่อนเหตุการณ์ในภาคแรกอีก) แล้วก็ตัดเนื้อเรื่องมาที่เนื้อเรื่องปัจจุบัน (หลังจบภาคแรก) ในทันทีโดยที่ไม่เสียเวลาเท่าไหร่ แล้วเควสจากเรื่องเล่าของพระราชาก็เริ่มขึ้น ซึ่งเอลซ่าราชินีผู้มีพลังวิเศษก็ต้องเป็นคนไปแก้ปัญหาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะฉะนั้น ในภาค 2 นี้ เนื้อเรื่องก็ค่อนข้างเป็นการผจญภัยมากขึ้น ต่างจากภาคแรกที่เน้นไปเรื่องดราม่าความรัก ความสัมพันธ์ของพี่น้องมากกว่า ซึ่งภาค 2 จริงๆ ก็ทำได้ดีนะ การผจญภัยก็จัดว่ามีสีสัน มีการนำเสนออะไรใหม่ๆ เยอะ (จิตวิญญาณแห่งไฟน่ารักมากบอกเลย) การเดินเรื่องดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ไม่จำเป็นต้องมีแต่บทใสๆ เบาๆ อีกต่อไป แต่ดูเหมือนเรื่องดราม่าของภาคแรกดูจะได้เปรียบกว่า ทำให้หลายคนอาจจะคิดว่าภาคแรกสนุกกว่า แต่ผมกล้าบอกได้ว่าภาค 2 ก็ถือว่าสนุกเหมือนกัน และ โฟรเซ่น 2 ก็ถือเป็นอนิเมชั่นภาคต่อที่ทำได้ดีมากๆ เรื่องหนึ่งเลย แฟนๆ เอลซ่า อันนา ไม่ผิดหวังแน่นอนถ้าเข้าไปดู …ความจริงควรเข้าไปดูเลยแหละ!
กราฟิก
เรื่องกราฟิก ก็พัฒนาขึ้นมาก เห็นแวบแรกก็คิดเลยว่าเอลซ่าสวยขึ้น (จริงๆ นะ) ตัวละครเด่นมีเยอะขึ้น การดีไซน์ก็ยังคงเป็นการ์ตูนอนิชั่นนั่นแหละ ไม่ได้จะปั้นหน้าให้เหมือนคนจริงอะไร แต่ดูเหมือนทีมงานจะใส่ใจในองค์ประกอบมากขึ้น อย่างมีฉากที่อันนาเปียกน้ำ ก็จะเปียกอยู่สักพักใหญ่ๆ ไม่ใช่ว่าเปียกตอนขึ้นจากน้ำแปบเดียวแล้วแห้งเลยด้วยการปิดชายผ้าแค่รอบเดียวเหมือนการ์ตูนเรื่องอื่นๆ อะไรอย่างนั้น แต่อันนี้เห็นชัดเจนว่าสีผมที่เปียกเข้มขึ้น สีเสื้อผ้าเข้มขึ้น ผมลีบติดหัวขึ้น พอตอนแห้งผมก็จะฟูๆ หน่อย (แต่เอลซ่าไม่เป็นนะ เพราะนางสามารถทำให้น้ำที่มาเกาะแข็งแล้วร่วงออกจากร่างกายได้เลยเหมือนแห้งตลอดเวลา)
เพลงประกอบ
เพลงเองก็ยังเพราะเหมือนเดิม แต่ไม่ติดหูเท่า “Let it go” หรอกนะ ทำให้กลัวว่าถ้าจะแป็กก็เพราะไม่มีเพลงเจ๋งๆ นี่แหละ ปีนี้รางวัลเพลงประกอบยอดเยี่ยมคงต้องให้ซิมบ้าแอนด์เดอะแก๊งไป มีที่ติดใจอยู่หน่อยคือ ปกติเราจะรู้ว่าดีสนี่ย์ใช้เพลงในการเล่าเรื่องเล่าเหตุการณ์ใช่ไหม? แต่ในภาคแรกตอนที่ Let it go มาเนี่ยไม่รู้มีใครคิดแบบผมบ้าง ช่วงนั้นเหมือนเอลซ่าเป็นนักร้องชื่อดังที่กำลังเล่นมิวสิควิดีโอ(MV) ของตัวเองอยู่ ไม่ว่าจะทั้งการมองกล้อง มุมกล้อง การเดิน การโพสท่าแอ๊คท่าต่างๆ ดูยังไงก็ไม่ใช่การเล่าเรื่องด้วยเพลงปกติเหมือนช่วงอื่นๆ ซึ่งภาค 2 นี้ก็มีแต่นักร้องนำกลับไม่ใช้เอลซ่า และ…ไม่ใช่แอนนาด้วย อืม…คริสตอฟฟ์ ได้ MV นี้ไปเฉยเลย แม้ว่าคริสตอฟฟ์จะถือเป็นตัวละครชายที่เด่นมากในนิทานเจ้าหญิงดีสนี่ย์ สูสีกับเดอะบีส แต่มันก็ไม่เด่นขนาดนั้นอะ อย่างน้อยในโฟรเซ่นเราก็ยังมีอันนานะเห้ย!
จุดเด่นของ โฟรเซ่น 2 อีกอย่างคงจะเป็นการพัฒนาของตัวละครที่ทำได้ดีมาก โดยเฉพาะ อันนา ที่รู้สึกได้ว่านางโตขึ้นจริงๆ เริ่มมีความคิดมากขึ้น ความเป็นห่วงเป็นใยพี่สาวก็ยังเยอะเหมือนเดิมแต่การแสดงออก ดูชัดว่าสำรวมขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้น แต่ที่โดดเด่นผิดหูผิดตาคงจะเป็นเจ้า โอลาฟ ที่มากับความกวนแบบซื่อๆ จริงๆ ผมไม่ชอบดีไซน์ตัวละครตัวนี้เลยนะ ตั้งแต่ภาคแรกละ แต่ภาคนี้เด่นจริงๆ น่ารักมาก กลับกันคริสตอฟฟ์นี่ดรอปไปเยอะเลย แต่อย่างว่าแหละครับหนังเจ้าหญิง ตัวละครชายก็ปล่อยๆ ไป
สรุป โฟรเซ่น2 ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ
ส่วนตัวผมว่าสนุกครับ ควรค่าแก่การดู เพลินแบบที่ว่า พอหนังจบแวบแรกผมคิดเลย “ทำไมภาคนี้สั้นจัง” แต่พอมาดูเวลาจริงๆ มันก็เท่ากับภาคที่แล้วนี่… เอ้างงเลย ตลอดเรื่องผมน้ำตาซึมๆ ตลอดเลย ไม่ใช่ว่าหนังเศร้านะ ..มันดูค่อนข้างอิ่มเอม, ซึ้ง, ตื้นตันอะไรประมาณนั้นมากกว่า
แต่ยอมรับว่าช่วงท้ายๆ เหมือนเร่งๆ รีบๆ แบบเหมือนถูกตัดอยู่เหมือกัน และแม้ผมจะไม่ชอบฉากจบแบบนี้ แต่ก็ถือว่าเคลียและสมบูรณ์ดีครับ