Midway
Summary
เป็นหนังสงครามอิงประวัติศาสตร์ที่คอหนังสงครามไม่ควรพลาด
Overall
7.5/10User Review
( votes)Pros
- ฉากรบสวยมาก มันส์มาก
- เนื้อหาค่อนข้างแน่น
- ตัวละครเยอะจนเอาไปใช้อ้างอิงได้เลย
Cons
- หาจุดเด่นยากเพราะเด่นเท่าๆ กันหมด
- ไม่มีเพลงธีมที่กินใจ
Midway ศึกในมหาสมุทรแปซิฟิกที่สำคัญที่สุด!! ที่พลิกโฉมสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปโดยสิ้นเชิง เป็นเหตุการณ์ต่อจาก Pearl Harbor
เกริ่นนำกันสักนิด
ก่อนจะเข้าสู่ความเห็นจากหนังเวอร์ชั่น 2019 นี้ ผมขอเท้าความถึงชื่อหนังสักหน่อย เพราะเชื่อว่ามีหลายคนที่ไม่ได้สนใจพวกรายละเอียดของสงครามโลกครั้งที่ 2 (WWII) เลยน่าจะงงว่า Midway คืออะไร? จริงๆ แล้วเป็นชื่อของหมู่เกาะเล็กๆ หมู่เกาะหนึ่งในมหาสมุทรแปซิฟิกที่พอจะพูดได้ว่า อยู่กึ่งกลางระหว่าง เกาะญี่ปุ่น และ ทวีปอเมริกาพอดี และญี่ปุ่นมีแผนลับๆ ที่จะยึดเกาะนี้มาเป็นที่มั่นเพื่อใช้ในการสอดส่องดูแลน่านน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกทั้งหมด(ตอนนั้นญี่ปุ่นยังรบไม่เคยแพ้โดยเฉพาะการรบทางน้ำ ทำให้ญี่ปุ่นมีดินแดนเหนือน่านน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกที่ใหญ่มาก) รวมถึงเอาไว้เป็นที่มั่นในการพิฆาตอเมริกาด้วย (คือจะให้เดินเรือข้ามมหาสมุทรแบบเต็มความกว้างบ่อยๆ ก็ไม่ไหวจริงมะ?) ด้วยความสำคัญทางจุดยุทธศาสตร์นี้ (ตามที่ญี่ปุ่นคิดนะครับ) ทำให้ปฏิบัติการ Midway เกิดขึ้น ซึ่งก็เป็นเวลาหลังจากที่ญี่ปุ่นบุกถล่ม Pearl Harbor สำเร็จได้ไม่นาน ขณะนั้นญี่ปุ่นมีกำลังรบมากกว่าอเมริกาเกิน 3 เท่า เอาจริงๆ ตอนนั้นอเมริกาเกือบถอดใจไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ด้วยเหตุการณ์หลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็น ความฮึกเหิมจนเกินไปของนายพลญี่ปุ่นบางนาย, การให้ความสำคัญผิดจุด, และที่สำคัญคือ “โชค” ใช่ครับต้องบอกเลยว่าอเมริกาต้องใช้โชคมากจริงๆ ในศึกครั้งนั้น การชิงไหวชิงพริบในการรบที่ยังกับดู 3 ก๊ก อยู่นั้นทำให้ศึกครั้งนี้เป็นหนึ่งในศึกที่สำคัญ และควรจดจำในสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยการพลิกกลับมาชนะอย่างท่วมท้นของอเมริกา และทำให้กองทัพเรือญี่ปุ่นถูกลดบทบาทลงจนแทบจะเรียกได้ว่าแทบไม่ชนะศึกอีกเลยนับแต่นั้น
MIDWAY 2019
เอาล่ะครับสำหรับ Midway นั้นจริงๆ ก็มีการสร้างมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งทุกครั้งรวมถึงครั้งนี้ด้วยก็มาในรูปแบบหนังสงครามอิงประวัติศาสตร์ ตัวละครในหนังจะเป็นบุคคลจริงๆ ในหน้าประวิติศาสตร์ซะส่วนใหญ่ ไม่ได้มีพระเอกนางเอกที่แน่นอนเหมือน Pearl Harbor (2001) ที่เป็นหนังโรแมนติกที่ใช้ฉากสงครามเป็นพื้นหลังนะครับ ซึ่งก็อาจจะเป็นข้อเสียหนึ่งของหนังเลยคือ คนที่ไม่ได้ชอบดูเหตุการณ์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เท่าไหร่ อาจจะรู้สึกว่าหนังมันไม่ได้มีอะไรให้โฟกัสมากนัก แถมยังไม่มีเพลงเพราะๆ ซึ้งๆ ไว้เปิดตอนไคล์แม็กซ์ให้เป็นที่จดจำอย่าง อาร์มาเก็ดดอน หรือ เพิร์ลฮาร์เบอร์ อีกด้วย ซึ่งไม่ใช่ว่าหนังไม่ดีนะครับ แต่หนังเลือกที่จะให้ความสำคัญของหลายๆ คน พร้อมๆ กันมากเกินไป (แม้จะมีคนเด่นสุดล้ำขึ้นมาก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้เด่นกว่าคนอื่นๆ แบบทิ้งขาดอะไรนัก) พอทุกอย่างดูเด่นเท่าๆ กันหมด มันก็เลยกลายเป็นไม่เด่นไปซะงั้น บอกตรงๆ ว่าผมค่อนข้างรู้สึกอารมณ์ราบเรียบพอสมควรในการดู มิดเวย์ ตลอดทั้งเรื่อง แต่ถึงจะพูดว่ารู้สึกราบเรียบก็ตาม ผมก็ยังชอบที่จะรู้มุมมองในหลายๆ มุมของสมรภูมิมิดเวย์นี้นะครับ แหละหนังก็ทำออกมาได้ดีเลยแหละ
หนังเริ่มเรื่องมาที่ 4 ปีก่อนการโจมตี Pearl Harbor ตอนนั้นอเมริกายังวางตัวเป็นกลางทางสงคราม และมีการค้าขายกับญี่ปุ่นอยู่ 4 ปีให้หลังญี่ปุ่นตัดสินใจโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ เพื่อตัดรำคาญอเมริกาที่ค่อยเอาแต่ชาวคนนั้นคนนี้ไปเรื่อยๆ จนเป็นเหตุให้อเมริกาตัดสินใจเข้าร่วมสงครามเต็มตัวหลังจากนั้น หนังใช้เวลากับฉากนี้ไม่นานเพราะต้องการให้แค่รู้ว่ามีผลกระทบอะไรเกิดขึ้นบางตอนที่ญี่ปุ่นถล่มเพิร์ลเฉยๆ แต่ฉากนี้จัดเป็นฉากที่สวยมาก สมราคา Roland Emmerich ผู้กำกับที่ฝากผลงานระเบิดทำเนียบขาวแบบสุดสวยใน ID4 มาแล้ว เท่านั้นยังไม่พอ Emmerich ยังโชว์ความละเอียดมากขึ้นไปอีกอย่างเช่นฉาก “ตอร์ปิโดขออเมริกาด้าน” อีกต่างหากซึ่งตรงนี้เคยมีคนบอกไว้ว่ายุคนั้นยุทโธปกรณ์ของอเมริกาจัดว่าห่วยมาก ซึ่งในหนังเราจะได้เห็นกันจะๆ เลย
ถึงจะทำฉากสู้รบได้สวย แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะแสดงให้เห็นถึงชีวิตเบื้องหลังตัวละครหลักหลายๆ ตัว และก็ให้ความสำคัญกับแนวความคิด การวางแผน การตัดสินใจ หรือนิสัยของบุคคลสำคัญต่างๆ ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์แห่งประวัติศาสตร์นี้ขึ้นมา เอาว่าคนไม่ชอบดูหนังสงคราม แต่อยากดูหนังแอ็คชั่นอาจจะรู้สึกไม่อิ่มกับฉากสงครามเท่าไหร่ เพราะในตอนที่บินยิงกันมันส์ๆ มีหลายครั้งที่จบแบบทื่อๆ เร็วๆ ไปหน่อย เลยเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมคิดว่าหนังดูเหมือนจะไม่ได้มีฉากไคล์แม็กจริงจังให้จำ เพราะมันดูในระดับเท่าๆ กันหมดเลย แต่ถ้าคนชอบดูสายสงครามวางแผนนะ ผมว่าเวอร์ชั่นนี้ทำได้ค่อนข้างละเอียด คือเพิ่มรายละเอียดแผนอีกสัก 20% นี่เป็นหนังสารคดีได้เลย (เรืองของเรือดำน้ำก็น้อยไปนิด)
เรื่องการถ่ายทำเห็นได้ชัดว่าใช้ กรีนสกรีนเยอะมาก เพราะบางฉากเห็นชัดเลยว่าตัวละครลอยออกจากฉาก อันนี้ไม่รู้เป็นความตั้งใจให้เหมือนฟิล์มยุคเก่าๆ ไหม? เพราะทั้งที่ทำฉากสู้ได้เยี่ยมสุดๆ แต่บางฉากก็ดันดูไม่เนียนซะงั้น แต่โดยสรุปแล้วผมว่า Midway เป็นหนังที่ดีเลย สามารถซื้อเก็บไว้ได้ เพราะมีรายละเอียดที่ดี มีบุคคลสำคัญที่มีอยู่จริงๆ เข้ามาเยอะมาก (คือชื่อคุ้นหูทั้งนั้น) ทำให้หนังเอกก็ต้องใช้ดาราเยอะมาก แต่ก็ยังสามารถจัดสรรความสำคัญของตัวละครได้ค่อยข้างดี แถมยังเก็บไว้ศึกษาประวัติศาสตร์ได้ด้วยนะ อาจจะไม่ละเอียดเป๊ะแต่ก็ทำให้เห็นภาพแหละ ถ้ามีเวลาก็ไม่ควรพลาดครับ สิ่งที่พลาดที่สุดของหนังเรื่องนี้คงจะเป็นชื่อไทยที่ฟังดูไม่ค่อยสร้างสรรค์เลย
Battle of Midway แบบงูๆ ปลาๆ ของผม
ส่วนนี้ผมจะเปิดพื้นที่เล่าลำดับเหตุการณ์ของ สงครามมิดเวย์เท่าที่ผมรู้ให้ฟังกันพอสังเขปนะครับ เผื่อว่าจะดูหนังได้รู้เรื่องขึ้น คือผมคิดว่ายังไงมันก็เป็นเหตุการณ์จริงในประวิติศาสตร์อยู่ละ รู้ไปหน่อยจะได้ไม่งง แต่ถ้าใครเห็นว่ามันจะเป็นสปอยล์ก็ข้ามไปได้เลยนะครับ อ่อ.. ผมไม่ได้รู้ลึกมากมายอะไรหรอกนะ แค่พอเคยอ่านแบบคร่าวๆ เพราะจริงๆ ผมไม่ชอบหนังสงคราม แต่พวกสมรภูมิสำคัญๆ มันชอบมีเกร็ดอะไรให้ได้คิดเลยเป็นเคยอ่านเป็นบางเหตุการณ์ ถ้าผิดพลาดยังไงก็ขออภัยด้วยนะครับ
มาเริ่มกันที่ญี่ปุ่นกันก่อนในปี 1941 ตอนนั้นญี่ปุ่นกำลังฮึกเหิมถึงขีดสุด เพราะตั้งแต่รบมาจนได้ดินแดนเหนือแปซิฟิกที่กว้างใหญ่แบบสุดๆ ก็ยังได้แผ่นดินของจีนบางส่วน และก็เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเราก็ถูกเข้ายึดไปแล้วในเวลานั้น ซึ่งจริงๆ สิ่งที่ญี่ปุ่นกำลังจะทำในตอนนั้นคือ รุกคืบต่อเข้าไปในจีนให้มากขึ้นทางตะวันตก และทิศใต้ก็อยากยึดออสเตรเลียให้ได้ แต่เครื่องไม้เครื่องมือทั้งหมดต้องใช้น้ำมัน ซึ่งญี่ปุ่นไม่มี เพราะฉะนั้นน้ำมันกว่า 80% ที่ญี่ปุ่นใช้ในการรบก็ซื้อมาจากอเมริกา แต่ตอนนั้นอเมริกาเป็นกลางแม้เขาจะไม่บุกตีญี่ปุ่น แต่ก็เริ่มไปช่วยอังกฤษป้องกันออสเตรเลียเพราะผลประโยชน์ (ประมาณรับจ้างเขานั่นแหละ) และทำท่าจะตัดน้ำมันญี่ปุ่นด้วยญี่ปุ่นเลยชิงลงมือถล่มเพิร์ลฮาร์เบอร์ซะเลยเพื่อหวังขู่ให้อเมริกาเห็นว่า “แกสู้ฉันไม่ได้หรอก” และตัดกำลังรบอเมริกาไปในตัว จะได้อยู่เงียบๆ ซึ่ง ณ ตอนนั้นอเมริกาสู้ญี่ปุ่นไม่ได้จริงๆ แต่อเมริกาพกดวงมาเยอะ ตอนนั้นเรือบรรทุกเครื่องบินของอเมริกาดันออกไปลาดตระเวนพอดีหรือไงนี่แหละ เลยไม่โดนถล่มไปด้วย ที่จอดอยู่ที่เพิร์ลมีแค่เรือรบ เรือพิฆาต
แล้วอเมริกาก็เปรี้ยวไงไม่ยอมเสียหน้าหวังแก้แค้นคืน เลยส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบบินเที่ยวเดียว(เพราะน้ำมันไม่พอบินกลับ มันไกลอะนะ) ไปทิ้งบอมใส่โตเกียวขำๆ แบบ “เห้ย ผมก็ไม่อ่อนนะครับ” ว่าแล้วญี่ปุ่นนำโดยพลเรือเอก ยามาโมโต้ ก็เลยได้รู้ว่าอเมริกายังมีกองกำลังทางอากาศอยู่ ซึ่งในยุคนั้นเครื่องบินรบคือมีผลต่อการรบสูงมาก ทำให้ญี่ปุ่นรื้อแผนบุกยึดเกาะมิดเวย์ขึ้นมา เพื่อจะปิดฉากกำลังรบพร้อมคุมกำเนิดอเมริกาไปในตัว แต่ด้วยความมั่นใจเกินไปของผู้บัญชาการบางคนหลังจากที่ชนะศึกมาตลอด ก็ทำให้เริ่มไม่เข้มงวดกับรายละเอียดเท่าไหร่ อาจจะดูถูกอเมริกาอยู่ลึกๆ ด้วย ในที่สุดสิ่งแรกที่ญี่ปุ่นแพ้อเมริกาก็คือการข่าวกรอง เรื่องก็คือจริงๆ อเมริกามีนักข่าวกรองโคตรเก่งอยู่ แต่ด้วยยศตำแห่งของเขาทำให้ไม่มีใครให้ความสนใจหรือเชื่อถือเขาเท่าไหร่ และก็เป็นเหตุที่อเมริการบเหมือคนตาบอดตลอดพอ แต่พอเพิร์ลฮาร์เบอร์โดนถล่มตามที่เจ้าหน้าที่ เลย์ตั้น เคยพูดๆ ไว้แล้วไม่มีใครเชื่อ เริ่มได้รับความเชื่อถือมากขึ้น ในขณะที่ญี่ปุ่นกับไม่พัฒนาหน่วยข่าวกรอกของตัวเองเลย เลยทำให้โดนข่าวลวงของอเมริกาเป็นระยะๆ
พอปฏิบัติการยึดเกาะมิดเวย์เริ่มขึ้น ญี่ปุ่นก็ทำการตีหลอกไปทางเหนือแถวอลาสก้า แล้วแยกทัพเรือออกเป็น 3 สายกะว่ากินนิ่มเพราะอเมริกาไม่รู้ตัวแน่นอน แต่เพราะ เลย์ตั้น อเมริกาเลยพอจะมีการเตรียมการณ์รับมืออยู่บ้าง ประจบกับความซวยของญี่ปุ่นแบบสุดๆ ทั้งเครื่องบินลาดตระเวนเสียหนึ่งลำ แล้วดันเป็นลำที่ต้องไปลาดตระเวนแถวที่ทัพเรืออเมริกาอยู่พอดีเลยทำให้ญี่ปุ่นเจอเรืออเมริกาช้าไป แม่ทัพเรือเอ็นเตอร์ไพรส์ซึ่งเก่งมากป่วยพอดี ถามว่าดียังไงนายพลป่วย? คือญี่ปุ่นศึกษานิสัยใจคอนายพล Halsey มาเป็นอย่างดี เลยเดาไว้ว่าอเมริกาจะทำแบบนั้นแบบนี้ แต่พอถึงเหตุการณ์จริงคือ มีคนอื่นสั่งการแทนแผนมันก็เลยไม่เหมือนกับที่คาดไว้ ส่วนญี่ปุ่นคนป่วยดันเป็นนักบินมือหนึ่งของกองทัพแทน ไม่เรียกซวยจะเรียกอะไร แล้วยังมีอีกหลายเหตุการณ์เช่น เรือยอร์คทาวน์ที่ญี่ปุ่นคิดว่าจมทิ้งไปแถวๆ ทะเลคอรัลดันกลับมาเข้าร่วมทัพได้แบบที่เรียกว่าซ่อมมาหลอกตาญี่ปุ่นจนทำเอาญี่ปุ่นทำอะไรผิดแผนไปหมด
เหตุการ์นั้นก็คือ อเมริกาเหลือเรือบรรทุกเครื่องบินสมบูรณ์ๆ อยู่ 2 ลำคือ USS Enterprise และ USS Hornet ซึ่งญี่ปุ่นก็คำนวนไว้แค่นั้นคือคิดว่าอเมริกาเหลือเรือ 2 ลำ แต่อเมริกาดันสั่งซ่อมเรือ USS Yorktown ที่โดนญี่ปุ่นทิ้งระเบิดไปแถวๆ ทะเลคอรัลใกล้ออสเตรเลียให้เน้นให้เรือวิ่งไป ซึ่งจากการประเมินว่าจะซ่อมเสร็จภายใน 3 เดือนอเมริกาซ่อมให้วิ่งได้เหมือนใหม่ภายใน 10 วันแล้วแล่นมาสมทบกับ 2 ลำแรกที่สมรภูมิมิดเวย์ แล้วก็ดันเป็นลำที่ญี่ปุ่นเจอเป็นลำแรกพอดี ทีนี้อย่างที่บอกว่าหัวหน้านักบินกองบินมือหนึ่งของญี่ปุ่นป่วย และด้วยความชะล่าใจของญี่ปุ่นเองเลยส่งกองบินสำรองออกไปล่ม Yorktown แทนทีนี้กองบินสำรองก็ทิ้งบอมลงเรือได้แล้วก็กลับมารายงานว่าจม Yorktown ทิ้งแล้ว แต่จริงๆ ยังไม่ล่มไง ลูกเรือก็เก่งเหลือเกินดับไฟเร็วเว่อร์ ซ่อมกลางทางซะคิดว่าเรือใหม่ สุดท้ายแล่นไปเจอกองบินญี่ปุ่นอีกรอบ ญี่ปุ่นเลยคิดว่าเป็นลำใหม่ ก็ทิ้งระเบิดอีกรอบคราวนี้ล่มจริง แต่ญี่ปุ่นนับเลขผิดไง พอคิดว่าเป็นลำใหม่ เลยนับว่าเราล่มเรืออเมริกาไป 2 ลำแล้ว มันต้องเหลืออีกแค่ลำเดียว ในขณะที่ตอนนั้นเรือบรรทุกเครื่องบินญี่ปุ่น 4 ลำก็โดนบึ้มไป 3 ลำแบบไม่ยากเท่าไหร่ (ดูเอาได้ในหนัง) ในตอนนี้ญี่ปุ่นต้องคิดว่าจะไปต่อหรือถอย แต่ญี่ปุ่นเลือกไปต่อ เพราะคิดว่าอเมริกาเหลือเรือบรรทุกเครื่องบินแค่ลำเดียว ซึ่งตัวเองก็เหลือลำเดียวเท่ากัน เรื่องประสิทธิภาพญี่ปุ่นได้เปรียบแน่นอนเพราะฉะนั้นไปต่อครับโผมมมม พอไปต่อก็เสร็จสิครับเพราะอเมริกามี 2 ลำจ้า Hiryu คือเรือบรรทุกเครื่องบินลำสุดท้ายของญี่ปุ่นที่โดนทิ้งบอมไป หลังจากนั้นพอญี่ปุ่นไม่มีเครื่องบินแล้ว ไหนเลยจะไปสู้เครื่องบินก๊องแก๊งของอเมริกาได้ ในที่สุดเรือญี่ปุ่นก็โดนระเบิดกันไปทั่วหน้าแม้แต่ Yamato สุดยอดเรือประจัญบานที่ได้ชื่อว่าลำใหญ่ที่สุดในโลกขณะนั้น ซึ่งเกร็ดเล็กๆ ตรงนี้ก็คือ อาวุธของอเมริกาห่วยมากอย่างที่บอก จริงๆ ระเบิดไม่สามารถจมเรือทุกลำของญี่ปุ่นได้ มีหลายลำที่ญี่ปุ่นตัดสินใจระเบิดเรือตัวเองทิ้งเพราะถึงแม้จะไม่ล่ม แต่จะขับกลับญี่ปุ่นก็ไกลเกินไป และไม่อยากให้อเมริกามาเก็บกู้ขโมยเทคโนโลยีไป เลยล่มตัวเองทิ้งซะเลย แหละหลังจากความพ่ายแพ้ครั้งแรกของญี่ปุ่นครั้งนี้ ก็แทบกู่ไม่กลับอีกเลย
จริงๆ รายละเอียดมีเยอะกว่านี้แหละครับ แต่ผมพักไว้แค่นี้เนอะเพราะอย่างที่บอกว่าจริงๆ ก็ไม่ค่อยแม่นหรอก แต่คิดว่ารู้ที่มาที่ไปสักนิดอาจจะดูหนังสนุกขึ้นเลยเล่าให้ฟังกัน
ตัวอย่างหนัง MIDWAY อเมริกาถล่มญี่ปุ่น
ออฟฟิเชียลเว็บไซต์ https://midway.movie/