รีวิว PENINSULA: Train to Busan 2 ผ่านรกซอมบี้คลั่ง
Peninsula: Train to Busan 2
สรุป
Peninsula เป็นเหตุการณ์ต่อจาก Train to Busan ก็จริง แต่จะให้มองเป็นหนังซอมบี้เรื่องใหม่ก็ไม่ผิด เพราะแทบจะไม่มีอะไรเกี่ยวของกันเลย ภาคนี้ดูจะเน้นความสะใจของผู้กำกับเป็นหลัก อยากใส่อะไรใส่ อยากลองทำอะไรลอง เพราะขึ้นชื่อว่า Train to Busan คนสนใจเยอะแน่นอน เพราะฉะนั้นเป็นธรรมดามากที่เราจะได้เห็นอะไรเว่อร์ๆ ในหนัง
15 นาทีแรกผ่านไปผมนึกว่าดูการ์ตูนขับรถแบบไลฟ์แอ็กชั่นอยู่ พอ 30นาทีผ่านไปนี่มันวอล์คกิ้งเดด ชั่วโมงนึงผ่านไปอ้าว! แมดแม็กซ์ก็มา
เพราะฉะนั้นถ้าดูแบบไม่คิดมากก็ถือว่าสะใจดี ตอนจบก็ทำได้ดี
Overall
7/10User Review
( votes)Pros
- CG สวยมาก (อาจจะไม่เนียนแต่สวย)
- ดำเนินเรื่องหลุดโลกสะใจดี
- ยังคงมีฉากขำ ฉากกินใจอยู่เหมือนเดิม
- ฉากจบแอบพลิกไปพลิกมาหลอกคนดู จนจบได้โอเค
Cons
- เนื้อหาไม่ค่อยมีอะไร
- อย่าเอาความจริงกับหนังแบบนี้
- ดูเป็นการ์ตูนมากๆ
Train to Busan หนังซอมบี้โคตรดังที่ผลิกโฉมหน้าทั้งหนังซอมบี้ ทั้งหนังเกาหลีเลยก็ว่าได้ คนไม่เคยดูหนังเกาหลีเกินครึ่งเคยได้ยินชื่อนี้แน่นอน และด้วยกระแสอันโด่งดังของภาคแรก ประกอบกับการวางเหยื่อไว้ตอนจบก็ทำให้คอหนังหลายคนคาดหวังว่าจะมีภาค 2 แน่ๆ และเขาก็มาจริงๆ Peninsula (แปลว่า คาบสมุทร) แถมเขามาพร้อมๆ กับธีมโคโลน่าไวรัสเสียด้วย…
ตัวอย่าง Peninsula: Train to Busan 2
สี่ปีต่อมา…
(จริงๆ แล้วต้นเรื่องของ Peninsula ก็ยังเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับตอนจบของภาคแรกนะ) จากภาคแรก ที่เขาว่า Busan เอาอยู่ แต่เปิดภาคนี้มาบอกเลยเอาไม่อยู่! ตัวหนังเล่าอย่างรวดเร็วว่าเมือง Busan นั้นตั้งมั่นอยู่ได้ไม่นานก็แตก แถมการแตกครั้งนี้ทำให้คนเกาหลีใต้ดูเหมือน ตัวเชื้อโรคทันทีในสายตาของประเทศรอบข้างทันที ไม่มีใครเลยที่อยากจะให้ความช่วยเหลือ แค่ล้อมให้คาบสมุทรเกาหลีเป็นเขตกักกันของโลกก็แทบแย่ เพราะสุดท้ายก็ยังหาสาเหตุจริงๆ ของการแพร่กระจายของโรคประหลาดในครั้งนี้ไม่ได้ คนกลุ่มสุดท้ายที่หนีออกนอกประเทศมาได้จากที่หวังจะไปพึ่งญี่ปุ่นก็ต้องเปลี่ยนเป้าหมายไปขึ้นเกาะที่ฮ่องกงแทน แม้กระนั้นประชาชนทั่วไปในประเทศฮ่องกงก็ยังเหยียดและหวาดกลัวคนเกาหลีใต้ที่อพยพมาอยู่ดี ทำให้ผู้อพยพต้องทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ และเป็นผลให้ต้องอยู่อย่างอดๆ อยากๆ ไปวันๆ
…และแล้ว 4 ปีผ่านไป ก็มีมาเฟียชาวมะกันหัวใส มีความคิดที่เหมือนจะดีว่า ที่ประเทศเกาหลีนั้น คนที่อยู่คงติดเชื้อตายไปหมดแล้วล่ะ แต่ทรัพยากรในประเทศที่ไม่มีใครแตะต้องมาเลยกว่า 4 ปีนี่สิ ที่มันไม่สูญสลายหายไปแน่นอน (โอ้โห…คิดได้เนอะ) และด้วยความคิดนี้จึงก่อให้เกิดภารกิจที่ดูเหมือนไม่น่าเข้าไปยุ่งเท่าไหร่ และไม่น่าจะมีใครอยากทำนอกจากชาวเกาหลีที่อยู่แบบอดๆ อยากๆ หลังการอพยพมาเท่านั้น
เรื่องเกิดขึ้นที่ตรงนี้… ชาวเกาหลี 4 คนต้องบุกขึ้นฝั่งของประเทศบ้านเกิดของเขาอีกครั้ง และต้องฝ่าฝูงซอมบี้ (4 ปีนี่พี่ๆ เขาก็ยังยืนระเกะระกะไม่ยอมตายอยู่กลางถนนเหมือนเดิมเลย) เพื่อไปเอาเงินก้อนโต และกลับออกมาเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น แต่แล้วพวกเขาก็ได้พบความจริงที่ว่า ยังมีคนรอดตายอยู่ในประเทศมากมายตลอด 4 ปีที่ผ่านมา แต่คนที่อยู่ในดินแดนที่เหมือนนรกนี้มากว่า 4 ปีก็ไม่ได้เป็นมิตรกับคนแปลกหน้าที่ผ่านเข้ามาหรอกนะ
ส่วนคนพวกนี้จะรอดไหม? ตอนจบจะเหลือคนสักกี่คน? ซอมบี้จะเป็นยังไง? ผมบอกได้เลยว่ามันส์ตลอดเรื่องแหละ ต้องไปดูเอาเอง
ความคิดเห็นของผมกับ Peninsula
อันดับแรกต้องชมผู้กำกับก่อน “ยอน ซังโฮ” เขาเป็นคนเขียนบทด้วย และผมก็ว่าเขาต่อเนื้อเรื่องได้เนียน คือภาคแรกเอาจริงๆ ก็ไม่มีที่มาที่ไปแหละ หนังแค่ให้เราดูวิธีการหนีซอมบี้ วิธีการแก้ปัญหา ความคิดของคนที่มีบุคลิกต่างๆ กัน แต่จนสุดท้ายหนังก็เลือกที่จะข้ามการอธิบายที่มาที่ไป เพราะน่าจะมองว่า อารมณ์ต่างๆ ที่หนังมอบให้คนดูผ่านตัวละครเจ๋งๆ ทั้งหลายนั้นก็เพียงพอที่คนดูจะมองว่าคุ้มค่าแล้ว (แล้วมันก็เพียงพอจริงๆ) ในภาค 2 นี่ก็เลยไปต่อทั้งแบบนั้น ไม่ต้องรู้หรอกว่ามันเป็นเพราะอะไร มาดูฉากแอ็คชั่นต่างๆ ที่เราเตรียมไว้ดีกว่า
สำหรับเรื่องนี้ไม่มีรถไฟแล้ว และไม่มาตามแกะเหตุผลของเรื่องหยุมหยิมต่างๆ หรือแม้แต่ที่มาที่ไปของซอมบี้อีกแล้ว สิ่งที่ต้องบอกก่อนเลยคือ เวลาดูอย่าคิดมาก มองข้ามเหตุผลไปบ้างก็ได้ คิดซะว่าดูการ์ตูน หรือหนังดีสนีย์อยู่จะดูได้ไหลลื่นขึ้นมาก การดำเนินเรื่องของหนังเปลี่ยนจากการแก้ปัญหาในพื้นที่ปิด (อย่างการอยู่ร่วมกับซอมบี้บนรถไฟในภาคแรก) มาเป็นแอ็คชั่นในเมืองที่อารยะธรรมล่มสลายไปแล้ว ถ้าเทียบให้เข้าใจง่ายก็คือ เหมือนคุณดู Mad Max + The Walking Dead อะ มีทั้งฉากขับรถไล่ล่ากัน หรือแม้แต่การตั้งชุมชน และเริ่มมองซอมบี้เป็นสิ่งที่เราควบคุมได้
CG เยอะแต่ก็สวยงามสไตล์เกาหลี เมืองอาจจะดูเก่าเกิน 4 ปีไปหน่อย เมืองที่ร้างเพราะคนต้องสร้างโซนปลอดภัยเพื่อพักอาศัย แต่สภาพแวดล้อมกลับเหมือนโดน “สึนามิ” มา ฝีมือขับรถของเด็กผู้หญิงอายุ 10 กว่าปีต้นๆ ที่ “ไบรอัน โอ’คอนเนอร์” ยังต้องหลบ (จริงๆ ผมว่าน่าจะเว้นระยะไว้สัก 7-10 ปีน่าจะดีกว่า 4 ปีผมมองว่าเวลามันน้อยไปที่จะทำให้คนที่หนีออกมาไม่ทันพัฒนาสกิลได้เว่อร์วังขนาดนี้)
ฉากจบดีกว่าที่คิด ผมเชื่อว่าพอคุณดูไปสักกลางๆ เรื่อง คุณจะคิดว่า เมื่อมันดำเนินเรื่องมาแบบนี้ จนถึงขึ้นนี้ มันจะจบแบบดื้อๆ อย่างนี้เลยจริงดิ? มันจะจบยังไงนะ? แต่พอใกล้จบจริงๆ หนังจะทำให้คุณคิดได้ว่า อ่อมันพลิกจริงๆ แฮะ กะแล้วว่าเกาหลีไม่น่าจะจบดื้อแบบนั้นหรอก ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าการจบแบบนี้ ก็ถือเป็นฉากจบที่ดีครับ
จริงๆ ผมชอบภาคแรกมากกว่า เพราะลุ้นกว่า เรื่องราวดูมีมิติกว่า แต่ถ้าจะเอามันส์ภาคนี้ก็ไม่เลวเลยสะใจทีเดียว ใครเป็นแฟนภาคแรก หรือชอบหนังขับรถไล่ล่ามันส์ๆ ไปดูเถอะไม่เสียดายเงินหรอก