playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว PENINSULA: Train to Busan 2 ผ่านรกซอมบี้คลั่ง

สรุป

Peninsula เป็นเหตุการณ์ต่อจาก Train to Busan ก็จริง แต่จะให้มองเป็นหนังซอมบี้เรื่องใหม่ก็ไม่ผิด เพราะแทบจะไม่มีอะไรเกี่ยวของกันเลย ภาคนี้ดูจะเน้นความสะใจของผู้กำกับเป็นหลัก อยากใส่อะไรใส่ อยากลองทำอะไรลอง เพราะขึ้นชื่อว่า Train to Busan คนสนใจเยอะแน่นอน เพราะฉะนั้นเป็นธรรมดามากที่เราจะได้เห็นอะไรเว่อร์ๆ ในหนัง

15 นาทีแรกผ่านไปผมนึกว่าดูการ์ตูนขับรถแบบไลฟ์แอ็กชั่นอยู่ พอ 30นาทีผ่านไปนี่มันวอล์คกิ้งเดด ชั่วโมงนึงผ่านไปอ้าว! แมดแม็กซ์ก็มา

เพราะฉะนั้นถ้าดูแบบไม่คิดมากก็ถือว่าสะใจดี ตอนจบก็ทำได้ดี

Overall
7/10
7/10
Sending
User Review
2.5 (4 votes)

Pros

  • CG สวยมาก (อาจจะไม่เนียนแต่สวย)
  • ดำเนินเรื่องหลุดโลกสะใจดี
  • ยังคงมีฉากขำ ฉากกินใจอยู่เหมือนเดิม
  • ฉากจบแอบพลิกไปพลิกมาหลอกคนดู จนจบได้โอเค

Cons

  • เนื้อหาไม่ค่อยมีอะไร
  • อย่าเอาความจริงกับหนังแบบนี้
  • ดูเป็นการ์ตูนมากๆ

Train to Busan หนังซอมบี้โคตรดังที่ผลิกโฉมหน้าทั้งหนังซอมบี้ ทั้งหนังเกาหลีเลยก็ว่าได้ คนไม่เคยดูหนังเกาหลีเกินครึ่งเคยได้ยินชื่อนี้แน่นอน และด้วยกระแสอันโด่งดังของภาคแรก ประกอบกับการวางเหยื่อไว้ตอนจบก็ทำให้คอหนังหลายคนคาดหวังว่าจะมีภาค 2 แน่ๆ และเขาก็มาจริงๆ Peninsula (แปลว่า คาบสมุทร) แถมเขามาพร้อมๆ กับธีมโคโลน่าไวรัสเสียด้วย…

ADBRO

 Peninsula (2020) on IMDb

ตัวอย่าง Peninsula: Train to Busan 2

สี่ปีต่อมา…

(จริงๆ แล้วต้นเรื่องของ Peninsula ก็ยังเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับตอนจบของภาคแรกนะ) จากภาคแรก ที่เขาว่า Busan เอาอยู่ แต่เปิดภาคนี้มาบอกเลยเอาไม่อยู่! ตัวหนังเล่าอย่างรวดเร็วว่าเมือง Busan นั้นตั้งมั่นอยู่ได้ไม่นานก็แตก แถมการแตกครั้งนี้ทำให้คนเกาหลีใต้ดูเหมือน ตัวเชื้อโรคทันทีในสายตาของประเทศรอบข้างทันที ไม่มีใครเลยที่อยากจะให้ความช่วยเหลือ แค่ล้อมให้คาบสมุทรเกาหลีเป็นเขตกักกันของโลกก็แทบแย่ เพราะสุดท้ายก็ยังหาสาเหตุจริงๆ ของการแพร่กระจายของโรคประหลาดในครั้งนี้ไม่ได้ คนกลุ่มสุดท้ายที่หนีออกนอกประเทศมาได้จากที่หวังจะไปพึ่งญี่ปุ่นก็ต้องเปลี่ยนเป้าหมายไปขึ้นเกาะที่ฮ่องกงแทน แม้กระนั้นประชาชนทั่วไปในประเทศฮ่องกงก็ยังเหยียดและหวาดกลัวคนเกาหลีใต้ที่อพยพมาอยู่ดี ทำให้ผู้อพยพต้องทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ และเป็นผลให้ต้องอยู่อย่างอดๆ อยากๆ ไปวันๆ
…และแล้ว 4 ปีผ่านไป ก็มีมาเฟียชาวมะกันหัวใส มีความคิดที่เหมือนจะดีว่า ที่ประเทศเกาหลีนั้น คนที่อยู่คงติดเชื้อตายไปหมดแล้วล่ะ แต่ทรัพยากรในประเทศที่ไม่มีใครแตะต้องมาเลยกว่า 4 ปีนี่สิ ที่มันไม่สูญสลายหายไปแน่นอน (โอ้โห…คิดได้เนอะ) และด้วยความคิดนี้จึงก่อให้เกิดภารกิจที่ดูเหมือนไม่น่าเข้าไปยุ่งเท่าไหร่ และไม่น่าจะมีใครอยากทำนอกจากชาวเกาหลีที่อยู่แบบอดๆ อยากๆ หลังการอพยพมาเท่านั้น
เรื่องเกิดขึ้นที่ตรงนี้… ชาวเกาหลี 4 คนต้องบุกขึ้นฝั่งของประเทศบ้านเกิดของเขาอีกครั้ง และต้องฝ่าฝูงซอมบี้ (4 ปีนี่พี่ๆ เขาก็ยังยืนระเกะระกะไม่ยอมตายอยู่กลางถนนเหมือนเดิมเลย) เพื่อไปเอาเงินก้อนโต และกลับออกมาเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น แต่แล้วพวกเขาก็ได้พบความจริงที่ว่า ยังมีคนรอดตายอยู่ในประเทศมากมายตลอด 4 ปีที่ผ่านมา แต่คนที่อยู่ในดินแดนที่เหมือนนรกนี้มากว่า 4 ปีก็ไม่ได้เป็นมิตรกับคนแปลกหน้าที่ผ่านเข้ามาหรอกนะ

ส่วนคนพวกนี้จะรอดไหม? ตอนจบจะเหลือคนสักกี่คน? ซอมบี้จะเป็นยังไง? ผมบอกได้เลยว่ามันส์ตลอดเรื่องแหละ ต้องไปดูเอาเอง

ความคิดเห็นของผมกับ Peninsula

อันดับแรกต้องชมผู้กำกับก่อน “ยอน ซังโฮ” เขาเป็นคนเขียนบทด้วย และผมก็ว่าเขาต่อเนื้อเรื่องได้เนียน คือภาคแรกเอาจริงๆ ก็ไม่มีที่มาที่ไปแหละ หนังแค่ให้เราดูวิธีการหนีซอมบี้ วิธีการแก้ปัญหา ความคิดของคนที่มีบุคลิกต่างๆ กัน แต่จนสุดท้ายหนังก็เลือกที่จะข้ามการอธิบายที่มาที่ไป เพราะน่าจะมองว่า อารมณ์ต่างๆ ที่หนังมอบให้คนดูผ่านตัวละครเจ๋งๆ ทั้งหลายนั้นก็เพียงพอที่คนดูจะมองว่าคุ้มค่าแล้ว (แล้วมันก็เพียงพอจริงๆ) ในภาค 2 นี่ก็เลยไปต่อทั้งแบบนั้น ไม่ต้องรู้หรอกว่ามันเป็นเพราะอะไร มาดูฉากแอ็คชั่นต่างๆ ที่เราเตรียมไว้ดีกว่า

สำหรับเรื่องนี้ไม่มีรถไฟแล้ว และไม่มาตามแกะเหตุผลของเรื่องหยุมหยิมต่างๆ หรือแม้แต่ที่มาที่ไปของซอมบี้อีกแล้ว สิ่งที่ต้องบอกก่อนเลยคือ เวลาดูอย่าคิดมาก มองข้ามเหตุผลไปบ้างก็ได้ คิดซะว่าดูการ์ตูน หรือหนังดีสนีย์อยู่จะดูได้ไหลลื่นขึ้นมาก การดำเนินเรื่องของหนังเปลี่ยนจากการแก้ปัญหาในพื้นที่ปิด (อย่างการอยู่ร่วมกับซอมบี้บนรถไฟในภาคแรก) มาเป็นแอ็คชั่นในเมืองที่อารยะธรรมล่มสลายไปแล้ว ถ้าเทียบให้เข้าใจง่ายก็คือ เหมือนคุณดู Mad Max + The Walking Dead อะ มีทั้งฉากขับรถไล่ล่ากัน หรือแม้แต่การตั้งชุมชน และเริ่มมองซอมบี้เป็นสิ่งที่เราควบคุมได้

CG เยอะแต่ก็สวยงามสไตล์เกาหลี เมืองอาจจะดูเก่าเกิน 4 ปีไปหน่อย เมืองที่ร้างเพราะคนต้องสร้างโซนปลอดภัยเพื่อพักอาศัย แต่สภาพแวดล้อมกลับเหมือนโดน “สึนามิ” มา ฝีมือขับรถของเด็กผู้หญิงอายุ  10 กว่าปีต้นๆ ที่ “ไบรอัน โอ’คอนเนอร์” ยังต้องหลบ (จริงๆ ผมว่าน่าจะเว้นระยะไว้สัก 7-10 ปีน่าจะดีกว่า 4 ปีผมมองว่าเวลามันน้อยไปที่จะทำให้คนที่หนีออกมาไม่ทันพัฒนาสกิลได้เว่อร์วังขนาดนี้)

ฉากจบดีกว่าที่คิด ผมเชื่อว่าพอคุณดูไปสักกลางๆ เรื่อง คุณจะคิดว่า เมื่อมันดำเนินเรื่องมาแบบนี้ จนถึงขึ้นนี้ มันจะจบแบบดื้อๆ อย่างนี้เลยจริงดิ? มันจะจบยังไงนะ? แต่พอใกล้จบจริงๆ หนังจะทำให้คุณคิดได้ว่า อ่อมันพลิกจริงๆ แฮะ กะแล้วว่าเกาหลีไม่น่าจะจบดื้อแบบนั้นหรอก ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าการจบแบบนี้ ก็ถือเป็นฉากจบที่ดีครับ

จริงๆ ผมชอบภาคแรกมากกว่า เพราะลุ้นกว่า เรื่องราวดูมีมิติกว่า แต่ถ้าจะเอามันส์ภาคนี้ก็ไม่เลวเลยสะใจทีเดียว ใครเป็นแฟนภาคแรก หรือชอบหนังขับรถไล่ล่ามันส์ๆ ไปดูเถอะไม่เสียดายเงินหรอก

ติดตามรีวิวหนังในเว็บไซต์คลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!