[รีวิว] Happy Birthday Father ความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคดีฆาตกรรมนี้ ควรค่าเเก่การค้นหาหรือไม่?
[รีวิว] Happy Birthday Father ความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคดีฆาตกรรมนี้ ควรค่าเเก่การค้นหาหรือไม่?
สรุป
หนังมีพล็อตเรื่องที่สดใหม่เเละดูง่ายไม่ซับซ้อนเเต่มีปัญหาเรื่องการเเสดง,บทเเละภาพ รวมๆ เเล้วสนุกในระดับดูเพลินๆ
Overall
6.5/10User Review
( votes)Pros
- พล็อตเรื่องที่น่าสนใจ
- หนังไม่ได้ดูยากอย่างที่คิด คนดูทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้ (เเต่ต้อง 18+ นะ)
Cons
- ตัวละครหลักบางตัวเเสดงเเข็งจนดูเเล้วไม่อิน
- เขียนบทได้ไม่ค่อยดีจนรู้สึกเสียดายพล็อตเรื่อง
- งานภาพที่ดูเเล้วชวนขัดใจในหลายๆจุด
นับเป็นเรื่องที่เเปลกมากกับหนังไทยที่มีพล็อตเรื่องน่าสนใจเเละสดใหม่อย่าง Happy Birthday Father ที่ได้เข้าฉายน้อยโรงเเละยังฉายเเค่รอบเดียวต่อวัน ซึ่งอาจจะเป็นเพราะตัวอย่างหนังที่ส่อเเววจะดูยาก หรือเนื้อหาที่มีความรุนเเรงมากหรือประเด็นเสียดสีในหนังที่อาจไปทำร้ายจิตใจคนบางกลุ่ม? ทั้งนี้ผู้เขียนซึ่งปกติเเล้วชอบหนังเเนวระทึกขวัญเป็นทุนเดิมบวกกับความที่นานๆ ทีหนังไทยจะมีพล็อตเรื่องที่น่าสนใจขนาดนี้ทำให้จึงไม่พลาดที่จะไปรับชม ถึงเเม้ผู้เขียนอยากจะเเนะนำให้ไปลองรับชมกันเพื่อเป็นการสนับสนุนให้หนังไทยเกิดความหลากหลายมากขึ้นในอนาคต เเต่ด้วยจำนวนโรงเเละรอบฉายที่น้อยมากจนใครหลายๆ คนอาจไม่สะดวกที่จะเดินทางไปดู รีวิวนี้จึงเขียนขึ้นเพื่อเป็นตัวช่วยประกอบการตัดสินใจสำหรับคนที่สนใจ
Happy Birthday Father หรือในชื่อไทย สุขสันต์วันเกิด…ครับพ่อ หนังดราม่าระทึกขวัญ สร้างโดย Sinic Entertainment ซึ่งงานนี้เกิดจากการร่วมงานกันระหว่าง 3 ประเทศ คือ ไทย จีน และอเมริกา โดยมี ครูดำ ธนาวุฒิ เกสโร นักเเสดงเเละผู้กำกับที่เคยมีผลงานการกำกับเรื่อง Siam Yuth: The Dawn of the Kingdom (2015) ร่วมด้วย ผู้เขียนบท เกียรติศักดิ์ ศรีราษฏร์โนนสูง มีผลงานการเขียนบทร่วมจากซีรีส์ไทยเรื่อง Monkey Twins วายุเทพยุทธ์ (2018)
ตัวอย่าง Happy Birthday Father สุขสันต์วันเกิด…ครับพ่อ
ฆาตกรเป็นเด็กวัย 8 ขวบ? อะไรคือเเรงจูงใจ? จากการโปรโมทเเละตัวอย่างที่เมื่อผู้เขียนได้ดูเเล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าพล็อตเรื่องน่าสนใจมากๆ เเถมด้วยโทนภาพก็ดูสวยงามเเบบหนังระทึกขวัญระดับอินเตอร์ เเต่ทว่าความรู้สึกเมื่อตอนที่ได้ดูจริงๆ นั้นผิดไปจากที่คิดไว้มากในทุกๆจุด ซึ่งจากตัวอย่างผู้เขียนคาดการณ์ไว้ว่าหนังต้องดูยากมากเเน่ๆ เเต่ไม่ใช่เลย หนังเรื่องนี้ดูได้ง่ายเเละเเทบไม่ต้องตีความเลย ออกจะเป็นหนังระทึกขวัญทั่วไปด้วยซ้ำ เพียงเเต่ด้วยเนื้อหาเเละพฤติกรรมของตัวละครในเรื่องก็เหมาะสมกับเรท 18+ ที่ให้ไว้ เพราะตลอดเรื่องจะเต็มไปด้วยฉากที่มีความรุนเเรงอย่างการฆ่ากันหรือการลงไม้ลงมือกันในครอบครัว เเละมีฉากเซ็กส์มาเป็นระยะๆ เเละบางฉากก็ถึงขั้นเห็นเนื้อหนัง เเต่ความน่าสนใจอีกอย่างของหนังเรื่องนี้คือการได้เห็นสภาพการเมืองในชนบทที่คนกรุงอาจไม่ได้มีโอกาสรับรู้เเบบลงลึก เเละมีความสมจริงมากกว่าละครนายอำเภอตามโทรทัศน์ ซึ่งดูเเล้วก็น่ากลัวเหมือนกับที่เรามักจะได้ยินข่าวการยิงกันตายของพวก สส. ในต่างจังหวัดบ่อยๆ
โดยหนังก็มีปัญหาที่ดูเเล้วชวนขัดใจอยู่ไม่น้อย เอาที่สามารถมองเห็นได้ชัดตั้งเเต่ในช่วงต้นเรื่องอย่างเรื่องการเเสดง หลายคนเล่นได้ดี เเต่อีกหลายคนก็เล่นได้เเข็งอย่างเห็นได้ชัด เเต่ทว่าปัญหานี้ก็ดันมาเกิดกับตัวละครเด็กชูโรงอย่าง ไม้ (ธัชพล เกสโร) ที่จะไม่พูดถึงคงไม่ได้ ด้วยความที่ไม่รู้ว่าเขาตีความบทออกมาเเบบเป็นไหน เเต่ที่เเน่ๆ คือดูเเล้วยังไม่เชื่อว่าจะเป็นเด็กมีปัญหาจริง ซึ่งถ้าได้ฝึกการเเสดงสีหน้าเพิ่มเติมน่าจะช่วยได้มากกว่านี้ เพราะการที่ตัวละคร ไม้ ไม่สามารถทำให้คนดูประทับใจได้มาก ก็ส่งผลให้หนังไม่น่าจดจำมากขึ้นเท่านั้น
เเต่อย่าพึ่งหมดหวังว่าหนังจะไม่น่าดูนะครับ เพราะในเรื่องก็ยังมีตัวละครรุ่นใหญ่ที่เล่นได้ดีมาเป็นตัวช่วยดึงอารมณ์อยู่ อย่างเช่นตัวละคร แก้ว (อนัญญา เมธาจันทรกูล) ที่ดูเหมือนจะเป็นบทผู้หญิงที่ดูร้ายๆ เเละเเค่ต้องการความสุขสบายเเต่ในบางฉากก็ถ่ายทอดอารมณ์คนเป็นเเม่ที่ไม่ได้ผูกพันกับลูก เเต่ก็มีความเป็นห่วงอยู่ลึกๆ ออกมาได้ดี หรืออย่าง หมวดตุลย์ (สุระ ธีระกุล หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ นิกกี้ พิ้ม) ก็สวมบทบาทผู้หมวดได้อย่างสมจริงเเละดูเหมาะกับเครื่องเเบบดี เป็นตัวละครที่ดูเเล้วให้ความรู้สึกว่าเป็นคนรักความยุติธรรมที่จับต้องได้ เเต่บทของเขากลับไม่ได้น่าสนใจเท่าที่ควร เเละตัวละคร มิ้น (โชชิตา เกสโร) พี่สาวของไม้ทั้งในจอเเละนอกจอ ในส่วนของการเเสดงเธออาจจะไม่ได้ดึงดูดอะไร เเต่พอฉากที่อยู่กับ ไม้ ก็เล่นได้ดูมีความเป็นพี่น้องกันจริงๆ เเบบไม่ขัดตา ถือว่าเป็นข้อดีของการใช้คนที่มีความสัมพันธ์กันจริงๆ เเละสุดท้ายคือพวกลุงๆ อย่าง โชด (ชยุตพล บำเพ็ญ) เเละ กำนันอิน (ชินฐนพัชร์ อินทริด) ตัวละครที่เป็นเหมือนน้ำกับไฟ เเม้บทจะไม่ได้เด่นเท่าไหร่เเต่ทั้งคู่ก็ทำได้ดีในบทลุงเสียงนุ่มๆ เเละลุงขี้โมโห แต่หนังมีปัญหาเรื่องของ “บทสนทนา” ที่หลายครั้งฟังเเล้วดูไม่เป็นธรรมชาติ เเละยิ่งช่วงที่บทพูดยาวๆ ก็ยิ่งทำให้นักเเสดงบางคนเเละตัวประกอบที่ยังขาดประสบการณ์ ต้องเน้นการท่องจำมากขึ้นจนเหมือนการอ่านสคริปต์ไป
มาถึงจุดที่น่าเสียดายมากในหนังเรื่องนี้ นั่นคือการที่หนังเลือกกระจายบทให้ตัวละครหลักทุกตัวอย่างเท่าๆ กันจนกลายเป็นว่าหนังไม่ได้โฟกัสที่ตัวละครเด็กมากพออย่างที่ควรจะเป็น ส่งผลให้ดูเเล้วไม่รู้สึกอินกับข้อความที่หนังตั้งใจจะสื่อสักเท่าไหร่ เเต่ในการกระจายบทอย่างเท่าๆ กันก็มีข้อดีในตัวตรงที่ผู้ชมจะได้เห็นหลายๆมุมมองผ่านตัวละครต่างๆ เเละเข้าใจพวกเขามากขึ้น
ส่วนในเรื่องของงานภาพนั้นด้วยมุมกล้องที่บางทีก็ดูสวยบางทีก็ดูขัดตา การตัดต่อบางช่วงทำได้ไม่ลื่นไหลเเละยังมีการใช้เอฟเฟ็กต์ Dissolve (การเปลี่ยนฉากด้วยการจางภาพฉากก่อนหน้าออก) ที่ดูเเล้วขัดใจ รวมๆ ผู้เขียนดูเเล้วให้ความรู้สึกเหมือนกำลังดูงาน“ทีสิส”อย่างไรอย่างนั้น หนังเล่าเรื่องเเบบตัดสลับไปมาระหว่างอดีตกับปัจจุบัน มีการดำเนินเรื่องที่รวดเร็วเเละก็ทำได้ดีด้วย หนังปะหน้าว่าเป็นหนังคัลท์ แต่กลับเล่าเรื่องตรงๆ ไม่มีองค์ประกอบอะไรให้ต้องตีความนัก ส่งผลให้ผู้ชมทั่วไปดูได้สบายๆ โฟกัสไปที่เนื้อเรื่องเเบบเต็มๆ
สุดท้ายสิ่งที่ผู้ชมจะได้รับจากหนังนอกเหนือจากความบันเทิง ก็คือการได้ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมในจุดที่อาจจะใกล้หรือไกลตัวเรา เเม้รวมๆหนังจะไม่ได้เน้นที่ตัวเด็กเท่าไหร่ เเละหนักไปทางจิกกัดนักการเมืองเเละคนใหญ่คนโตในชนบท เเต่ผู้เขียนก็อยากจะพูดถึงประเด็นเด็กมากกว่าเพราะหลักๆ หนังก็พยายามจะสื่อเรื่องนี้ สื่อว่าทุกอย่างมีสาเหตุไม่ว่าเด็กคนนั้นจะลงมือโดยเจตนาของตนเองหรือถูกชักจูง เเต่การที่เด็กอายุเเค่ 8 ขวบจะจับปืนขึ้นมาเเล้วลั่นไกใส่คนได้ ตัวเขาต้องพบเจอกับอะไรมาบ้าง เขาต้องอยู่ในสภาพเเวดล้อมเเบบไหน ในใจเขาได้สะสมอะไรเอาไว้บ้างเเล้วใครคือคนที่ใส่สิ่งเหล่านั้นลงไป อาจเป็นครอบครัวหรือสังคม? เเม้นักเเสดงเด็กจะไม่สามารถทำให้เราสัมผัสถึงความทรมาณในใจของ ไม้ ได้ เเต่ด้วยฉากต่างๆ ที่เราได้เห็นในหนังก็เพียงพอเเล้วที่จะเข้าใจ เเละถ้าผู้ชมเริ่มต้นหรือมีความตระหนักถึงปัญหานี้มากขึ้น นั่นก็ถือว่าหนังประสบความสำเร็จเเล้วในสิ่งที่จะสื่อ
หนังไทยเรื่องนี้ก็เปรียบราวกับเด็กจบใหม่ที่ต้องการโอกาส เเม้รวมๆ จะไม่ประทับใจในหลายจุดเเละไม่ได้สนุกจนน่าจดจำ เเต่ด้วยพล็อตเรื่องเเนวระทึกขวัญกับการสืบสวนที่ไม่ได้มีมาให้เห็นบ่อยๆ ในวงการหนังไทยเเละการเล่นประเด็นเสียดสีการเมืองที่มักจะไม่ค่อยได้โล่ดเเล่นในประเทศที่อ่อนไหวนี้ เเละด้วยความที่หนังไม่ได้ดูยาก ก็ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่ารวมๆ Happy Birthday Father นี่ก็เป็นหนังไทยเรื่องหนึ่งที่อยากให้ได้ลองรับชมถ้ามีโอกาสครับ