playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว BigBug (Netflix) หนังบิ๊กไอเดียที่ขายได้แค่งานภาพ (ไม่สปอยล์)

สรุป

เป็นภาพยนต์เฉพาะกลุ่มมากๆ งานศิลป์ในเรื่องดี มีตลกร้ายและความแปลกที่เล่นในประเด็นความเป็นมนุษย์กับหุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ ที่เหมือนจะเป็นไอเดียใหม่แต่ไม่ใหม่ สุดท้ายมันเลยมาตกม้าตายกับเรื่องราวโดยรวมที่ไม่สามารถทำให้ผู้ชมตระหนัก หรือฉุกคิดในประเด็นที่เรื่องพยายามจะนำเสนอ และไม่อินเลย ถ้าหากว่าชอบงานศิลป์ ไซไฟผสมยุค 60s ปลายๆ ลองดูเรื่องนี้ได้ แต่ถ้าไม่ชอบดูแนวตลกร้าย ไม่ชอบเสพงานศิลป์ ไม่ชอบของแปลก เลี่ยงเรื่องนี้ไปให้ไกล

Overall
5/10
5/10
Sending
User Review
4 (2 votes)

Pros

  • งานศิลป์ ออกแบบ งานภาพสวยมาก โปรดักชั่นด้านเอฟเฟคและ CGI จัดเต็ม
  • ไอเดียหลักของเรื่องน่าสนใจ
  • มีพากย์ไทย
  • มีความแปลกในแง่ของงานศิลป์ภายในเรื่อง ที่ผสมผสานระหว่างควาามเป็นยุคเก่าและยุคใหม่

Cons

  • ไม่สุดสักทาง ด้านตลกร้าย ไซไฟ เสียดสี
  • นำเสนอสิ่งต่างๆ มาพร้อมกันเยอะเกินไปจนเหมือนยัด ทำให้คนดูอินยาก
  • องค์ประกอบหลายๆ อย่างแปลกจนเข้าถึงได้ยาก ไม่ชอบก็เกลียดไปเลย เช่นเหล่าตัวละคร อุปนิสัยต่างๆ แบบสุดโต่ง

ADBRO

BigBug ภาพยนต์สัญชาติฝรั่งเศสจาก Netflix ผลงานของผู้กำกับที่โดดเด่นด้วยงานศิลป์ ว่าด้วยเรื่องของอนาคตอันใกล้ เมื่อจู่ๆ เหล่ากองทัพหุ่นยนต์ก็เกิดปฏิวัติมนุษย์ ทำให้เหล่าหุ่นยนต์ในบ้านหลังหนึ่ง ได้ล็อคเจ้าของบ้านเอาไว้เพื่อความปลอดภัย แต่แท้เป้าหมายที่แท้จริงแล้วหุ่นยนต์พวกนี้ กำลังเรียนรู้ที่จะเป็นมนุษย์ให้มากขึ้นเสียเองหรือเปล่าล่ะ?

 Big Bug (2022) on IMDb

ตัวอย่าง BigBug 

เรื่องย่อ

อนาคตอันใกล้นี้ (ปี 2045) มนุษย์ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับหุ่นยนต์ AI และใช้มันทำแทบทุกอย่างในชีวิต แต่แล้วจู่ๆ วันหนึ่งพวกหุ่นยนต์รุ่นใหม่ โยนิกซ์ ก็กระทำการขึ้นมาการปฏิวัติเพื่อปกครองเหล่ามนุษย์ผู้ต่ำต้อย ในขณะเดียวกันครอบครัวหนึ่งที่กำลังงุ่นง่านกับปัญหาหลายๆ อย่าง ก็ถูกหุ่นยนต์รุ่นเก่ากึ๊กภายในบ้าน จับขังไม่ให้ออกไปข้างนอกเพื่อรักษาความปลอดภัยในขณะที่หุ่นยนต์กำลังจะยึดครองข้างนอก แล้วพวกเขาจะเอาตัวรอด หรือใช้ชีวิตในพื้นที่จำกัดนี้ยังไง กับเรื่องราวตลกร้ายแบบเสียดสีที่ต้องขอบอกว่าให้ถอดสมองออกไปก่อนรับชมเรื่องนี้

รีวิว BigBug

ต้องเกริ่นก่อนว่าภาพยนต์เรื่องนี้มันคือแนวตลกร้าย ไซไฟ ที่พยายามจะนำเสนอแง่คิดเกี่ยวเรื่องความเป็นมนุษย์ หุ่นยนต์ AI โดยได้ผู้กำกับที่มีฝีมือและลายเซ็นในงานภาพยนต์ที่เป็นเอกลักษณ์อย่าง Jean-Pierre Jeunet ผลงานเด่นๆ คือ The City of Lost Children (จอมโจรวิปลาสขโมยฝัน หนังเก่าปี  1995) หรือเรื่อง Amelie (สาวน้อยหัวใจสะดุดรัก soy’xu 2001) โดยเฉพาะงานออกแบบศิลป์ ที่ผสมผสานความเป็นหุ่นยนต์สมัยใหม่ กับความทันสมัยในความคิดของคนยุคปลาย 60s ซึ่งมันจะเป็นแนวทางที่เฉพาะตัวมากจนเป็นเสน่ห์ กลิ่นอายความเก่าผสมความใหม่ แต่นี่น่าจะเป็นเพียงแค่สิ่งดีงามเพียงไม่กี่อย่างของเรื่องนี้ เพราะหลายๆ อย่างในเรื่องกลับนำเสนอออกมาได้เก่าเหมือนกัน

เริ่มต้นจากพล็อตเรื่องฉากหลัง การขึ้นปฏิวัติของหุ่นยนต์เพราะว่าเริ่มคิดเองได้ มีความรู้สึกนึกคิด ประเด็นตรงนี้ถูกเล่าและหยิกยกนำเสนอในหลายๆ สื่อ ถ้าหากใครชอบเรื่องราวแนวนี้ก็จะคุ้นเคยกันดีเลยล่ะ มันไม่ได้แปลกใหม่อะไร แต่มันเป็นแค่ฉากหลัง เรื่องราวจริงๆ จะโฟกัสไปที่คนกลุ่มหนึ่ง ต้องถูกจับขังไว้ในบ้าน โดย AI ของพวกเขาเองอีกที ด้วยเหตุผลที่ว่าต้องการปกป้องเจ้านาย ไม่ต้องการให้หุ่นยนต์ข้างนอกทำร้าย ซึ่งตรงนี้มันน่าสนใจ และกลายเป็นพล็อตเรื่องเกี่ยวกับการเอาชีวิตรอดในพื้นที่จำกัดพร้อมกับหุ่นยนต์จำนวนหนึ่ง

แต่ทว่า ถ้าหากมันถูกหยิบยกไปนำเสนอให้เป็นแนวทริลเลอร์ เอาชีวิตรอดจริงๆ จังๆ มันจะน่าสนใจและน่าตื่นเต้นมาก แต่อย่างที่เกริ่นไป หนังเรื่องนี้คือแนวตลกร้าย เสียดสี เพราะฉะนั้นมันเหมือนกับทำเอามันส์มือผู้กำกับ โดยไม่สนเลยว่าตัวหนังนั้นมันจะกลายเป็นยังไงในตอนจบ

เริ่มต้นกันที่ฉากเปิดของเรื่อง อลิซ หญิงสาววัยกลางคนกำลังอยู่กับ แม็กซ์ ชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนจะจีบเธออยู่ แต่ได้แม็กซ์ก็ได้พาลูกชายมายังบ้านแฟนสาวของตัวเอง ซึ่งบ้านของอลิซมีหุ่นยนต์แม่บ้าน โมนิค ทำงานนั่นนี่อยู่ แต่แล้วจู่ๆ วิคเตอร์ อดีตสามีของอลิซก็กลับมาบ้านพร้อมกับแฟนสาวคนใหม่ เจนนิเฟอร์ และลูกสาว เพื่อมาคุยเกี่ยวกับเรื่องหย่าร้าง แล้วก็มีเพื่อนบ้านที่น่ารำคาญที่กำลังตามหาหมาของเธอเข้ามาในบ้านด้วยอีกที

ในขณะเดียวกัน ก็มีรายการทีวีที่ฉายรายการเรียลลิตี้ เกี่ยวกับหุ่นยนต์ทหารยิ้มสยอง โยนิกซ์ กำลังปฏิบัติกับมนุษย์เหมือนกับสัตว์ ทั้งจับขัง หรือทำให้แสดงเป็นสัตว์ประเภทต่างๆ

แค่ฉากเปิดก็มีหลายเรื่อง หลายอย่างให้พูดถึง ให้ติดตาม และถูกนำเสนอออกมาพร้อมๆ กันหลายเรื่องมาก เหมือนมันกำลังจะพยายามนำเสนอประเด็นอะไรบางอย่างที่เราเข้าใจได้ แต่ถูกยัดให้มาพร้อมๆ กัน มันเลยเป็นการยากมากจนแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่เรื่องนี้ จะรักษาการนำเสนอแบบนี้เพื่อดึงจุดสนใจผู้ชมให้คล้อยตามไปกับเรื่องราว

หุ่นยนต์แม่บ้าน โมนิค ได้สแกนถึงสภาวะอารมณ์หรือหลายๆ อย่างของมนุษย์ เช่นเห็นแม็กซ์จีบกับอลิซ สามารถสแกนได้ว่าอารมร์อยู่ถึงจุดไหน ระดับการแข็งตัว (ของไอ้นั่น) เปอร์เซ็นต์แล้ว เมื่อตัวละครทุกคนติดอยู่ในบ้าน ตัวของหุ่นยนต์แม่บ้านก็พยายามจะเป็นส่วนหนึ่ง ที่เรียนรู้และใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์

แต่ก็เกิดเหตุไม่คาดฝัน เมื่อมีตัวหุ่นยนต์โยนิกซ์เข้ามาตรวจสอบภายในบ้าน ตัวละครต่างๆ ก็จะมีรีแอคชั่นต่างกันออกไปในแบบที่เรียกได้ว่า แปลก และสุดโต่งมาก ซึ่งมันเป็นอะไรที่น่าขนลุกและเฉพาะกลุ่มมากๆ

แกนหลักของเรื่องจริงๆ มันก็คือการเอาตัวรอดในสภาวะบางอย่างแต่ถูกนำเสนอในแง่ของไซไฟ ตลกร้าย ที่ต้องบอกว่ามันไม่ได้นำเสนอได้อย่างเฉียบแหลม หรือชวนให้ถกคิด ตั้งคำถาม ถ้าหากว่าหนังเรื่องนี้ได้ฉาย ย้อนกลับไปตอน 90s หรือ 2000s มันอาจจะพลิกวงการไปเลยก็ได้ กับไอเดีย แต่หลายๆ อย่างในเรื่องมันค่อนข้างที่จะเป็นประเด็นซ้ำซาก ไม่แปลกใหม่สำหรับเรื่องราวประเภทนี้เลย เช่นการเอาตัวรอดทั้งๆ ทีเทคโนโลยีมีอยู่เยอะแยะมากมาย หรือการที่ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าโลกภายนอกวุ่นวายจากการปฏิวัติของหุ่นยนต์แค่ไหน เท่านี้มันก็พลาดในการทำให้ผู้ชมรู้สึกลุ้นตามไปกับตัวละครแล้ว

ประเด็นของเรื่องที่พยายามจะนำเสนอเกี่ยวกับหุ่นยนต์ เรื่องเอไอที่คิดเองได้ เรื่องหุ่นยนต์ที่พยายามทำความเข้าใจมนุษย์ เลียนแบบพฤติกรรม หรือควบคุมมนุษย์เพราะว่ามนุษย์เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่ทำแต่ความผิดพลาด และอ่อนแอ ประเด็นในท้ายเรื่องก็จะเล่นกับความผิดพลาดตรงนี้ที่แสดงให้เห็นว่า สิ่งที่เหมือนจะเพอร์เฟกต์ที่สุด มันก็มีความผิดพลาด หรือเป็น บิ๊กบั๊ก ซึ่งบั๊กในที่นี้จะหมายถึง ความผิดพลาดทางระบบคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่แมลง

BigBug Yonyx

เห็นได้เลยว่าประเด็นในเรื่องไม่ได้แปลกใหม่หรือแตกต่างตั้งแต่ต้นแล้ว แถมยังนำเสนอออกมาได้แปลกจนน่าขนลุก ซึ่งเป็นลายเซ็นของผู้กำกับคนนี้ ทำให้งานศิลป์ ทั้ง CGI กราฟฟิค เอฟเฟคต่างๆ รวมไปถึงบรรยากาศของเซ็ตอัพภายในเรื่อง สวยและมีเสน่ห์มาก ต้องยกเรื่องนี้ให้จริงๆ ว่าทำได้ดี ไอ้ตัวหุ่นยนต์โยนิกซ์นี่ก็น่าจะได้แรงบัลดาลใจมาจาก Agent Smith ใน The Matrix แน่นอน เพราะจะมีฉากที่โผล่มาหลายๆ ตัวแล้วใส่แว่นดำด้วย

สุดท้าย ภาพยนต์เรื่องนี้มันเลยไม่สามารถคุมสเกลตัวเองได้อยู่ คือเล่นไอเดียและประเด็นใหญ่อย่างการปฏิวัติของหุ่นยนต์ แต่นำเสนอในสเกลเล็กอย่างการเอาตัวรอดในที่จำกัด แต่กลับนำเสนอแบบ เดี๋ยวก็โฟกัสข้างนอก ข้างใน ตัวละครหลายๆ ตัวก็มีแต่อะไรแปลกๆ ถ้าใครชอบอะไรที่โคตรจะ weird คือรักตายเลย แต่ใครเข้าไม่ถึงคือเกาหัวแกรกๆ แน่นอน นั่นเลยทำให้หนังเรื่องนี้แทบไม่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อยากใส่อะไรก็ใส่ แบบนี้ต้องดี แบบนั้นน่าจะโอ มันส์มือผู้กำกับอยู่คนเดียว เป็นผลงานที่น่าจะเป็นการคัมแบ็คของผู้กำกับของโจเนต์ แต่สุดท้ายก็เป็นผลงานที่น่าผิดหวังเสียได้ ถ้าใครสนใจจะลองดูอะไรแปลกๆ ไม่เสียหลาย เพราะว่ามีพากย์ไทยให้ดูด้วย

 

สรุป BigBug สนุกและดีไหม?

ถือว่าเป็นหนังค่อนข้างเฉพาะกลุ่ม และไม่ค่อยสนุกสำหรับผู้ชมทั่วไปสักเท่าไหร่ ค่อนข้างเข้าถึงได้ยาก เพราะเน้นขายไอเดียกับงานศิลป์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของผู้กำกับ

รับชม BigBug บิ๊กบั๊ก ได้ทาง Netflix แล้ววันนี้

อ่านรีวิว หนัง/ซีรีส์ เรื่องอื่น ได้ที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!