รีวิว Deadwind SS1-2 (Netflix) เมื่อหนึ่งความตาย กลายเป็นความซ่อนเงื่อน!
Deadwind
-
Deadwind SS1 - 7.5/10
7.5/10
-
Deadwind SS2 - 7.5/10
7.5/10
สรุป
SS1
ซีรีส์สืบสวนที่โดดเด้นในด้านงานภาพและการเล่าเรื่อง แม้พล็อตหลักจะดูธรรมดาไปบ้าง แต่ทดแทนด้วยด้านดราม่าที่โอเค บวกกับฉากทริลเลอร์ชวนลุ้นและน่าติดตาม
SS2
เดดวินด์ ยังคงเป็นซีรีส์สืบสวนที่อยู่ในระดับโอเค แม้จะน่าเสียดายที่เสน่ห์จากภาคแรกอย่างความสวยของฉาก สถานที่ และภาพที่นำเสนอ แต่ถูกทดแทนด้วยแอคชั่นทริลเลอร์มันส์ๆ ฉากกดดันหลายฉาก ตั้งแต่ต้นจนจบ
Overall
7.5/10User Review
( vote)Pros
- การเล่าเรื่องน่าติดตาม แตกแขนงออกจากจุดเล็กๆ อย่างการตายของแอนนา
- ภาพสวยมาก
- มีความใส่ใจกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ
- ตื่นเต้นด้วยฉากไล่ล่าทริลเลอร์ที่มีให้เกือบทุกตอน
- SS2 เพิ่มความมันส์และความลุ้นกดดันขึ้นด้วยฉากไล่ล่ามันส์ๆ ทุกตอน
- SS2 คดีมีสเกลใหญ่ขึ้น การตายหลายคน
Cons
- พล็อตเรื่องยังดูธรรมดา
- ใช้เวลาปูบทตัวละครให้คนดูรู้จักนานไปหน่อย
- SS2 ลดความสวยของงานภาพลง แต่ไปเพิ่มในส่วนของความแอคชั่นทริลเลอร์แทน
Deadwind ซีรีส์ Netflix จากฟินแลนด์ แนวสืบสวนสอบสวน ว่าด้วยม่ายสาวที่เพิ่งสูญเสียสามีไป ได้ลงมาทำคดีการตายปริศนาในไซต์ก่อสร้าง ที่จะจุดชนวนเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับคดีฆาตกรรมนี้
ตัวอย่าง Deadwind SS1
รีวิว Deadwind SS1
เดดวินด์ อีกชื่อหนึ่งตามภาษาฟินแลนด์ก็คือ Karppi ชื่อเดียวกับตัวเอกนั่นก็คือ โซเฟีย คาร์ปปี นักสืบแม่ม่ายสาวที่เพิ่งสูญเสียสามีไป ด้วยความโศกเศร้าเธอจึงกลับมารับงานสืบสวนและจริงจังกับมันเพื่อที่จะได้ลืมความเศร้าจากความตายของสามีเธอ
เธอได้จับมือแทคทีมกับนักสืบหน้าใหม่อย่าง ซาคารี นูร์มี ที่ดูซื่อๆ ในการหาความจริงเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมของ แอนนา หญิงสาวที่ร่างของเธอถูกฝังในไซต์ก่อสร้างที่ห่างไกลผู้คน และเรื่องราวจะยิ่งขยายและซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อความตายของแอนนา ได้เป็นตัวจุดชนวนเรื่องราว และเชื่อมไปยังบุคลต่างๆ ที่มีความเป็นไปได้ว่าฆาตกรอาจจะมีมากกว่า 1 คน
สำหรับซีรีส์เรื่องนี้ ต้องขอบอกเลยว่าการดำเนินเรื่อง มันไม่ใช่แนวสืบสวนสอบสวน ที่มีสูตรสำเร็จทั่วไปในแบบซีรีส์ฝั่งอเมริกา ซึ่งสิ่งที่เห็นเด่นชัดมากๆ ก็คือกลิ่นอายของความเป็นแนว “หนังฟิล์มนัวร์” ที่ทำให้ทั้งภาพ และบรรยากาศของเรื่องอยู่ในมิติและโทนที่อึมครึม และดึงเราไปอยู่ในบรรยากาศหนังสืบสวนที่เล่าเรื่องชีวิตของนักสืบและผลกระทบของคดี รวมไปถึงตัวคดีเองด้วย
อย่างตัวละคร คาร์ปปี ในตอนแรกๆ ซีรีส์จะไม่นำพาให้รู้จักเธอเท่าไหร่เพราะจะไปโฟกัสเรื่องราวในคดี ทำให้แรกๆ ยังไม่อินไปกับตัวละคร แต่เรื่องราวจะค่อยๆ แตกแขนง ออกไปหลายๆ ทาง แล้วมันจะค่อยๆ ทำให้ผู้ชมได้ใกล้ชิดกับชีวิตของเธอ ที่ต้องบาลานซ์ทั้งเรื่องงาน และเรื่องครอบครัวที่ไม่ค่อยจะแฮปปี้สักเท่าไหร่ ซึ่งกว่าที่เราจะเข้าใจและรู้จักตัวละครหลักก็ปาเข้าไปประมาณกลางๆ เรื่องแล้ว ว่าเธอต้องเจออะไร อยู่ในสภาพเหตุการ์ณแบบไหนบ้าง
โดยหลักๆ แล้ว จากเรื่องคดีคนตาย ซีรีส์จะดำเนินเรื่องราวที่มีผลกระทบ แตกแขนงไปเรื่อยๆ เริ่มจากคู่นักสืบตัวละครหลัก คาร์ปปี และนูร์มี ซึ่งแต่ละคนก็จะมีดราม่าทางฝั่งตัวเอง ต่อมาก็คือสามีของแอนนาอย่าง อุโก ที่โศกเศร้าเสียใจ และเรื่องราวของตัวละครที่น่าจะเป็นชื่อที่เกี่ยวข้องกับชื่อเรื่องที่สุด นั่นก็คือเรื่องราวของอเล็กซ์ ฮอยกาลา เจ้าของบริษัทเทคโนโลยีที่กำลังมีแพลนสร้างหมู่บ้านที่ใช้กังหันลมที่เขาพัฒนาเพื่อผลิดกระแสไฟฟ้าแทนพลังงานนิวเคลียร์
เนื้อเรื่องในแต่ละส่วนก็จะดำเนินเรื่องไปพร้อมๆ กัน ทั้งดราม่าของตัวนางเอก หรือของพระเอก แล้วต่อด้วยชีวิตอุสโกหลังการตายของภรรยา ที่ต้องเลี้ยงลูกคนเดียว และคนที่มีสัมพันธ์ลับๆ กับตัวผู้ตายอย่างอเล็กซ์ ซึ่งมันบาลานซ์ได้ค่อนข้างดี เพราะมันจะไม่ค่อยดำเนินเรื่องของใครคนใดคนหนึ่งยาวเกินไป แต่จะเน้นไปที่ตัวคดีแทรกเข้ามาเป็นระยะๆ
ซึ่งในการสืบคดีหาความจริงว่า ใครเป็นคนร้าย แล้วที่แอนนาตาย มันเกี่ยวอะไรกับบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่เรื่องตรงนี้ขอบอกเลยว่าซับซ้อน แต่ดูง่าย และมีหักมุมในตอนท้ายที่คาดไม่ถึงด้วย
สิ่งที่ทำให้คนดูรู้สึกดูแล้วไม่เบื่อ นั่นก็คือการผสมความเป็นหนังทริลเลอร์เข้ามาในเกือบทุกตอน ทั้งการไล่ล่าหาตัวคนร้าย การต่อสู้ เข้าไปสืบคดีต่างๆ มาเป็นสีสัน นั่นยิ่งทำให้บรรยากาศในเรื่องที่ดูอึมครึม ก็ยิ่งดูสวยและหม่นๆ เข้าไปอีกขั้น
แม้การดำเนินเรื่องจะแปลกใหม่ ไม่เป็นสูตรสำเร็จ แต่ในด้านพล็อตเรื่องนั้น ดันเป็นสูตรสำเร็จไปเสียได้ เพราะมันจะนำเสนอ เรื่องราวที่น่าสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรม ที่มันจะมีการคอรัปชั่น และดราม่าส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งมันเห็นได้ในซีรีส์แนวนี้หลายๆ เรื่อง และกลิ่นอายที่ว่ามานั้นก็เหมือนกับแนวเดียวกันอย่างเรื่อง Marcella หรือ Border Town (มีให้ชมใน Netflix) ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่ก็หวังว่ามันจะมีความแปลกใหม่มากกว่านี้เหมือนกับการเล่าเรื่อง
สิ่งที่ชอบมากในซีรีส์เรื่องนี้คือความ Cinematography และความเป็นหนังฟิลม์นัวร์ ที่เล่นกับภาพ แสง เงา ได้สวยมากเรื่องหนึ่งเลย เพราะทั้งเรื่องแม้จะมีฉากตอนกลางวันหลายฉาก แต่เขาจะทำให้มันดูขมุกขมัว เหมือนกับมีเมฆบังแดดตลอดเวลา และเวลาในเรื่องส่วนใหญ่ก็คือความมืด และตอนกลางคืน ขอบอกเลยว่าแต่ละฉากนี้ได้รับการคิดและถ่ายทำเป็นอย่างดี และยังแอดใส่กิมมิคฉากประตูในตำนานของหนัง The Shining โรงแรมผีนรกไว้ในตอนท้ายๆ ด้วย
ชอบที่ในซีรีส์เขาใส่ใจกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นการสืบหาคดีเพื่อนร่วมงานที่แอบดูประวัติการค้นหาในเว็บไซต์ ก็จะถูกตัวเอกของเราบอกว่านั่นมันเป็นเรื่องส่วนตัว นางเอกที่จะหัวกระเซิงตลอดเพราะไม่มีเวลาดูแลตัวเอง (ต้องเลี้ยงลูก+สืบคดีตลอด) หรือตอนที่นูร์มีบอกว่าหิวก่อนเริ่มสืบ และคาร์ปปีบอกว่าฉันคงต้องหาอะไรมาไว้ให้นายกินติดรถไว้ล่ะมั้ง และในตอนต่อไปเธอก็หาอะไรติดรถมาให้พระเอกของเราได้กินจริงๆ มันก็ดูโอเคดี แต่บางอันมันก็จะมีความรู้สึกในแบบที่ว่า Cringe ไปสักหน่อย
เรียกได้ว่าเป็นซีรีส์สืบสวนจากต่างประเทศที่ได้คะแนนจากผู้ชมในระดับที่สูง และเป็นซีรีส์ที่ดูสนุกอีกเรื่องหนึ่งเลย มีทั้งความตื่นเต้น ความลึกลับซับซ้อนของตัวคดี แม้จะมีบางอย่างที่ดูธรรมดา แต่ก็แทรกแอ็กชั่นทริลเลอร์ที่เข้ามาเป็นสีสัน มีข้อเสียบ้างเล็กๆ น้อยๆ ที่พอมองข้ามไปได้ แต่โดยรวมสำหรับคนที่ชอบแนวนี้ก็ต้องหามาชม โดยตัวซีรีส์มีทั้งหมด 12 ตอน และ Season 2 รับชมได้ในวันที่ 1 กรกฏาคมนี้
ตัวอย่าง Deadwind SS2
รีวิว Deadwind SS2
กลับมาอีกครั้งกับนักสืบม่ายสาว คาร์ปปี และคู่หู นักสืบหนุ่มนูร์มี กับคดีที่ใหญ่ขึ้นกว่าภาคแรก เมื่อการฆาตกรรมต่อเนื่อง ถูกปิดตาแล้วฆ่าทิ้งศพไว้ ผู้ตายเกี่ยวข้องกันด้วยยาเสพติด และนั่นจะสาวไปถึงนักการเมืองในพรรคหนึ่ง แต่นั่นแค่เริ่มต้นและยิ่งซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับพล็อตเรื่องในภาคนี้ก็ยังดูไม่แปลก แตกต่างไปจากเดิมมากเท่าไหร่ แต่ที่โดดเด่นมาแต่ไกล และรับรู้ได้ว่าเขาอัพเกรดจากภาคที่แล้วขึ้นก็เป็นความแอคชั่น ทริลเลอร์ ที่เพิ่มขึ้นมาก เพราะว่าการสืบหาตัวฆาตกร ที่ลงมือฆ่าเหยื่อ รวมไปถึงลักพาตัวผู้เกี่ยวข้อง เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง ทำให้ทีมสืบสวนจำเป็นที่จะต้องแข่งกับเวลา เพื่อที่จะจับคนร้าย และช่วยเหยื่อให้ได้
ยังคงเสน่ห์ในการเล่าเรื่องแบบ เริ่มจากจุดเล็กๆ แล้วขยายใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งปัญหาจากภาคที่แล้วก็ยังตามมา เมื่อมันเลือกที่จะเล่าแบบนี้ ทำให้ในตอนแรกๆ เราจะหาความเชื่อมโยงของเนื้อเรื่องไม่เจอ จนดูแล้วบางทีก็งง จนกว่าจะอ๋อก็ต้องดูไปจนถึงกลางเรื่อง แต่ถ้าหากทำใจว่านี่เป็นสไตล์ปกติของซีรีส์ฟินแลนด์ก็ไม่ใช่ปัญหาเท่าไหร่
ความสนุกในการสืบสวนยังคงเดิม เพิ่มด้วยดราม่าด้านครอบครัวของนางเอกที่หนักขึ้น เพราะตัวเฮนนา ลูกเลี้ยงของเธอดันไปเกี่ยวข้องกับคดีโดยตรง ส่วนดราม่าในเส้นเรื่องหลักของการสืบสวน จากภาคที่แล้วประเด็นอยู่ที่โครงการสร้างหมู่บ้านกังหันลม ในภาคนี้คือการเมืองระหว่างเมืองเฮลซิงกิในฟินแลนด์ กับประเทศข้างเคียง ในโครงการสร้างอุโมงค์รถไฟฟ้า ดูเหมือนว่าตัวซีรีส์เองก็อยากจะสื่อสารบางอย่างในประเด็นพวกนี้ในบ้านเขา
แต่สิ่งที่ขาดหายไป กลับเป็นเสน่ห์ในด้านงานภาพ ที่เห็นได้ชัดเลยว่าหายไปเกือบหมด กลายเป็นซีรีส์สืบสวน ไล่ล่า ธรรมดาๆ ไม่ใช่สืบสวนดราม่าที่มีภาพสวยมากๆ เป็นอะไรที่น่าเสียดายมาก แต่ก็ถูกทดแทนด้วยความตื่นเต้น ลุ้น และกดดันจากฉาก เหตุการณ์ไล่ล่าคนร้ายที่มีอยู่ในทุกๆ ตอนแทน
ความยาวของภาค 2 มีทั้งหมด 8 ตอน สั้นกว่าภาคที่แล้ว แต่เนื้อเรื่องมันก็เข้มข้น และกระชับขึ้น ไม่ได้แตกแขนงและต่อยอดหลายๆ ส่วนแบบในภาคแรก แต่ก็ยังดูสนุก และในตอนสุดท้ายก็มีความหักมุมแบบคาดไม่ถึงเหมือนเดิม (ถ้าหากมองอีกมุม มันก็เป็นแพตเทิร์นเดิมที่เคยทำให้ภาคแรก นั่นก็คือ จากจุดเล็กๆ ขยายสเกลไปเรื่อยๆ กลายเป็นว่าคนร้ายมีสองคน แต่คนละคดี ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกันโดยบังเอิญ และคนร้ายคือคนที่เราคาดไม่ถึงและมองข้าม)
เดดวินด์ ยังคงเป็นซีรีส์สืบสวนที่อยู่ในระดับโอเค แม้จะน่าเสียดายที่เสน่ห์จากภาคแรกอย่างความสวยของฉาก สถานที่ และภาพที่นำเสนอ แต่ถูกทดแทนด้วยแอคชั่นทริลเลอร์มันส์ๆ ฉากกดดันหลายฉาก ตั้งแต่ต้นจนจบ นี่คือเรื่องที่เรียกว่าเป็น Underrated ที่อยากจะบอกให้ทุกคนได้ลองชมว่าซีรีส์ทางฝั่งฟินแลนด์ก็ไม่ธรรมดาจริงๆ
รับชม Deadwind ทั้ง 2 Season ทาง Netflix
อ่านบทความรีวิวเรื่องอื่นได้ที่นี่