รีวิว Dhamaka ประกาศข่าวแบบทริลเลอร์โคตรระทึกจากบอลลีวู้ด
Dhamaka
สรุป
ถ้าหากว่าชอบหนังทริลเลอร์บีบคั้นหัวใจแบบมันส์ๆ ล่ะก็ เรื่องนี้ตอบโจทย์มาก ด้วยการนำเสนอประเด็นเกี่ยวกับสังคมผ่านการรายงานข่าวก่อการร้ายวางระเบิดที่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะชวนลุ้นระทึกได้ขนาดนี้ แม้ว่าเนื้อเรื่องบางจุดอาจจะมีข้อกังขาหรือประเด็นที่นำเสนอได้ไม่ละเอียดพอ แต่ในด้านอารมณ์ร่วมและความมันส์ ขอรับประกันเลยว่าคุ้มที่จะดูแน่นอน
Overall
8/10User Review
( vote)Pros
- remake จากหนังเกาหลีของปี 2013
- ดำเนินเรื่องไหลลื่น ทริลเลอร์ตื่นเต้น บีบคั้น ชวนลุ้น
- นำเสนอประเด็นทางสังคมและชนชั้นผ่านการประกาศข่าวได้สนุกและมีสีสัน
- เพลงประกอบเข้ากับหนัง ช่วยบิ้วอารมณ์ได้ดี CG ก็สวย
Cons
- ประเด็นบางอย่างที่นำเสนอมีความตื้นเขิน
- ขาดรายละเอียดในเรื่องราวหลายอย่าง
Dhamaka คำขู่ ภาพยนต์บอลลีวู้ด อำนวยการสร้างโดย Netflix ลุ้นระทึกไปกับ อรชุน ปาทัค นักข่าวผู้ตกอับแต่แล้วก็ส้มหล่นเมื่อมีผู้ก่อการร้ายระเบิดสะพาน Sea Link โทรหาเขาเพื่อรายงานออกอากาศสด เขาจึงถือโอกาศนี้หวังจะไต่เต้าขึ้นไปเป็นผู้ประกาศข่าวเบอร์หนึ่งอีกครั้ง โดยหารู้ไม่ว่าที่หูของเขา มีระเบิดติดตั้งพร้อมระเบิดได้ทุกเมื่อ อรชุนจึงต้องรายงานข่าวที่จะต้องแลกกับจิตสำนึกผิดชอบชั่วดีของเขา
ตัวอย่าง Dhamaka คำขู่
รีวิว Dhamaka คำขู่
ภาพยนต์อินเดียเรื่องนี้ ได้ดัดแปลงมาจากภาพยนต์เกาหลีเรื่อง ชนวนล่ามหาประลัย The Terror Live เมื่อปี 2013 พล็อตเรื่องต่างๆ ก็จะเหมือนๆ กัน แต่จะอยู่ในบริบทของความเป็นอินเดียมากว่านั่นเอง
อรชุน ปาทัค อดีตผู้ประกาศข่าวชื่อดังที่ชีวิตตกต่ำ โดนลดขั้นต้องมาจัดรายการวิทยุ มิหนำซ้ำภรรยาสาวสวย โสมยา ขอหย่าร้างอีก ในรายการวิทยุที่เขาจัดก็จะเปิดช่วงให้สายจากทางบ้านโทรเข้ามาพูดคุยเกี่ยวกับหัวข้อข่าวของวันนั้นๆ แต่แล้วก็มีสายหนึ่งนามว่า ราฆูบีร์ โทรเข้ามาขู่วางระเบิดสะพาน Sea Link ในมุมไบ แทนที่อรชุนจะโทรแจ้งตำรวจ แต่เขากลับเห็นโอกาสที่จะได้กลับไปเป็นผู้ประกาศข่าวรอบดึกอีกครั้งหนึ่ง จึงได้โทรสัมภาษณ์คนร้ายออกรายการสดเพื่อเพิ่มเรตติ้งให้ช่อง โดยแลกกับข้อเสนอของคนร้ายก็คือคำขอโทษจากนายกรัฐมนตรีของอินเดีย
เรื่องราวก็เข้มข้นขึ้น เมื่อทางช่องทีวีของเขาต้องการดราม่า เรียกเรตติ้ง ซึ่งมันสวนกระแสกับคำขอของคนร้าย จนทำให้มีผู้ที่ต้องตกอยู่ในอันตรายท่ามกลางการระเบิดสะพาน รวมไปถึงอดีตคนรักของเขาอย่าง โสมยา ที่ไปรายงานข่าว ณ สถานที่เกิดเหตุสดๆ ที่นั่นอีกด้วย ทำให้อรชุน ต้องหาทางถ่วงเวลาคนร้ายเพื่อให้ตำรวจตามจับตัวให้ได้ ส่วนทางช่องทีวีเองก็บีบบังคับให้เขาไม่ต้องทำตามคำขู่คนร้ายเพื่อเรียกเรตติ้ง โดยที่ไม่รู้ว่าในหูของอรชุน มีระเบิดฝังอยู่ในหูฟัง ทำให้เขาต้องเลือกตัดสินใจในการนำเสนอข่าว ที่มันจะตัดสินทั้งศีลธรรมและชีวิตของเขาเอง
การดำเนินเรื่องจะเซ็ตอัพอยู่แค่ไม่กี่สถานที่ หลักๆ เลยก็คือห้องออกอากาศ กับตัดภาพไปที่สะพานที่โดนระเบิดถล่ม มันเลยกลายเป็นเหมือนความลุ้นระทึกในห้องปิดตาย เพราะตัวพระเอกเองก็ออกจากห้องส่งไม่ได้จนกว่าจะรายงานข่าวหรือทำตามคำขอของคนร้ายจนสำเร็จ เพราะตัวเขาเองก็มีระเบิดอยู่ในหูฟังที่จะคร่าชีวิตเขาได้ทุกเมื่อ
จุดเด่นที่ต้องยกให้หนังเรื่องนี้เลยก็คือ การดำเนินเรื่องที่ลื่นไหลและโฟลวมาก โดยจะพาเราไปทำความรู้จักกับชีวิตของตัวเอกสั้นๆ ปัญหาชีวิต ทำไมเขาถึงต้องอยากรายงานข่าว จนเรื่องราวก็ค่อยๆ ระทึกและบานปลายมากขึ้นเมื่อคนร้ายต้องการคำขอโทษจากนายกรัฐมนตรี ด้วยเหตุผลบางอย่าง ซึ่งตรงนี้มันไต่ระดับความลุ้นระทึกได้ดีมาก ยิ่งเหมือนเป็นสถานการณห้องปิดตายมันก็ยิ่งเพิ่มความตื่นเต้นเข้าไปอีก ลุ้นว่าพระเอกจะตัดสินใจอย่างไร ตำรวจจะหาตัวคนร้ายเจอก่อนไหม หรือพระเอกจะต้องทำตามคำขอของช่องทีวีที่ขัดกับ demand ของคนร้าย แม้จะดูวุ่นวาย อีรุงตุงนัง แต่มันก็บีบคั้นอารมณ์สุดๆ เหมือนกัน
อีกอย่างที่ทำได้ดีเลยก็คือความดราม่า แม้ว่าจะดูเหมือนเซ็ตไว้ว่านักข่าวภาคสนาม คืออดีตภรรยาของพระเอก จุดนี้ตัวเรื่องก็จะค่อยๆ บิ้วอารมณ์ของผู้ชมทีละนิดให้เราค่อยๆ อิน ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวาย
ประเด็นหลักจริงๆ ของเรื่องที่พยายามจะสื่อก็คือเรื่องราวของสังคม ที่มันสอดแทรกแง่คิดต่างๆ ให้เราได้ฉุกคิด แม้มันต้นฉบับจะเป็นจากหนังเกาหลี แต่บทต่างๆ ก็ตรงกับบริบทของสังคมอินเดีย และของไทยเราด้วยจนสัมผัสได้เกี่ยวกับเรื่องราวตรงนี้
อีกประเด็นหนึ่งของเรื่องที่นำเสนอหลักๆ ได้อย่างน่าสนใจเลยก็คือ การรายงานข่าว หรือการขายข่าว โดยตัวเอกของเราจะมีสโลแกนที่ว่า ทุกคำที่ผมพูด คือความจริง แต่นั่นจะเป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ เหรอ? เมื่อทุกอย่างคือเรตติ้ง ผู้ชมต้องการดราม่า ตัวเอกก็จะต้องตัดสินใจว่าจะนำเสนอข่าวแบบไหนถึงจะโอเคกับตัวเขา หรือกับสังคมเกี่ยวกับเรื่องราวนี้
ในอีกแง่มุมหนึ่ง แม้ตัวเรื่องจะเล่าไปอย่างลื่นไหล ลุ้นระทึก ไม่มีช่วงให้หยุดพักหายใจ ไปเรื่อยๆ บีบคั้นอารมณ์แบบทริลเลอร์ นำเสนอประเด็นหลักได้ค่อนข้างครบถ้วน แต่ทว่าตัวหนังขาดรายละเอียดต่างๆ หลายอย่างมาก ยิ่งถ้าคุณเป็นคนดูประเภทที่ชอบจับผิดหนังล่ะก็ อาจจะถึงขั้นไม่สบอารมณ์เลยทีเดียว
เช่นเรื่องราวเกี่ยวกับตัวคนร้ายที่ดูเหมือนจะมีอะไร แต่ก็ตื้นเขิน ยิ่งการปรากฏตัวในช่วงสุดท้ายมันก็ไม่ได้เซอร์ไพรส์ หรือหักมุมอะไรเลย (รีโมตระเบิดดูง๊องแง๊งเหมือนกับของเด็กเล่นด้วยซ้ำ) แม้ว่าประเด็นของตัวร้ายมันจะทำหน้าที่สะท้อนถึงคนชนชั้นล่าง ที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจนลุกขึ้นมาแก้แค้นคนชั้นบน ผ่านคนชั้นกลางอย่าง อรชุน นักข่าวที่ทุกๆ คนต่างเชื่อถือ เพื่อให้นายกหรือคนที่อยู่ตำแหน่งสูงสุด เห็นหัวประชาชนตาดำๆ บ้าง แต่รายละเอียดอย่างการวางแผนต่างๆ ของคนร้าย ไม่ได้นำเสนอลงไปในหนัง ทำให้เหมือนมันยังขาดๆ มิติของคนร้ายไปพอสมควรเลย
แต่ก็พอเข้าใจได้อยู่บ้าง เพราะสิ่งที่หนังมันพยายามจะนำเสนอมาตลอดและมาเซอร์ไพรส์คนดูในตอนท้ายให้เราฉุกคิดว่า คนร้ายตัวจริง อาจจะไม่ใช่คนที่ระเบิดสะพาน แต่อาจจะเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวกว่านั้นก็ได้ ไม่ขอสปอลย์ตรงนี้ให้ไปดูเอาเองนะครับ
สิ่งที่หนังเรื่องนี้ทำได้ดีมากอีกอย่างก็คือเรื่องของงานภาพ กราฟฟิก CG และเพลงประกอบที่ไม่มีตรงไหนขัดหูขัดตาเลย ทำได้เนียนและสมจริง เพลงประกอบก็บิ้วอารมณ์ ฉากดราม่าก็มีเพลงเพราะๆ ซึ้งๆ ช่วยบิ้วอารมณ์ผู้ชมอีกทีหนึ่ง
ถ้าหากว่าชอบหนังทริลเลอร์บีบคั้นหัวใจแบบมันส์ๆ ล่ะก็ เรื่องนี้ตอบโจทย์มาก ด้วยการนำเสนอประเด็นเกี่ยวกับสังคมผ่านการรายงานข่าวก่อการร้ายวางระเบิดที่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะชวนลุ้นระทึกได้ขนาดนี้ แม้ว่าเนื้อเรื่องบางจุดอาจจะมีข้อกังขาหรือประเด็นที่นำเสนอได้ไม่ละเอียดพอ แต่ในด้านอารมณ์ร่วมและความมันส์ ขอรับประกันเลยว่าคุ้มที่จะดูแน่นอน
รับชม Dhamaka คำขู่ ได้ทาง Netflix แล้ววันนี้
อ่านรีวิวหนัง/ซีรีส์เรื่องอื่น ได้ที่นี่