รีวิว Fauda ฟาวด้า Season 1-2-3 แอคชั่นดราม่าการก่อการร้ายที่โคตรเรียล
Fauda ฟาวด้า
-
Fauda Season 1 - 7/10
7/10
-
Fauda Season 2 - 8/10
8/10
-
Fauda Season 2 - 8.5/10
8.5/10
สรุป
นี่คือซีรีส์ที่กล้านำเสนอเรื่องราวความขัดแย้ง ในมุมมองของคนที่เคยสัมผัสมาจริง การันตีด้วยงานสร้างจากคนที่เคยเป็นสายลับมาจริงๆ นำเสนอทั้งด้านดราม่า และแอคชั่นที่สมจริง แม้ว่าบางเรื่องจะไม่ปราณีกับคนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องราวความขัดแย้งในตะวันออกกลางเท่าไหร่ แต่นี่คือซีรีส์ม้ามืดที่ไม่ควรพลาด
Overall
7.8/10User Review
( votes)Pros
- แอคชั่นดุดัน สมจริง
- กล้า และบ้าที่จะนำเสนอเรื่องราวความขัดแย้งของยิวและอาหรับ ในแบบที่ต้องพูดว่า โหดสั*
- ดำเนินเรื่องกระชับ ฉับไว
- นำเสนอดราม่า ของทั้งสองฝ่ายได้ดีเท่าๆ กัน ไม่มีฝั่งใดดีและเลวไปหมด
- จบในซีซั่น ไม่จบค้าง
Cons
- CG ในซีซั่นแรกยังดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่
- บางเรื่องไม่นำเสนอรายละเอียด จนไม่เข้าใจและไม่อินไปกับเรื่องเท่าที่ควร
Fauda ฟาวด้า ในภาษาอาราบิคแปลว่า Chaos หรือความโกลาหล นี่เป็นซีรีส์ Netflix จากอิสราเอลที่นำเสนอเรื่องราวของความขัดแย้ง การก่อการร้ายระหว่างปาเลสไตน์และอิสราเอลได้อย่างถึงพริกถึงขิง และทำให้เราได้เปิดโลกเห็นในสิ่งที่ซีรีส์ของอเมริกาไม่สามารถนำเสนอในแง่นี้ได้เลย
ตัวอย่าง Fauda ฟาวด้า Season 1
รีวิว Season 1
โดยปกติเราจะเห็นซีรีส์ หรือหนังที่เล่าเรื่องราวของตะวันออกกลางในแง่มุมของคนอเมริกัน แต่ซีรีส์เรื่องนี้คือการเปิดโลกและเข้าถึงว่าจริงๆ แล้ว ที่นั่นมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง และมันเล่าให้ดูสมจริงเสียจนน่ากลัวในบางเรื่องเลยล่ะ
เรื่องราวของซีซั่น 1 จะเป็นเรื่องราวของ โดรอน คาวิลิโอ อดีตนายทหารกลุ่มต่อต้านการก่อการร้ายที่เกษียณตัวเองไปใช้ชีวิตกับลูกๆ แต่เขาก็ได้ข่าวเกี่ยวกับผู้นำการก่อการร้ายตัวเป้งที่ชื่อว่า อาบู อาหมัด ฉายาเสือดำ ที่เขาได้สังหารไปก่อนเกษียณ ว่าเสือดำยังไม่ตาย โดรอนจึงกลับเข้ามาร่วมทีมและหาทางฆ่าเสือดำคนนี้อีกครั้งให้ได้ ก่อนที่ความขัดแย้งมันจะบานปลายจนกลายเป็นสงครามระหว่างประเทศ
ความน่าสนใจอย่างแรกของซีรีส์เนื่องนี้คือ ผู้สร้าง และนักแสดงพระเอกของเรา Lior Raz (รับบท โดรอน) เคยเป็นทหารสายลับและใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสงครามความขัดแย้งระหว่างชาวยิวกับชาวอาหรับจริงๆ จนผันตัวมาเป็นนักแสดง หลายๆ คน อาจจะคุ้นหน้าจากบทผู้ร้ายในเรื่อง 6 Underground ของทาง Netflix ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้การนำเสนอและบท ที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง มันสมจริงและเป็นการเปิดโลกทำให้เราได้เห็นสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในมุมมองของคนที่เคยสัมผัสมันมาจริงๆ แต่บางคนอาจจะไม่คุ้นชินที่พระเอกของเรื่องคือตาลุงหัวโล้นหุ่นหมี ที่ดูแล้วคาแรคเตอร์เขาน่าจะเหมาะกับตัวร้ายมากกว่า และตัวร้ายในเรื่องก็หน้าตาดีกว่า
ความน่าสนใจต่อมาคือการนำเสนอที่ดิบ และห่ามอย่างที่ซีรีส์ฝั่งอเมริกาไม่สามารถนำเสนอได้ ในการก่อการร้าย หรือฝ่ายทหารเองต้องการล้วงความลับจากอีกฝ่าย ก็จะมีการลักพาตัว หรือจับคนเป็นตัวประกัน ซึ่งฝ่ายพระเอกนั้นทำตัวไม่ต่างจากฝ่ายโจรเลย ทั้งจับผู้หญิงเป็นตัวประกัน แม้กระทั่งลักพาตัว “เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ” ผูกกับระเบิดเพื่อเค้นอีกฝ่าย เป็นอะไรที่บ้ามาก ต้องบอกว่า โหดสั* และเขากล้าที่จะนำเสนอมันเข้ามาในเรื่องให้เข้มข้นขึ้น มันเลยทำให้เนื้อเรื่องของฝั่งอิสราเอล และฝั่งปาเลสไตน์จะตีคู่กันมาเป็นสีเทาๆ ไม่ได้นำเสนอว่าฝ่ายใดฝ่ายนึงดีทั้งหมด หรือแย่ทั้งหมด (ไม่อวยประเทศใดประเทศหนึ่งเกินไป)
แต่ด้วยความเป็นหนังแอคชั่น เกี่ยวกับการปฏิบัติการ แต่เรากลับไม่ได้เห็นขั้นตอนการวางแผนในการทำงาน เพราะมันจะตัดไปตอนลงมือปฏิบัติจริงเลยทำให้ซีรีส์กระชับและเล่าเรื่องเป็นเส้นตรง ดำเนินเรื่องได้รวดเร็ว แต่ข้อเสียคือบางทีมันทำให้เราไม่ค่อยเข้าใจในสถานการณ์ที่ตัวละครต้องเผชิญเสียเท่าไหร่ แต่ฉากแอคชั่นในเรื่องจัดอยู่ในระดับที่ดีและรู้สึกสมจริง ไม่ลีลาเยอะ
อีกอย่างคือ ทั้งๆ ที่ในเรื่องมันนำเสนอเรื่องราวความขัดแย้งระหว่างชาวยิวกับชาวอาหรับ แต่มันลงรายละเอียดค่อนข้างน้อย ถึงน้อยมาก ไม่ปราณีกับคนดูต่างประเทศที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ในบ้านเขาเท่าไหร่เลย แต่เมื่อเราดูไปก็จะค่อยๆ เข้าใจเหตุการณ์มากขึ้น ทำให้บางคนที่ไม่เข้าใจ ก็จะไม่อินไปกับตัวเรื่องที่ซีรีส์นำเสนอ
สีสันอีกอย่างก็คือความดราม่า ของทั้งครอบครัวฝ่ายทหารชุดปฏิบัติการ กับเรื่องราวชีวิตของฝั่งผู้ก่อการร้าย ที่ทำไปเพื่ออุดมการณ์ เพื่อศาสนา เราคนเอเชียเห็นแล้วรู้สึกได้ว่า มันเป็นสิ่งที่แปลกใหม่และเปิดหูเปิดตา ทำให้เราเข้าใจความคิดของพวกเขามากขึ้น แม้ว่าดราม่าพวกนี้จะยืดเรื่องออกไปบ้าง แต่มันก็เชื่อมเข้ากับเรื่องหลักได้ค่อนข้างดี เลยไม่ได้รู้สึกว่ามันน่ารำคาญหรือยืดเยื้ออะไร แต่ก็ยังไม่เข้มข้นในระดับที่ทำให้เราอินไปกับตัวละครได้ ตอนจบก็มีหักมุมทำให้เราได้อึ้งบ้างเหมือนกัน
โดยรวมในซีซั่นแรกถือว่าเป็นซีรีส์แอคชั่น ดราม่าที่ดีเรื่องหนึ่ง ที่กล้าจะนำเสนอเรื่องราวการก่อการร้าย และความขัดแย้งในตะวันออกกลางแบบที่ทำให้เราเปิดมุมมองใหม่ๆ แม้บทมันจะดูดีและสมจริง แต่ขาดรายละเอียดที่ช่วยให้คนดูเข้าใจหลายช่วงไปหน่อย ทำให้เรายังไม่ค่อยอินไปกับตัวซีรีส์ แต่ในด้านความเป็นหนังแอคชั่นจัดอยู่ในระดับดี แม้ว่า CG จะดูเกรด B ไปหน่อยก็ตาม แต่นี่คือซีรีส์ที่ใครชอบแนวแอคชั่น ปฏิบัติการก็ไม่ควรพลาดที่จะหามาลองดู ความยาวซีซั่น 1 คือ 12 ตอน ตอนละประมาณ 30-40 นาที ที่สำคัญเลยก็คือ จบแบบไม่ค้างคา
ตัวอย่าง Fauda ฟาวด้า Season 2
รีวิว Season 2
กลับมาอีกครั้ง กับโดรอน คาวิลิโอ และชุดปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้าย ที่ในครั้งนี้ได้มีอาชญากรตัวฉกาจคนใหม่ที่จะมาสร้างความปั่นป่วนระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อีกครั้ง นั่นก็คือ อัลมักดาซี ผู้เชี่ยวชาญด้านระเบิดที่ถูกฝึกจากกลุ่มไอซิส เขากลับมายังปาเลสไตน์เพื่อที่จะแก้แค้นให้พ่อของเขาที่ถูกโดรอนฆ่าในซีซั่นที่แล้ว
ในซีซั่นที่ 2 สิ่งที่เห็นได้ชัดคือการเพิ่มความดราม่ามากยิ่งขึ้นในเรื่องการเมือง และความขัดแย้งของทั้งสองประเทศที่มากกว่าภาคที่แล้ว แถมยังนำเสนอเรื่องราวดราม่าที่เข้มข้นขึ้น จนนำไปสู่จุดจบของเรื่องที่มีแต่ความสูญเสียกันทั้งสองฝ่าย
ข้อเสียในซีซั่นที่แล้วอย่างเรื่องราวรายละเอียดระหว่างประเทศ ความขัดแย้ง ได้ถูกเล่าเพิ่มเติมทำให้คนดูเข้าใจได้มากขึ้น เช่นเรื่องราวการเมืองเกี่ยวกับกลุ่มต่างๆ ฮามาส ไอซิส ฯลฯ ก็ทำให้เข้าใจได้ง่ายมากขึ้น แต่มันก็เหมือนเป็นดาบสองคมที่บางทีมันทำให้เรื่องดูแบนเกินไป พวก CG ในเรื่องก็ถูกทำให้ดูดีขึ้นกว่าภาคก่อนและไม่ดูเป็นซีรีส์เกรดบีอีกแล้ว ด้านแอคชั่นก็ยังทำได้ดูดีตามมาตรฐาน คงเป็นเพราะทุนสร้างที่สูงขึ้นที่ได้จาก Netflix
การนำเสนอเรื่องความขัดแย้งระหว่างสองประเทศที่ห้ำหั่นกันตลอดเวลาแบบนี้ เราไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่ามันจะจบลงได้ง่ายๆ เพียงใด ทำให้เราไม่สามารถเดาตอนต่อๆ ไปของเรื่องและการกระทำของตัวละครได้ ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกลุ้นตามตัวละคร ที่ได้รับผลกระทบกันจากความขัดแย้งทั้งสองฝั่ง ซึ่งแต่ละฝ่ายก็ได้แต่แก้แค้นกันไปมา ซึ่งการแก้แค้นมันก็จบไม่เคยจะสวยเอาเลย
ทางด้านเนื้อเรื่องของทีมปฏิบัติการในภาคนี้ กลุ่มของพระเอกรู้สึกว่ามีเนื้อเรื่องที่โดดเด่นขึ้นในแต่ละคน ซึ่งภาคก่อนเราจะเห็นว่าแต่ละคนบทก็จะจางๆ เป็นตัวประกอบธรรมดาๆ มีพระเอกที่พอจะเด่นขึ้นมาหน่อย แต่บทมันค่อนข้างเฉลี่ยกันได้ดี ในภาคนี้เลยมีดราม่าระหว่างผองเพื่อนเข้ามาทำให้โดรอนและเพื่อนๆ รวมถึงครอบครัวของแต่ละคนมีซีนดราม่าเป็นสีสันเพิ่มเติม ข้อดีของมันก็คือ ทำให้เรารู้จักแต่ละตัวละครได้ดียิ่งขึ้นไม่เหมือนภาคแรก
แม้ว่ามันจะคงความสมจริง แต่บางเรื่องในบทก็ยังมีความเป็นซีรีส์อยู่บ้าง ดูอะไรๆ มันลงล็อคง่ายเกินไป ทั้งการที่ลูกชายของนักการเมืองปาเลสไตน์เป็น 1 ในกลุ่มผู้ก่อการร้าย หรือด้านความสัมพันธ์ของโดรอนและชิริน คุณหมอที่แต่งงานกับวาลิด หัวหน้ากลุ่มก่อการร้าย ก็ไม่ได้แย่อะไรมาก แต่ดราม่าที่เพิ่มเข้ามาก็เป็นการที่กลุ่มไอซิส เข้ามามีบทบาทในการลงมือก่อการร้าย ทำให้เราเห็นว่าแม้แต่พวกชาวมุสลิม อาหรับกลุ่มอื่นๆ ด้วยกันเองยังไม่ชอบวิธีการ และประนามกลุ่มการกระทำของกลุ่มไอซิสนี้ด้วย
ในการดำเนินเรื่องของซีซั่นที่ 2 จะยังคงตอนจบไว้แบบซีซั่นแรก ที่ไม่มีความค้างคาใดๆ จบในซีซั่นเลย ถือว่าเป็นข้อดีมากสำหรับซีรีส์ Netflix ที่ปัจจุบันหลายๆ เรื่อง เลือกที่จะจบแบบค้างเติ่ง รอลุ้นซีซั่นถัดไป ในซีซั่นนี้ได้เพิ่มความยาวแต่ละตอนมาเป็น เฉลี่ยตอนละ 40 นาที มีทั้งหมด 12 ตอนเหมือนซีซั่นแรก
ซีรีส์แอคชั่นเรื่องนี้ยังคงเป็นม้ามืดที่หลายๆ คนยังไม่รู้จัก ซึ่งยังคงความเข้มข้น ดราม่า แอคชั่น และการนำเสนอมุมมองความขัดแย้งของชาวยิวและชาวอาหรับได้อย่างเข้าถึง ซึ่ง ณ ตอนนี้ ยังไม่มีซีรีส์หรือภาพยนต์เรื่องไหนนำเสนอได้อย่างเรื่องนี้เลย เป็นอีก 1 เรื่องที่ทำให้เปิดหูเปิดตาดูได้อย่างเข้าถึงในเรื่องราวของความขัดแย้งในตะวันออกกลางได้จริงๆ
ตัวอย่าง Fauda ฟาวด้า Season 3
รีวิว Season 3
ยิ่งทำยิ่งดีขึ้นจริงๆ สำหรับซีรีส์เรื่องนี้ โดยเนื้อเรื่องใน Season 3 ได้กลับมาตามติดการปฏิบัติภารกิจของ โดรอน คาวิลิโอ และทีมชุดต่อต้านการก่อการร้าย ที่ครั้งที่พวกเขาจะต้องรับมือกับศึกหนักในหลายๆ ด้าน
หลังจากที่โดรอนพบกับความสูญเสียในภาคที่แล้ว มาภาคนี้เขาได้ตัดสินใจลงไปแฝงตัวอยู่ในปาเลสไตน์กับครอบครัวที่มีความเกี่ยวพันกับการปฏิวัติและการก่อการร้าย โดยเขาได้ไปแฝงตัวในชื่อ อาบู ฟาดี เป็นโค้ชให้กับเด็กหนุ่มที่ชื่อ บาชาร์ ลูกชายของผู้นำกลุ่มในอดีตที่กำลังจะออกจากคุก และเป็นลูกพี่ลูกน้องของ ฟอซี หัวหน้ากลุ่มก่อการร้าย
ส่วนอีกด้าน ทางฝั่งของปาเลสไตน์ ก็ได้ส่งหน่วยทหารคอมมานโดที่มุดอุโมงข้ามพรมแดน เข้ามาแฝงตัวปฏิบัติภารกิจหวังสังหารผู้นำของทางอิสราเอล ซึ่งเป็นคนของหัวหน้ากลุ่มอีกกลุ่มนั่นก็คือ อาบู โมฮัมเหม็ด ทำให้ในภาคนี้มีเส้นเรื่องที่ถูกเล่าพร้อมๆ กันหลายทาง และเพิ่มมิติให้กับตัวเรื่องอย่างที่ 2 ภาคแรกไม่เคยทำมาก่อน
เนื้อเรื่องยิ่งซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อนักการเมืองของกลุ่มฮามาส (กลุ่มการเมืองในปาเลสไตน์) เข้ามามีเอี่ยวด้วยจนกลายเป็นการลักพาตัวคนของอิสราเอล ทำให้ความขัดแย้งของสองประเทศยิ่งปะทุ จนทีมของโดรอนและทีมต้องเข้าไปปฏิบัติภารกิจเสี่ยงตายท่ามกลางฉนวนกาซาในปาเลสไตน์ เพื่อช่วยตัวประกันออกมา ทำให้ภาคนี้เนื้อเรื่องที่นอกจากจะเน้นในด้านการปฏิบัติภารกิจ ก็ยังเจาะไปยังเรื่องการเมืองของทั้งสองกลุ่มประเทศ ทั้งฮามาสและไซโอนิสอีกด้วย ทำให้เราเข้าใจความต้องการของแต่ละกลุ่มว่า พวกเขาต้องการอะไร และทำไมถึงต้องลงมือกระทำสงครามขนาดย่อมๆ นี้
Season 3 นี้การันตีความมันส์ และจัดเต็มฉากแอคชั่นที่มากขึ้นกว่าภาคก่อนๆ เอฟเฟ็กต์ระเบิดตูมตาม พร้อมทั้งฉากกดดันที่ทำให้เราลุ้นไปกับตัวละครในแบบที่รู้สึกใจเต้นตุบๆ ไปกับสถานการณ์ตึงเครียดภายในเรื่อง ซึ่งในภาคนี้ได้แก้ในเรื่องของการปฏิบัติภารกิจ ทำให้เราเห็นขั้นตอนวางแผน การตัดสินใจต่างๆ ของเจ้าหน้าที่และอินไปกับมันได้อย่างไม่ยาก ต่างจากภาคก่อนที่ตัดไปขั้นตอนลงมือปฏิบัติ ซึ่งตรงนี้มันได้เพิ่มความกดดันให้และเข้มข้นให้กับเนื้อเรื่องได้มากจริงๆ
ต่อมาคือ การลดส่วนดราม่าระหว่างทีม และครอบครัวของฝั่งผู้ก่อการร้ายและฝั่งพระเอกลง ซึ่งเป็นเรื่องดีเพราะเขาจะไปโฟกัสกับการปฏิบัติภารกิจต่างๆ มากขึ้น ทั้งการแฝงตัว การสืบหาทางลับ และความกดดันในการเจรจาเพื่อแลกตัวประกัน แต่ดราม่าในตัวละครแต่ละตัวก็ยังคงมีอยู่ ซึ่งก็เป็นสีสันให้กับเรื่อง และดูไม่ยืดเยื้อ แถมซีนดราม่านี่ต้องบอกเลยว่าถ้าใครอินกับเรื่องมิตรภาพของทหาร อาจจะมีเสียน้ำตาแน่ๆ
แต่ในเรื่องความเรียลและความดิบที่เป็นเอกลักษณ์มาตั้งแต่ซีซั่นแรก พอมาภาคที่ 3 รู้สึกว่ามันได้ลดทอนตรงนี้ลงไปนิดนึง และรู้สึกว่าเป็นพล็อตโฮลบ้าง เช่นการตัดสินใจของโดรอนในการทำบางอย่างที่ดูแล้ว เอ็งจะบ้าไปไหน หรือการที่ฝั่งตัวร้ายถูกบุกถล่มง่ายเกินไปในบางตอน แต่มันก็ถูกแทนมาด้วยฉากแอคชั่นมันส์ๆ แทน ซึ่งเราก็ไม่ได้ติดใจอะไรตรงนี้ ถือว่าเป็นเรื่องดี ทำให้ดูสนุกขึ้นกว่าภาคแรกๆ
อีกอย่างที่ต้องขอชมเลยคือการ Develop ตัวละคร หรือการพัฒนาตัวละครฝั่งตัวร้ายอย่าง บาชาร์ เด็กหนุ่มในครอบครัวที่พ่อเป็นอดีตหัวหน้ากลุ่ม กับลูกพี่ลูกน้องที่เป็นผู้ก่อการร้าย ซึ่งตัวบาชาร์เองก็เป็นนักมวยที่ดูดี มีอนาคต แต่ต้องมาเจอกับเหตุการณ์ต่างๆ จนทำให้เขากลายเป็น 1 ในผู้สมรู้ร่วมคิดของการก่อการร้ายระดับประเทศ และนำไปสู่จุดจบของภาคนี้ที่มันชวนบีบหัวใจ ยังคงเป็นจุดจบที่มีแต่การสูญเสียของทั้งสองฝ่ายอย่างที่เป็นมาทุกภาค และภาคนี้องค์ประกอบโดยรวมคือ อัพเกรดขึ้นมาจนเป็นซีรีส์แอคชั่นปฏิบัติการระดับ AAA ได้อย่างไร้ข้อกังขา
ฟาวด้า Fauda ยังคงเป็นซีรีส์แอคชั่นดราม่าที่ยังคงเอกลักษณ์ไว้ได้อย่างดี แม้จะมีลดทอนบางส่วนของภาคเก่าๆ ออก แต่แทนที่ด้วยแอคชั่นการไล่ล่ามันส์ๆ ทำให้มันยิ่งสนุกขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ ภาคที่ทำออกมา และต้องรอลุ้นว่า ภาค 4 เนื้อเรื่องมันจะไปในทิศทางไหน เพราะมันก็จบในซีซั่น ไม่ได้ทำให้ค้างคาเลย แต่จำนวนความยาวต่อนาทีของภาคนี้ เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 45 นาที เยอะกว่าภาค 2 ประมาณ 5 นาที และยังคงมี 12 ตอนเหมือนเดิม
รับชม ฟาวด้า ได้ทั้ง 3 ซีซั่นทาง Netflix แล้ววันนี้
อ่านรีวิวอื่นๆ ได้ที่นี่