รีวิว I Am Not Okay With This วัยรุ่นเจ้าปัญหากับพลังที่รอเวลาระเบิด
I Am Not Okay With This
สรุป
ซีรีส์แนวชีวิตวัยรุ่นผสมผสานกับความแฟนตาซีที่มีความโหดเล็กๆ ทำให้พล็อตเรื่องดูน่าสนใจ แต่ไม่สามารถไปได้สุดทั้งพาร์ทของชีวิตวัยรุ่นและพลังวิเศษ แต่ก็สามารถดูเพลินๆ สนุก น่าติดตาม แถมยังมีกลิ่นอายของซีรีส์อย่าง The End of F***ing World ไว้ ถ้าหากใครชอบแนวนี้ก็แนะนำเลย
Overall
7.5/10User Review
( votes)Pros
- พล็อตเรื่องน่าสนใจ
- ตัวละครแปลกๆ แต่มีเสน่ห์
- เอฟเฟคโชว์พลังพิเศษได้ดีมาก
- ใช้เวลาในการดูไม่นาน (ตอนละ 20 นาที)
Cons
- เนื้อเรื่องรวมๆ กันทั้งวัยรุ่นและพลังพิเศษแนวซุปเปอฮีโร่ แต่ยังไปได้ไม่สุดสักทาง
- เรื่องราวยังทำให้เรา ไม่ค่อยอินไปกับมันมากเท่าที่ควร
- กั๊กอะไรๆ ไว้หลายอย่าง เหมือนปูบทเพื่อซีซั่นต่อไป
- จบแบบค้างเติ่ง
I Am Not Okay with This เรื่องราวของซิดนีย์ วัยรุ่นที่ก้าวเข้าสู่ช่วงที่มีปัญหามากมายของชีวิต ทั้งเรื่องครอบครัวและเรื่องอารมณ์ แถมยังพ่วงด้วยเรื่องความสัมพันธ์ แต่มันจะยิ่งซับซ้อนขึ้นเมื่อเธอพบว่าเธอมีพลังลึกลับในตัวที่รอวันระเบิดออกมา
ตัวอย่าง I Am Not Okay with This ไอ แอม น็อท โอเค วิท ดิส
ไอ แอม น็อท โอเค วิท ดิส ซีรีส์ Original จาก Netflix ที่ดัดแปลงมาจากคอมมิคในชื่อเดียวกัน แถมยังเป็นของคนเขียนเรื่องเดียวกับ The End of The F***ing World จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ทั้งผู้กำกับจะมาจากซีรีส์เดียวกัน แถมพ่วงผู้สร้างจากซีรีส์สุดฮิตอย่าง Stranger Things มาช่วยกำกับอีกด้วย ในเรื่องนี้จึงมีกลิ่นอายของ TEOFW ค่อนข้างมาก ทั้งโทนภาพ การดำเนินเรื่อง เรื่องราวของวัยรุ่น รวมถึงเพลงประกอบที่เป็นเพลงแนวโฟลคซอง คันทรี่ เสียงกีต้าแต๋วแหน่วเป็นเอกลักษณ์ประกอบฉาก
รีวิว I Am Not Okay with This แล้วมันโอเคที่จะดูไหม?
ต้องขอบอกเลยว่าซีรีส์เรื่องนี้ ค่อนข้างจะเป็นการปูทาง โยนหินถามทางชิมลางเพื่อเก็บข้อมูลตามสไตล์ Netflix ว่า ซีรีส์แนวนี้มันดีไหม คนนิยมหรือเปล่า ถ้าดีก็ทำต่อ ทำให้อะไรๆ ที่ออกมา มันเลยยังดูกั๊กๆ ไว้ และยังไม่สุดสักทาง ต้องทำใจไว้ก่อนดูเลยล่ะ
ในตัวเรื่องราวจะค่อยๆ เล่าถึงซิดนีย์ (แสดงโดย Sophia Lillis นักแสดงจากเรื่อง IT) ว่าเธอเป็นอะไร ยังไงบ้างที่โรงเรียน ซึ่งเธอเองก็เป็นคนที่เงียบๆ มีเพื่อนไม่มาก ไม่ได้เป็นจุดเด่นอะไรที่โรงเรียน แต่เธอมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่ชื่อว่า ดีน่า ซึ่งเข้ากับเธอได้ทุกเรื่อง รวมถึงยังคอยอยู่ข้างๆ ซิดนีย์ในตอนที่เธอศูนย์เสียคุณพ่อไปด้วย ทำให้ดีน่ากลายเป็นคนสำคัญมากของเธอ
ตัดภาพมาที่ด้านครอบครัว เธอค่อนข้างที่จะเข้ากันไม่ได้กับแม่หลังจากที่พ่อของเธอฆ่าตัวตาย แต่เธอก็สนิทกับน้องชายของเธอดี แต่เมื่อปัญหา ทั้งที่บ้านที่เธอทะเลาะกับแม่ และเพื่อนสนิทของเธอที่กำลังไปมีแฟนใหม่ เป็นไอ้หนุ่มสุดฮอตในโรงเรียน (ตามสไตล์อเมริกันไฮสคูลที่จะเป็นคนที่น่าหมั่นไส้มากๆ) นั่นจึงทำให้โทสะในตัวของเธอมันเดือดปุดๆ เสียจนอยากจะระเบิดมันออกมา ซึ่งมันก็ระเบิดออกมาจริงๆ ในเมื่อข้าวของต่างๆ รอบตัวของเธอเริ่มพังครืนลงมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทำให้เธอต้องหาเหตุผลว่า เธอเป็นอะไรกันแน่ ทำไมถึงมีพลังนี้ และต้องคอยจัดการกับอารมณ์ตัวเองไม่ให้โกรธกับสิ่งต่างๆ รอบตัว เพราะไม่เช่นนั้นพลังของเธออาจจะระเบิดออกมาจนทำให้เกิดความเสียหายอย่างมาก
ซีรีส์เรื่องนี้เอาตรงๆ มันคือแนว Coming Of Age ที่เล่าถึงช่วงเวลาแย่ๆ ในชีวิตวัยรุ่น มากกว่าที่จะเป็นแนวพลังวิเศษ หรือซุปเปอฮีโร่ ซึ่งพอมันนำพล็อตเรื่องของทั้งสองอย่างมารวมกัน กลายเป็นว่ามันน่าสนใจมาก ทำให้เราได้ลุ้นและรอเฉลยเกี่ยวกับพลังของเธอ และสนุกไปกับชีวิตในรั้วโรงเรียนไฮสคูลที่มีทั้งดีและแย่ไปได้ แต่ด้วยความที่มันผสมผสานกัน จนทำให้มันไม่สุดไปทางใดทางหนึ่ง อย่างเช่นประเด็นเรื่องเพื่อน ความชอบหรือเรื่อง Sex ในเรื่อง ก็คงเทียบกับแนวเดียวกันอย่างเรื่อง Sex Education คงไม่ได้ หรือในพาร์ทพลังพิเศษ มันก็ไม่ได้แสดงออกมาเยอะหรือปล่อยพลังตูมตามขนาดนั้น แต่ทุกครั้งๆ ที่มีฉากปล่อยพลัง เอฟเฟคขอบอกเลยว่าทำดีมากเลยล่ะ (การันตีจากผู้สร้าง Stranger Things)
เนื่องจากมันเป็นการผสมเรื่องนั้นนี้เข้าด้วยกัน มันเลยทำให้มีความ Weird ความแปลก ในแบบฉบับของ TEOFW ติดมาด้วย เช่นตัวละครที่เป็นเพื่อนข้างบ้านของนางเอก สแตน เด็กหนุ่มแปลกๆ ที่ขับรถห่วยๆ แถมชอบปรากฏตัวด้วยการเลื่อนกระจกรถยนต์ที่โคตรช้า มันเลยเป็นมุกชวนขำที่ใส่มาแล้วรู้ได้เลยว่า เออ มันเป็นแนวนี้ว่ะ อะไรแบบนั้น แต่มิติของตัวละครก็ใน I Am Not Okay with This ก็ยังไม่ค่อยลึกเท่าไหร่ ทำให้หลายๆ พาร์ท ยังรู้สึก “ไม่อิน” ไปกับตัวเรื่อง
แต่ในเรื่องที่ชวนให้ลุ้น ให้ตื่นเต้นตลอดก็คือ เรื่องราวของพลังของซิดนีย์ ที่จะระเบิดออกมาเมื่อเธอโกรธ และเธอก็หาทางระงับความโกรธและพลังไม่ให้มันก่อความเสียหาย และในส่วนของการตามหาความจริงเกี่ยวกับพลังของเธอที่จะเชื่อมไปยังเรื่องราวของพ่อเธอในอดีต และยังแอบใส่บุคลปริศนาที่ยิ่งทำให้เรื่องราวมันน่าลุ้น และอยากรู้มากขึ้นไปอีก แต่สุดท้าย คือ จบ
จบที่ผมหมายถึงคือ พอทุกอย่างมันกำลังจะสุด แต่ซีรีส์ก็ดันจบซะแล้ว ด้วยเวลาต่อตอนประมาณ 20 นาที บวกกันมีเพียง 8 ตอน ทำให้ใช้เวลาดูเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็จบได้ และมันจบแบบค้างเติ่งอย่างมาก ซึ่งเป็นข้อเสียหลักของเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ เป็นที่น่าเสียดายที่ Netflix เลือกที่จะทำแบบนี้แทนที่จะทำเป็นซีรีส์ยาว ซึ่งหลังๆ มีหลายเรื่องของ Netflix ที่เป็นแบบนี้ คือทำซีรีส์มาให้คนอยากดู ทดลองทำนั่นนี่ ถ้าดีก็ทำต่อ ไม่ดีก็ตัดจบไปเลย น่าเสียดายจริงๆ
โดยรวมแล้วก็ถือว่าเป็นซีรีส์ที่โอเค ในการนำพล็อตเรื่องของวัยรุ่น (ที่เห็นได้ทั่วไปในซีรีส์สมัยนี้) มาบวกกับพลังพิเศษที่ทำให้เรื่องมันดูน่าสนใจ (เรื่องนี้เรตผู้ชมคือ 18+ ซึ่งมีฉากเลือดสาด เฉพาะตอนท้ายเรื่องเท่านั้น ไม่ได้มีเยอะ) โดยรวมแล้วก็ดูเพลินและน่าติดตาม ติดอยู่อย่างเดียวตรงที่ตอนมันสั้นเกินไป และการจบแบบค้างเติ่งให้รอลุ้นในซีซั่นต่อไป ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ ไปได้ไม่ค่อยสุดทางไหนสักทาง แต่ถ้าหากใครชอบกลิ่นอายของซีรีส์อย่าง The End of The F***ing World บวกกับความแฟนตาซีนิดๆ (โดยส่วนตัวอยากให้มี Easter Egg ที่สองเรื่องนี้เชื่อมมาก) ก็ขอแนะนำเรื่องนี้เลย I Am Not Okay With This ซึ่งจะมี Season 2 แน่ๆ ถ้าหากมีข่าวทางเราจะอัพเดทให้ได้อ่านกันครับ
สามารถรับชมเรื่องนี้ได้ทาง Netflix แล้ววันนี้
อ่านบทความรีวิวอื่นๆ คลิกที่นี่