playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Katla (Netflix) อาถรรพ์เยือกแข็ง ปริศนาภูเขาไฟโคลนนิ่งคน

สรุป

ซีรีส์เรื่องนี้ ได้นำหลายๆ อย่าง มาผสมเข้าด้วยกัน แต่เน้นหนักไปที่การนำเสนอด้านดราม่า มากกว่าความ mystery sci-fi แถมยังดำเนินเรื่องช้ามากในแต่ละตอน กว่า40 นาที และมีถึง 8 ตอน ถ้าลดเวลาของซีรีส์ให้เหลือสัก 4 ตอน ก็อาจจะได้เรื่องราวที่น่าติดตามและกระชับกว่านี้ เพราะบรรยากาศต่างๆ ความลึกลับ เซ็ตอัพโดยรวม และปริศนาของเรื่องมันน่าสนใจมากจริงๆ ตอนเฉลยปมก็อิมแพค หักมุมก็เซอร์ไพรส์ ถ้าใครที่ชอบดูอะไรที่ค่อยเป็นค่อยไป ก็ไม่เสียหายที่จะหยิบเรื่องนี้มาดู แต่ถ้าไม่ชอบความยืดยาดของการดำเนินเรื่องแล้วล่ะก็ เรื่องนี้อาจจะไม่ค่อยเหมาะสำหรับคุณ

Overall
6.5/10
6.5/10
Sending
User Review
4 (2 votes)

Pros

  • งานภาพสวย โปรดักชั่นดีมาก
  • ธีมเรื่องและปมปริศนาน่าสนใจ
  • มีจุดพีค และจุดหักมุมเซอรไพรส์คนดู

Cons

  • ดำเนินเรื่องช้าอย่างมาก
  • เน้นด้านดราม่าของตัวละคร มากกว่าปริศนาความลึกลับไซไฟ

ADBRO

Katla อาถรรพ์เยือกแข็ง ซีรีส์ Original Netflix จาก Iceland กับเรื่องราวแนวลึกลับ ไซไฟ เมื่อภูเขาไฟคัตลา ได้ปะทุขึ้นมาเมื่อหนึ่งปีก่อน แต่ยังมีผู้คนบางกลุ่ม อาศัยอยู่ในเมืองที่ได้รับผลกระทบ แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น เมื่อมีผู้หญิงคนหนึ่ง โผล่ขึ้นมาจากธารน้ำแข็งของภูเขาไฟ เธอคือใคร แล้วมาเพื่ออะไรกันแน่

 Katla (2021) on IMDb

ตัวอย่าง Katla

รีวิว Katla อาถรรพ์เยือกแข็ง 

ขอเตือนไว้ก่อนเลยว่า ถ้าคุณไม่ใช่ผู้ชมสายดูเพลินๆ ค่อยๆ ซึมซับเรื่องราวแล้วล่ะก็ เรื่องนี้ไม่เหมาะกับคุณอย่างแรง เพราะซีรีส์เรื่องนี้ดำเนินเรื่องช้ามาก ช้าชนิดที่ว่าเนื้อหาหลัก และบทสนทนาในเรื่อง “เกือบ” จะวนอยู่ในอ่าง แต่เรื่องนี้ก็ยังมีความน่าสนใจอื่นๆ ที่คอยรั้งให้เราติดตามดูต่อจนจบ

เรื่องราวจะเป็นประเภท What If โดยเซ็ตอัพว่า ภูเขาไฟคัตลา ที่มีอยู่จริงๆ บนโลก และยังคุกรุ่นอยู่ตลอด 103 ปี ที่ผ่านมา เกิดปะทุรุนแรงขึ้น จะเป็นอย่างไร

เนื่องจากเหตุการณ์ภูเขาไฟที่ปะทุอย่างรุนแรง ทำให้หมู่บ้านในบริเวณนั้น ถูกปมคลุมไปด้วยเถ้าถ่าน หลายส่วนย้ายออกไป แต่บางส่วน ก็ยังคงอาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่ชื่อว่า วิค โดยจะมีตัวละครในหมู่บ้านหลายคน ด้วยการที่เป็นชุมชนเล็กๆ เราเลยสามารถจำตัวละครทั้งหมดได้ไม่ยากเลย แต่ละคนก็มีบทบาท หน้าที่ และปมปัญหาแตกต่างกันไป

เรื่องราวมันเริ่มลึกลับขึ้น เมื่อมีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อว่า กุนฮิลด์ เหมือนจะโผล่ขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย มาในสภาพที่เนื้อตัวเปื้อนไปด้วยดินโคลนจากภูเขาไฟ ยิ่งสืบไปยิ่งพบว่า เธอคือคนที่เคยอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านนี้เมื่อ 20 ปีก่อน แต่กลับกัน กุนฮิลด์ ก็มีอีกตัวตนที่มีลูกชาย และใช้ชีวิตอาศัยอยู่ข้างนอกหมู่บ้าน สรุปแล้ว เธอคือใคร และมาเพื่ออะไร เรื่องราวยิ่งซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีอีกหลายคนที่โผล่จากธารน้ำแข็งภูเขาไฟ ทั้งที่น่าจะตายไปแล้ว หรือมีชีวิตอยู่ จนกลายเป็นเรื่องราวดราม่าชวนอึดอัดที่ทำให้ผู้ชมอยากรู้คำตอบว่า แท้จริงแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

บอกตามตรงว่าพล็อตเรื่องของซีรีส์ ยิ่งดูไป จะยิ่งได้กลิ่นอายงานของสตีเฟนคิง แนวลึกลับไซไฟ ที่จะนำเสนอเกี่ยวกับจิตใจของคน มากกว่าที่จะนำเสนอถึงความลึกลับทางวิทยาศาสตร์ สิ่งที่หาคำตอบไม่ได้ หรือสิ่งที่เกี่ยวกับนอกโลก

ซีรีส์จะค่อยๆ นำเสนอเรื่องราว ความเป็นอยู่ของผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณใต้ภูเขาไฟ พวกฉากต่างๆ และเซ็ตอัพ ทั้งเมืองและสิ่งก่อสร้างที่ถูกปกคลุมไปด้วยเถ้าถ่านภูเขาไฟ ทำออกมาได้ดีมาก หรือฉากแนว Landscape ก็สมจริง เรียกได้ว่าโปรดักชั่นสูงมาก งานภาพสวย จำลองสภาพภูมิอากาศได้ดี แล้วจะค่อยๆ นำเราเข้าไปสู่ปริศนาที่ลึกลับของเรื่องที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกสงสัย และลุ้นว่าคำตอบมันจะออกมาเป็นอย่างไร

มันจะค่อยๆ โยนปมปริศนา คำถามต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องราว ความเป็นมาของแต่ละตัวละคร ทั้งดราม่าส่วนตัวที่มันจะเชื่อมไปยังเหตุผลที่ว่า ทำไมถึงมีคนโผล่มาจากภูเขาไฟได้ เหมือนเป็นร่างโคลนนิ่งในอดีต หรือเรื่องราวอื่นๆ เกี่ยวกับตำนานที่เล่าขานต่อกันมาเป็นร้อยปีเกี่ยวกับภูเขาไฟ ว่ามีลูกปีศาจเกิดขึ้นมา ก็ยิ่งทำให้เรื่องราวมันน่าติดตามมากขึ้น แต่อย่างที่บอก การดำเนินเรื่องของซีรีส์เรื่องนี้ มันช้าจนชวนง่วงได้จริงๆ แถมปมต่างๆ ที่ได้ปูทิ้งไว้ กลับไม่ได้รับการเฉลยให้เห็นชัดๆ เหมือนเป็นปลายเปิดให้ผู้ชมคิดต่อเสียอีก

ข้อเสียหลักๆ เลยนอกจากการดำเนินเรื่องช้า ก็คือเหล่าบทสนทนาที่มันยืดยาด ไม่น่าสนใจ เนื้อหาหลักในแต่ละตอนมันขยับไปน้อยนิด แต่พอถึงจุดที่มันค่อยๆ เฉลยปม หรือจุดพีคของเรื่องก็กลับมาทำได้ดี หรือจุดหักมุมก็ทำให้เซอร์ไพรส์คนดู ถ้าหากว่ามันเน้นนำเสนอเรื่องราวให้กระชับกว่านี้ แทนที่จะไปเน้นงานภาพ มันอาจจะกลายเป็นซีรีส์เรื่องเยี่ยมที่น่าติดตามเลยทีเดียว

สิ่งที่ทำได้ดีอีกอย่างก็คือเรื่องราว เกี่ยวกับอารมณ์ ความรู้สึก ก็ถ่ายทอดออกมาได้หนักหน่วง เหมือนกับตั้งคำถามให้ทั้งตัวละครในเรื่องกับผู้ชมด้วยว่า ถ้าเราเจอสถานการณ์แบบนี้ จะทำอย่างไร และมีฉากหลายฉากค่อนข้างรุนแรง ทั้งทารุณเด็ก หรือฆ่าตัวตาย ฉากพวกนี้ก็นำเสนอออกมาได้อึดอัดและหายใจไม่ทั่วท้อง

Katla Grimaมันเหมือนกับว่าซีรีส์เรื่องนี้ ได้นำหลายๆ อย่าง มาผสมเข้าด้วยกัน แต่เน้นหนักไปที่การนำเสนอด้านดราม่า มากกว่าความ mystery sci-fi แถมยังดำเนินเรื่องช้ามากในแต่ละตอน กว่า40 นาที และมีถึง 8 ตอน ถ้าลดเวลาของซีรีส์ให้เหลือสัก 4 ตอน ก็อาจจะได้เรื่องราวที่น่าติดตามและกระชับกว่านี้ เพราะบรรยากาศต่างๆ ความลึกลับ เซ็ตอัพโดยรวม และปริศนาของเรื่องมันน่าสนใจมากจริงๆ ตอนเฉลยปมก็อิมแพค หักมุมก็เซอร์ไพรส์ ถ้าใครที่ชอบดูอะไรที่ค่อยเป็นค่อยไป ก็ไม่เสียหายที่จะหยิบเรื่องนี้มาดู แต่ถ้าไม่ชอบความยืดยาดของการดำเนินเรื่องแล้วล่ะก็ เรื่องนี้อาจจะไม่ค่อยเหมาะสำหรับคุณ

รับชม Katla คัตลา อาถรรพ์เยือกแข็ง ได้ทาง Netflix แล้ววันนี้

อ่านรีวิวหนัง/ซีรีส์เรื่องอื่น ได้ที่นี่

 

 

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!