รีวิว Ozark Season 4 Part 2 ปิดฉากของสุดยอดซีรีส์แห่งยุค (ไม่มีสปอยล์)
Ozark Season 4 Part 2
สรุป
บทสรุปทั้งหมดของเรื่องราวนั้น ต้องบอกได้เลยว่าครบทุกรสชาติ เข้มข้นทุกตอน บทพูกเฉียบคมทุกครั้งที่ตัวละครเปิดปากคุยกัน ยกให้เป็นหนึ่งในซีรีส์ที่ดีที่สุดในยุคนี้ไม่ถือว่าเกินไปเลย เพราะมันดีมากจริงๆ แม้มันอาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบในตอนจบ แต่มันทำให้เราฉุกคิดถึงความเรียลเสียจนรู้สึกขนลุกในจุดนี้เลย
Overall
10/10User Review
( votes)Pros
- เรื่องราวเข้มข้น คาดเดาไม่ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
- การพัฒนาตัวละครน่าสนใจ
- หักเหลี่ยมเฉือนคม แก้เกมกันไปมา
- ไม่ดราม่าพร่ำเพรื่อ
Cons
- ไม่ได้เหมาะกับผู้ชมทุกประเภท
Ozark Season 4 Part 2 ครึ่งหลังของซีรีส์สุดเข้มข้นที่ดำเนินมายาวกว่า 5 ปี 4 ซีซั่น ได้ปิดม่านลงแล้ว กับความเข้มข้น ลุ้นระทึก กดดัน คาดเดาไม่ได้ และการันตีได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสุดยอดผลงานบน Netflix ที่ควรจะดูให้ได้จริงๆ ถ้าชอบแนวนี้
ตัวอย่าง Ozark Season 4 Part 2
รีวิว Ozark Season 4 Part 2
จากจุดเล็กๆ จนบานปลาย ขยายเรื่องราวต่อยอดจากครอบครัวเบิร์ด ที่ต้องฟอกเงินให้แก๊งค์ค้ายาและหาทางเอาตัวเองออกมา กับการดิ้นรนของคนในชุมชนและตระกูลแลงมัวร์ ค่อนข้างน่าใจหายเหมือนกันที่การเดินทางของทุกตัวละครในซีรีส์เรื่องเยี่ยมนี้ได้มาถึงจุดสิ้นสุดของมันแล้ว
แรกเริ่มเดิมทีซีรีส์เรื่องนี้ถูกนำมาเปรียบเทียบกับซีรีส์ขึ้นหิ้งอย่าง Breaking Bad ว่าจะเป็นยังไง ดีกว่าหรือห่วยกว่า เพราะว่าพล็อตเรื่องคล้ายกันมาก จากครูสอนเคมีไปปรุงยาเสพติด กับพนักงานบัญชีต้องฟอกเงินให้แก๊งค์ยาเสพติดเม็กซิกัน แต่มันก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าแต่ละเรื่องมีทางของตัวเองอย่างชัดเจนมากจนยากที่จะเทียบกันได้ เพราะว่ามันเป็นสุดยอดผลงานซีรีส์ทั้งคู่จริงๆ การันตีด้วยรางวัลมากมาย ทั้งนักแสดงและผู้กำกับที่ได้รับจากเรื่องโอซาร์ก
ตั้งแต่ซีซั่นแรกนั้น เราจะเห็นสองครอบครัวที่ค่อนข้างจะผุๆ พังๆ แต่อยู่คนละชนชั้น เหมือนป็นภาพสะท้อนของชีวิตจริง อย่างครอบครัวเบิร์ดคือคนชนชั้นกลางที่พยายามดิ้นรนเอาตัวรอด ในขณะเดียวกันก็ต้องพยายามดึงครอบครัวให้เป็นปึกแผ่นและก้าวผ่านปัญหาไปให้ได้ อีกด้านหนึ่งคือครอบครัวแลงมัวร์ อยู่บ้านรถเทรลเลอร์โทรมๆ ข้างทะเลสาบ พยายามหาทางดิ้นรน หาทางเอาตัวรอดตามวิถีคนชนชั้นล่าง และรักษาครอบครัวของพวกเขาเอาไว้ แต่ทั้งสองครอบครัวที่เหมือนจะต่าง แต่กลับมีอะไรคล้ายๆ กันนี้ต้องมาร่วมมือกัน มันเลยเกิดเป็นความบันเทิงและโกลาหลในแบบที่เราคาดเดาไม่ได้
ความคาดเดาไม่ได้ในเรื่องนี้มันคือสิ่งที่ทำให้ผู้คนติดพัน อยากจะดูเรื่องนี้ต่อว่ามันจะลงเอยยังไง ดำเนินไปทิศทางไหน เพราะทุกสิ่งที่เราคิดตามไปกับเรื่อง มันสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาแบบไม่ให้ทันตั้งตัว คนนี้จะหักหลังคนโน้น หรือคนนั้นจู่ๆ เกิดบ้าขึ้นมาเลยเอาปืนยิงตัวละครสำคัญหน้าตาเฉยจนเกิดเป็นเหตุการณ์และปัญหาใหม่ ที่ทำให้ครอบครัวเบิร์ดต้องคอยตามล้างตามเช็ด ในสิ่งที่พวกเขาก่อไว้และไม่ได้ก่ออยู่เรื่อย
สิ่งที่เป็นจุดเด่นและทำให้ซีรีส์เรื่องนี้เป็นมาสเตอร์พีชได้ นอกจากบท ก็คือเหล่าตัวละครต่างๆ ที่มีพัฒนาการและเหมือนเป็นภาพสะท้อนของคนแทบทุกรูปแบบ มันเลยทำให้ทุกๆ ส่วนของซีรีส์ เราสามารถที่จะอิน และร่วมรู้สึกไปกับพวกเขาได้ง่ายมาก และการพัฒนาการของแต่ละคนก็น่าสนใจมาก เพราะนักแสดงหลักอย่าง Jason Bateman ที่นั่งแท่นทั้งผู้กำกับและนักแสดงนำเองก็ได้รับทั้งรางวัลเอมมี่ สาขานักแสดงชายและสาขาผู้กำกับจากเรื่องนี้ และ laura linney ที่เป็นภรรยาก็เป็นนักแสดงระดับลูกโลกทองคำ การแสดงมันเลยสื่อถึงตัวละครที่มีหลากหลายมิติออกมาได้ โดยเฉพาะฉากระเบิดอารมณ์ต่างๆ ในซีซั่นสุดท้ายนี้ต้องบอกเลยว่าทำให้รู้สึกขนลุกจริงๆ
เพราะทุกการพัฒนาตัวละครหลัก ถ้าหากเปรียบเทียบกับ breaking bad ก็จะเปลี่ยนจากดีเป็นค่อยๆ เลว แต่กลับกันซีรีส์เรื่องนี้จะพัฒนาตัวละครไปในอีกรูปแบบหนึ่ง คือเป็นคนที่สีเทาๆ อยู่ตรงกลาง ทำดีด้วยถ้าตัวเองได้ประโยชน์อยู่แล้ว มันจะไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงจากที่เห็นตั้งแต่ซีซั่นแรกจนมาซีซั่นสุดท้าย มันเหมือนเป็นการเปิดเผยก้นบึ้งในจิตใจลึกๆ ของตัวละครออกมาทีละเปลาะมากกว่า เพราะการเจอปัญหาแต่ละครั้งในเรื่องนี้นั้น คือการนำเอาผลลัพท์ที่ดี ที่อาจจะสร้างอีกปัญหา มาโปะกองทับถมกันไปเรื่อยๆ และทุกปัญหาในเรื่องนี้มันก็เสี่ยงและกดดัน ไม่รู้เลยว่าตัวละครไหนจะอยู่หรือตาย กลายเป็นคนสุดท้ายที่สามารถรอดพ้นจากเรื่องราว การฆาตกรรม อาชญากรรม ความโกลาหลพวกนี้ไปได้
ในพาร์ทสุดท้ายของซีซั่น 4 เนื้อเรื่องกดดันกว่าที่ผ่านๆ มา เพราะมันเป็นช่วงสุดท้ายแล้ว ดังนั้นปัญหาต่างๆ ที่ประเดประดังจะถาโถมทุกตัวละครไม่หยุด จนแทบไม่ได้พักหายใจ และมีการนำตัวละครเก่าๆ กลับมามีบทบาทอีกครั้ง อารมณ์เหมือนกับไม่ได้เจอเพื่อนเก่าที่เจอกันมานาน แต่จะมาดีหรือมาร้ายคงต้องไปลุ้นกันเอาเอง
โดยหลักๆ ก็จะเป็นเรื่องราวของรูธ แลงมัวร์ กับครอบครัวเบิร์ด ที่ดำเนินมาขนานกัน เพราะเมื่อทั้งสองมาป๊ะกันเมื่อไหร่ แทบจะเรียกได้ว่าฉิบหายเมื่อนั้นทุกคราไป ถ้าหากเปรียบมาร์ตี้ เบิร์ด เป็นวอลเตอร์ไวท์ รูธแลงมัวร์ก็คือ เจสซีพิงค์แมน ที่เป็นอาจารย์ลูกศิทย์กัน มีความห่วงใยกัน คอยช่วยเหลือกัน และแทบจะฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่งจริงๆ
อีกด้านก็คือเรื่องราวของแก๊งค์นาวาร์โรกับการขึ้นมาสืบทอดอำนาจ และดีลลับๆ กับรัฐบาลที่ซับซ้อนและวุ่นวาย หักเหลี่ยมเฉือนคมกันไปมา และในเมื่อมันเป็นพาร์ทสุดท้าย หลายๆ ปมปัญหามันจบลงด้วยโศกนาฏกรรม ซึ่งฉากจบนั้นเรียกได้ว่าจบได้โอเคสำหรับเรื่องราวที่ยุ่งเหยิงนี้ อาจจะไม่ได้เพอร์เฟค แต่ถ้ามองย้อนถึงการเดินทางผ่านเรื่องราวหลายๆ อย่าง จนมาถึงจุดนี้ได้ ต้องบอกเลยว่าสมแล้วที่ได้รับรางวัลหลากหลายสาขา
นอกจากนี้ ถ้าหากใครเป็นนักศึกษา เรียนทางด้านภาพยนต์ เรื่องนี้สามารถสอนเกี่ยวกับเรื่องโทนสี งานภาพได้อย่างดี เพราะแต่ละฉากนั้นมีรายละเอียดยิบย่อยเยอะมาก ยกตัวอย่างเช่นสองพี่น้องที่ต้องหลบซ่อนในสุสานเพราะกำลังถูกตามล่า การจัดแสง การเกรดสี มันบ่งบอกถึงอารมณ์ของตัวละคร โทนของเรื่อง เรื่องราวในขณะนั้น หรือลำดับภาพกับมุมกล้องการเล่าเรื่องที่แยบยล ปล่อยให้นักแสดงโชว์ของออกมาเต็มที่จนทำให้ผู้ชมรู้สึกอินตามและเหมือนว่าพวกเขาคือคนที่มีชีวิตจริงๆ ไม่ใช่ตัวละครสมมติขึ้นมา
สิ่งที่เป็นทั้งข้อดีและข้อเสียของเรื่องคือ เรื่องราวต่างๆ มันจะไม่ได้แบบแอ็กชั่นตูมตาม ดำเนินเรื่องฉับไว แต่จะแยบคายไปด้วยบทพูดและตัวละครเรียลๆ ถ้าหากใครตามมา อยากจะดูเพราะมันคล้ายกับ breaking bad นี่ต้องบอกเลยว่าคนละอารมณ์ เพราะมันจะไม่ได้ตลกร้าย แต่มันจะมีแต่ความยุ่งเหยิง โกลาหล คนเรียลๆ ที่พยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดในแบบของพวกเขาจากปัญหาที่มันเชื่อมกันเป็นโยงใยเรียงร้อยจนมันเข้ากันได้อย่างดี แม้มันจะเป็นซีรีส์ที่ดีมากๆ แต่มันก็ไม่ได้เหมาะกับผู้ชมประเภทแคชชวลเสียเท่าไหร่
บทสรุปทั้งหมดของเรื่องราวนั้น ต้องบอกได้เลยว่าครบทุกรสชาติ เข้มข้นทุกตอน บทพูกเฉียบคมทุกครั้งที่ตัวละครเปิดปากคุยกัน ยกให้เป็นหนึ่งในซีรีส์ที่ดีที่สุดในยุคนี้ไม่ถือว่าเกินไปเลย เพราะมันดีมากจริงๆ แม้มันอาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบในตอนจบ แต่มันทำให้เราฉุกคิดถึงความเรียลเสียจนรู้สึกขนลุกในจุดนี้เลย
เมื่อดูจบแล้ว ทาง Netflix ก็มีสารคดีเบื้องหลังการถ่ายทำ ว่ากว่าจะมาเป็นซีรีส์ที่สุดยอดขนาดนี้ได้ผ่านอะไร มีกระบวนการยังไง มีทั้งสัมภาษณ์นักแสดง ผู้กำกับ และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ เป็นการบอกลาซีรีส์เรื่องนี้อย่างเต็มตัว รับชมได้ที่ลิงค์นี้เลย
รับชม Ozark Season 4 Part 2 ได้ทาง Netflix แล้ววันนี้
อ่านรีวิวหนัง/ซีรีส์เรื่องอื่น ได้ที่นี่