รีวิว THE HATER คุณจะเชื่อเรื่องที่โพสในเน็ตได้มากแค่ไหน?
The Hater
สรุป
ซีรีส์โปแลนด์ ที่นำเสนอเรื่องราวที่ดูแปลกใหม่ และน่าสนใจ อย่างการสร้างข่าวปลอม ใส่ร้ายป้ายสี ซึ่งมันมีขบวนการและองค์กรนี้อยู่จริงๆ ผสมกับดราม่าของตัวเอกที่ไม่น่าเบื่อ ด้วยความแปลกใหม่นี้ จึงทำให้ลุ้นตามว่าจะจบยังไง อยากให้ลองดู
Overall
7/10User Review
( vote)Pros
- เรื่องราวแปลกใหม่ แต่ใกล้ตัวเรา
- ด้านดราม่าที่ดี
- พัฒนาตัวละครเอกได้ดี
Cons
- การดำเนินเรื่องแนวนี้อาจจะเนิบนาบสำหรับบางคน
- ฉากบางฉากดูแล้วแปลกตา เช่นฉากในเกม
The Hater ภาพยนต์จากโปแลนด์ ที่หยิบยกเรื่องราวที่หลายๆ คนไม่รู้ว่ามันมีอยู่จริงและใกล้ตัวมากแค่ไหน ผ่านชีวิตของเด็กหนุ่มที่ค่อยๆ ถลำลึกลงไปในความมืดมิดของการใส่ร้ายป้ายสี สร้างข่าว Fake News บนโลกอินเทอร์เน็ต ที่จะทำลายทั้งชีวิตของเป้าหมาย และตัวเขาเอง
ตัวอย่าง The Hater (Netflix)
รีวิว The Hater
ทุกวันนี้ พวกเราทุกคนก็แทบจะอยู่ในโลกอินเทอร์เน็ต เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตกันอยู่แล้ว ทั้ง Social Media ต่างๆ ที่ถูกผ่านตาเราวันละหลายๆ โพส แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเรื่องไหนมันจริง หรือไม่จริง หรือมันเป็นแค่การปั่นกระแสเพื่อทำลายชื่อเสียง หรือหวังประโยชน์อะไรบางอย่างหรือเปล่า
ภาพยนต์เรื่องนี้ได้หยิบยกเรื่องราวที่มันมีอยู่จริงในปัจจุบัน มานำเสนอผ่านตัวละครไอ้หนุ่มใจแคบ โทเมก เกียมซา ที่ชีวิตกำลังดิ่งลงเหว ทั้งโดนไล่ออกจากโรงเรียนกฏหมายเพราะไปก็อปงานคนอื่น ไปหาคนรู้จักก็โดนนินทาลับหลังจนเจ็บแสบ จนได้บังเอิญมาพบกับงานที่อาจจะเหมาะกับตัวเขา งานที่ว่าก็คือ การวางแผนเพื่อโจมตี ทำลายชื่อเสียงของเป้าหมาย ผ่านทาง Social Media
เรื่องราวพวกนี้บอกตามตรงว่า เพิ่งเคยเห็นในงานภาพยนต์ มันเลยรู้สึกแปลกใหม่และค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว ว่าการปั่นกระแสในเน็ตอะไรพวกนี้ เขาทำกันจริงจัง เป็นขบวนการ ซึ่งอาจจะหนักถึงขั้นจบชีวิตในโซเชี่ยลของคนนั้นๆ ไปเลย แต่น่าเสียดายว่าตัวหนังเองไม่ได้เจาะลึกลงในเรื่องราวตรงนี้เท่าไหร่ เพราะมันจะเน้นไปที่ดราม่าของตัวละคร ที่จะค่อยๆ ถลำลึกสู่การโกหก หลอกหลวง ใส่ร้ายป้ายสี แม้กระทั่งเอาตัวเข้าแลกก็ต้องยอม
เริ่มเรื่องเราจะได้เห็นชีวิตของโทเมก ว่าเขาเป็นคนยังไงบ้าง และกำลังเจอกับปัญหารอบตัว ทั้งโดนไล่ออกจากโรงเรียน โดนนินทาลับหลังจากครอบครัวที่อุปถัมป์เขา แถมสาวเจ้าที่ชอบก็เป็นคนในครอบครัวนั้นด้วย จนได้บังเอิญมาเจอกับงานเกี่ยวกับการดิสเครดิตคนในโลกออนไลน์ (เข้าใจง่ายๆ ก็พวกเย็ตไอดอล) ซึ่งโทกเมกดันทำมันได้ดี จนหัวหน้าเขาได้ให้งานในการปั่นกระแสลบให้กับผู้สมัครนายกเทศมนตรีของเมือง
และเรื่องราวมันก็จะนำเสนอประเด็นการเมืองต่างๆ เข้ามาด้วย เป็นระยะๆ ประกอบกับการพัฒนาตัวละครของโทเมก เด็กหนุ่มบ้านนอก มาเรียนในกรุงแต่ดันโดนไล่ออก ที่ค่อยๆ ถลำลึกลงไปในงานของเขา เพราะเขาต้องการที่จะทำงานที่ได้รับมอบหมายออกมาให้ดี จนบางทีมันก็ดีเกินไป เพราะงานที่เขาทำมันคืองานสีดำ ทั้งข่มขู่ ใส่ร้ายป้ายสี ทำให้เสียชื่อเสียง สร้างข่าวลวง สารพัด ซึ่งเรื่องราวมันก็อยู่ใกล้ตัวเราจนรู้สึกอินไปกับมันได้ง่าย
ตัดสลับกับด้านดราม่าของชีวิตโทเมก กับครอบครัวที่อุปถัมป์เขา ซึ่งช่วงแรกครอบครัวนี้ก็จะออกแนวดูถูกเหยียดหยามโทเมก แต่หลังๆ เขาก็พยายามพิสูจน์ตัวเองให้เห็นว่าเขามีดีอย่างไร ซึ่งสิ่งที่เขาเป็นในฉากหน้า ลับหลังเขาต้องผ่านอะไรมาหลายอย่าง ทั้งปั่นข่าว หรือใส่ร้ายคนอื่นๆ ทำให้ด้านดราม่าที่มันจะเล่าเรื่องเนิบๆ เรื่อยๆ แต่กลับน่าสนใจที่ว่าฉากหน้า กับฉากหลังของโทเมก ต่างกันราวฟ้ากับเหว
อย่างที่เกริ่นไปตอนต้นว่า แม้หนังจะนำเสนอเรื่องราวของงานวางแผน กลยุทธ์ทำลายชื่อเสียงของบุคล ที่ทำกันเป็นองค์กร แต่มันไม่ได้ลงลึกอะไรมากนัก และน่าเสียดายมากๆ ซึ่งมันไปเน้นในด้านดราม่ามากกว่า จนเรื่องราวดำเนินไปสู่จุดไคล์แมกซ์ที่กลายเป็นทริลเลอร์ และทำออกมาได้ค่อนข้างโอเค
สิ่งที่ทำออกมาได้งงๆ ก็คือ บางฉาก จู่ๆ ก็ตัดสลับกับพาร์ทอดีต ที่เป็นอดีตเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วในแบบที่จะทำให้คนดูรู้สึกงงมาก ว่าจะนำเสนอแบบนั้นทำไม และไม่ได้มีผลอะไรกับเรื่อง เหมือนใส่เข้ามาให้มันดูอาร์ตๆ เพราะภาพในเรื่อง มุมกล้องนำเสนอก็ค่อนข้างสวยเลย ฉากที่ว่ามีอยู่ประมาณสองฉาก ถ้าใครงงไม่ต้องตกใจ ไม่ได้เป็นสาระสำคัญอะไรตรงนั้น
อีกอย่างที่อยากจะติก็คือ ฉากที่ตัวเอก ใช้เกมเข้าไปคุย ติดต่อกระทำบางอย่างเพื่อปั่นข่าว ในฐานะคนเล่นเกมต้องบอกเลยว่า ดูแล้วรู้สึกแปลกๆ เพราะภาพที่ออกมา มันไม่ได้ดูเหมือนเกมเลย แล้วเกมมันก็ไม่ได้คุยกันแบบนั้น มันเลยดูแปลกตามากๆ และไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่
แต่โดยรวมก็ถือว่าเป็นภาพยนต์จาก Netflix ที่นำเสนอเรื่องราวในแง่มุมใหม่ๆ ของโลกอินเทอร์เน็ตที่ดีมากอีกเรื่องหนึ่ง และทำออกมาได้น่าสนใจ จากตัวเอกจนกลายไปเป็นเหมือนตัวร้าย จะเป็นยังไงต้องลองไปติดตามชม ความยาวของ The Hater คือ 2 ชั่วโมง 15 นาที ถ้าใครชอบหนังแนวนี้ต้องลองเปิดใจดู เพราะเรื่องที่เขานำเสนอ ทั้งการเมือง หรืออื่นๆ มันอยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด
รับชม เดอะ เฮทเตอร์ ได้ทาง netflix แล้ววันนี้
อ่านรีวิวหนัง-ซีรีส์อื่นๆ ได้ที่นี่