playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Interview (Netflix) หนังสัปดนเจ้าปัญหากับแผนฆ่าผู้นำเกาหลีเหนือ!

สรุป

นี่เป็นหนังตลก กับมุกใต้สะดือที่ปล่อยออกมาเพียบ หลายมุกไม่ฮา แต่ก็มีโดนบ้างบางมุก ถ้าใครติดตามและเข้าใจ Pop Culture อเมริกาก็จะเข้าใจบริบทของตัวหนังและมุกมากเท่านั้น แต่มันก็อาจจะไม่ฮาสำหรับบางคนเหมือนกัน เพราะเรื่องราวมันก็นำเสนอทั้งเรื่องเพศ การเหยียด มุกตลกแบบจิกกัดล้อเลียนนั่นนี่หลายอย่าง ด้านความสมจริง หรือความจริงจังของเรื่องราว การสะท้อนสังคมหรือหลายๆ อย่าง อย่าไปหวังกับมันมากเลย แต่ในบางจุดกลับแทรกเรื่องแบบนี้มาไม่ให้ทันตั้งตัวและดึงอารมณ์ของเราให้ฉุกคิดได้บ้าง และจะดูเพลินกว่านี้ถ้าปรับให้หนังสั้นลงเหลือสัก 1.30 ชม. กำลังดี

Overall
6.5/10
6.5/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • ล้อเลียน Pop Culture และหลายๆ อย่างในช่วงปี 2014ที่ใครเก็ตก็ฮาก๊าก
  • ล้อเลียนท่านผู้นำแบบไม่ไว้หน้า จัดเต็ม
  • บางช่วงเหมือนไร้สาระ แต่กลับสอดแทรกแง่คิดบางอย่างเอาไว้
  • ตัวละครสุดเพี้ยน เล่นใหญ่แทบทุกคน

Cons

  • ปูบทยาวเกินแถมไม่มีเนื้อหาสาระในช่วงแรก
  • หลายมุกเฉยๆ ไม่ฮา
  • หาสาระแทบไม่ได้ (ก็มันเป็นหนักตลกเบาสมอง)

ADBRO

The Interview หนังตลกสัปดนที่ล้อเลียนผู้นำเกาหลีเหนือจนเกือบจะทำให้เดือดร้อนทั้งโลก ได้มาลง Netflix ให้รับชมกันแล้ว ว่าด้วยเรื่องราวของคู่หูนักข่าวที่ได้โอกาสไปสัมภาษณ์คิม จอง อึน แต่ทาง CIA ของสหรัฐต้องการจะแทรกแซงและลอบสังหาร งานนี้เลยเกิดเป็นความป่วน มันส์ ฮา ในแบบที่ต้องโยนสมองออกไปไว้ไกลๆ

 The Interview (2014) on IMDb

ตัวอย่าง The Interview 

รีวิว The Interview บ่มแผนบ้าไปฆ่าผู้นำ

ภาพยนต์เรื่องนี้ มีปัญหาตั้งแต่ยังไม่ออกฉาย แรกเริ่มเดิมทีนั้นตัวหนังเองกำหนดฉายราวๆ เดือนธันวาคม ปี 2014 แต่ทางเกาหลีเหนือฉุนมาก เพราะทำหนังไปล้อเลียนผูู้นำของเขา ในขณะนั้นประธานาธิบดีที่ดำรงตำแหน่งคือ บารัค โอบามา ทางโซนี่ พิคเจอรส์ก็ถูกเกาหลีเหนือข่มขู่ห้ามฉาย เพราะเนื้อหาคือการล้อเลียนประเทศเผด็จการในมุมมองของอเมริกัน หนังก็เลื่อนฉาย จนในที่สุดก็ถูกแฮคข้อมูลต่างๆ (น่าจะเป็นหน่วยไซเบอร์ของทางเกาหลีเหนือ) ทำให้สุดท้าย หนังก็ไม่ได้ออกโรงฉาย ต้องหาทางอื่นๆ แทน

คนเรายิ่งห้าม เหมือนยิ่งยุ หลายคนอาจจะเคยหามารับชมกันผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งเว็บบิท และอื่นๆ และในที่สุดเราก็ได้มาดูแบบถูกลิขสิทธิ์กันบน Netflix หลังจากเวลาผ่านไปหลายปี

ผลงานของผู้กำกับ Evan Goldberg และ Seth Rogen จากซีรีส์ฮีโร่ The Boys กับเรื่องราวของคู่หูพิธีกร เดฟ สกายลาร์ค (รับบทโดย James Franco) และโปรดิวเซอร์ แอรอน ราพาพอร์ท (รับบทโดย Seth Rogen) ที่ทำรายการสัมภาษณ์คนดังในวงการบันเทิง จนรายการดังเป็นพลุแตก แต่แล้วแอรอนก็ได้พบกับเพื่อนเก่าที่ทำรายการข่าว แล้วโดนแซะว่าทำทำแต่รายการไร้สาระ จนตัวของเขาอยากจะลองเปลี่ยนแปลงรายการให้มันจริงจังขึ้น

และโอกาสที่ว่าก็มาถึง เมื่อผู้นำประเทศเผด็จการเกาหลีเหนืออย่าง คิม จอง อึน เป็นแฟนตัวยงของรายการพวกเขา และอยากให้เดฟ ไปสัมภาษณ์ แต่เรื่องราวก็ไม่ง่ายขนาดนั้นเมื่อทาง CIA อยากจะซ้อนแผนในการลอบสังหารท่านผู้นำคนนี้ไปด้วยในการสัมภาษณ์ สุดท้ายแล้วเรื่องราวจะเป็นอย่างไร สองคู่หูนี้จะลอบสังหารได้ไหม หรือท่านคิมจะเชือดเขาไปซะก่อน ต้องไปลุ้นดูในเรื่อง

นี้เป็นหนังตลกสัปดน เพราะฉะนั้น มุกใต้สะดือนี่คือเยอะมาก แต่อาจจะไม่ได้โจ๋งครึ่มมากมาย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการล้อเลียนสิ่งต่างๆ ทั้ง Pop Culture ของอเมริกาในปี 2014 และล้อผู้นำเกาหลีเหนือในแบบที่ทำให้ดูหน่อมแน้มและกลายเป็นตัวร้าย จนเราเข้าใจแล้วว่าทำไมทางเกาหลีเหนือถึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจนหนังเรื่องนี้ถูกห้ามฉาย (ก็แหงล่ะ)

The Interview Eminemเปิดมาเริ่มเรื่องก็ปั่นประสาทแล้ว ด้วยการที่เดฟ สกายลาร์ค พิธีกรรายการ สัมภาษณ์ Eminem (ตัวจริง) แรปเปอร์ชื่อดัง ที่จู่ๆ ก็มาเปิดตัวกลางรายการว่าเขาเป็น “เกย์” หรือดารามีชื่อเสียงคนอื่นๆ ที่แว้บเข้ามาโผล่เป็นแขกรับเชิญ บางคนออกไม่กี่วินาทีด้วยซ้ำ บากมุกก็โยงไปหาเหล่าคนดังต่างๆ เช่นไมลีย์ ไซรัส หรือนิคกี้ มินาจ กับมุกเสื่อมๆ สัปดนใต้สะดืออีกหลายมุก ถ้าหากใครชอบการล้อเลียนสไตล์อเมริกันและเก็ตมุกกับ Pop Culture ในช่วงนั้นนี่ฮาก๊ากแน่นอน

แต่เอาจริงๆ ตัวหนังปูเรื่องช่วงต้นค่อนข้างนานไปหน่อย พล็อตเรื่องหลักที่กล่าวมาข้างต้น ก็ปาเข้าไปเกือบๆ 40 นาทีแล้ว อาจจะน่าเบื่อในช่วงแรกบ้าง แต่พอสองคู่หูตัวป่วนได้เดินทางมายังเกาหลีเหนือ ก็จะใส่มุกตลกนั่นนี่เข้ามาเป็นสีสันให้ได้เรื่อยๆ ยิ่งฉากที่ท่านคิมปรากฏตัวออกมา ก็จะมีแต่ความกวน ล้อเลียนนั่นนู่นนี่เบอร์ใหญ่หลายอย่างมาก รวมถึงเพลงประกอบที่โด่งดังยุคนั้นอย่าง Firework ของ Katy Perry ก็มาประกอบได้เข้ากันกับตัวท่านผู้นำได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ตัวละครที่ปั่นประสาทที่สุดในเรื่องก็คือ เดฟ สกายลาร์ค กับนักแสดงเจม ฟรังโก้ที่มารับบทนี้ออกจะดูโอเวอร์แอคติ้ง เล่นใหญ่จัดเต็มทุกฉาก ทุกมุก กับตัวตบมุกอย่างคุณโปรดิวเซอร์ แอรอน จะเป็นคนบุคลิคที่คอยห้ามปรามตัวเดฟเสียมากกว่าว่าไม่ให้ทำอะไรเลยเถิดนอกแผน แต่พอถึงจุดหนึ่ง ตัวละครทุกตัวก็เล่นใหญ่หมด ไม่ว่าจะทั้งตัวท่านผู้นำ สองพิธีกร ทหารสาวชาวเกาหลีเหนือคนสวย ทุกตัวละครนี่แทบจะเรียกว่าเพี้ยนๆ กันหมด แต่บางจุดของเรื่องมันกลับดึงอารมณ์จากความบ้าๆ ให้เราฉุกคิดถึงเรื่องราวที่มันพยายามสื่อออกมา จนทำให้เรารู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ มีดีกว่าหนังตลกสัปดนเรื่องอื่น

ในฉากจบก็ทำออกมาได้บ้าบอและสนุกดูเพลิน สาดมุก สาดกระสุนกันไม่หยุด พร้อมกับฉากไล่ล่าระเบิดภูเขาเผากระท่อมที่บ้าบอ ถ้าใครหาความสมจริง หรือตรรกะในหนังแนวแอคชั่นทั่วไป เรื่องนี้คงไม่ใช่คำตอบ และเดอะเบสสำหรับเรื่องนี้จนถึงฉากจบจริงๆ ก็คือเพลง Firework ของเคธี่ เพอรี่จริงๆ

นี่เป็นหนังตลก กับมุกใต้สะดือที่ปล่อยออกมาเพียบ หลายมุกไม่ฮา แต่ก็มีโดนบ้างบางมุก ถ้าใครติดตามและเข้าใจ Pop Culture อเมริกาก็จะเข้าใจบริบทของตัวหนังและมุกมากเท่านั้น แต่มันก็อาจจะไม่ฮาสำหรับบางคนเหมือนกัน เพราะเรื่องราวมันก็นำเสนอทั้งเรื่องเพศ การเหยียด มุกตลกแบบจิกกัดล้อเลียนนั่นนี่หลายอย่าง ด้านความสมจริง หรือความจริงจังของเรื่องราว การสะท้อนสังคมหรือหลายๆ อย่าง อย่าไปหวังกับมันมากเลย แต่ในบางจุดกลับแทรกเรื่องแบบนี้มาไม่ให้ทันตั้งตัวและดึงอารมณ์ของเราให้ฉุกคิดได้บ้าง และจะดูเพลินกว่านี้ถ้าปรับให้หนังสั้นลงเหลือสัก 1.30 ชม. กำลังดี

ถ้าใครอยากลองชมว่าทำไมหนังเรื่องนี้ทำให้เกาหลีเหนือโกรธจนสั่งห้ามฉาย ก็ลองดู The Interview ได้บน Netflix แล้ววันนี้

อ่านรีวิวหนัง/ซีรีส์เรื่องอื่น ได้ที่นี่

 

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!