รีวิว The Serpent (Netflix) เรื่องจริงของฆาตกรต่อเนื่องสุดโฉดแห่งกรุงเทพจากยุค 70’s
The Serpent
สรุป
นี่คือซีรีส์ทุ่มทุนสร้าง ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของฆาตกรดังในอดีต พร้อมกับจำลองฉากหลังประเทศไทยในยุค 70’s ที่เก็บรายละเอียดแทบทุกเม็ด ทั้งลุ้น ตื่นเต้น กดดัน นำเสนอหลายมุมมองของคนที่เกี่ยวข้องกับคดีจริง แม้ว่าบางช่วงการดำเนินเรื่องอาจจะแผ่ว หรือบางตอนอาจจะมีการเสริมเติมแต่งจนเห็นได้ชัด แต่โดยรวม การได้เห็นกรุงเทพในอดีต ผ่านสายตาของชาวต่างชาติก็เป็นอะไรที่น่าประทับใจ และคุ้มค่าแก่การดู
Overall
8/10User Review
( vote)Pros
- สร้างจากเรื่องจริง
- แคสติ้งนักแสดงดี และมีเสน่ห์มาก
- การเล่าเรื่องตัดสลับ อดีต ปัจจุบัน แบบดูง่ายไม่ปวดหัว ชวนลุ้นตาม
- จำลองยุค 70’s ของหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทยได้เกือบเป๊ะและทุ่มทุนสร้างอย่างมาก
- เป็นลิมิเต็ดซีรีส์จบในตัว
Cons
- ช่วงกลางๆ เรื่องอาจจะแผ่วไปบ้าง
- ในบางช่วงของเรื่อง เห็นได้ชัดว่าเป็นการเสริม เติมแต่งให้เหมาะกับการเป็นซีรีส์ ไม่ใช่เรื่องจริง 100%
The Serpent นักล่าอสรพิษ ลิมิเต็ดซีรีส์ 8 ตอนจบทุ่มทุนสร้างจาก Netflix ที่ฉากหลังส่วนใหญ่ถ่ายทำในประเทศไทย กับการนำเสนอเรื่องราวของ ชาร์ล โสภราช ฆาตกรต่อเนื่องนักฆ่าฮิปปี้ในยุค 70’s ที่ออกล่าในแถบเอเชียใต้ และพักอาศัยที่ไทย ลงมือก่อเหตุสังหารคนหลายศพด้วยการวางยาพิษ
ตัวอย่าง The Serpent นักล่าอสรพิษ
รีวิว The Serpent นักล่าอสรพิษ
ซีรีส์เรื่องนี้สร้างโดยอิงมาจากเรื่องจริง ไม่ใช่สารคดี อาจจะเสริมเติมแต่งเข้าไปบ้าง ถ้าหากใครดู นาโคส ซีรีส์เจ้าพ่อยาเสพติด พาโบล เอสโคบาร์ ก็จะอารมณ์เดียวกัน และนี่เป็นเรื่องราวของ ชาร์ล โสภราช ฆาตกรต่อเนื่องที่โด่งดังมากในยุคปี 70’s ยุคแห่งการเดินทาง แสวงหาความสงบของชาวฮิปปี้ และนี่คือโอกาสของเขา ที่จะแสวงหากำไรและเม็ดเงินจากพวกนี้
ชาร์ล โสภราช ลูกครึ่งอินเดีย เวียดนาม แต่สัญชาติฝรั่งเศส ได้เดินทางมายังประเทศไทย เช่าอพาร์ตเมนต์อยู่กับแฟนของเขา มารี อังเดร แต่ทั้งคู่ได้ใช้นามแฝงว่า อาแลง และ โมนิค ทำอาชีพเป็นนักค้าอัญมณี
เบื้องหน้า พวกเขาคือผู้ช่วยเหลือกลุ่มคนฮิปปี้ที่ในยุคนั้น ที่กำลังออกเดินทางแสวงหาความสงบสุข ตามความเชื่อ อาแลงและโมนิค พร้อมกับ อาเจย์ ได้พาผู้คนที่ต้องการความช่วยเหลือ มายังอพาร์ตเมนต์ของพวกเขาและให้ที่พัก แต่เบื้องหลังนั้นก็คือ การวางยาเหยื่อเพื่อรูดทรัพย์ ปลอมแปลงพาสปอร์ตของพวกเหยื่อและเก็บไว้ใช้เอง หรือบงการให้คนทำตามที่เขาต้องการ
แต่แล้วเรื่องราวก็ซับซ้อนขึ้น เมื่อเหยื่อของอาแลงและโมนิค เป็นหนุ่มสาวชาวดัตซ์คู่หนึ่ง ทำให้เฮอร์แมน คนิปเพนเบิร์ก เจ้าหน้าที่สถานทูตดัตซ์ในไทย ต้องตามหาหนุ่มสาวชาวฮิปปี้คู่นี้ แต่เขากลับพบความเชื่อมโยงเกี่ยวกับการฆาตกรรมต่อเนื่องที่ซุกซ่อนไว้ของชายสุดโฉดอย่างชาร์ลเข้าให้ ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง ของระบบราชการไทย ทำให้ตำรวจไทยไม่อาจจะช่วยคนิปเพนเบิร์กสืบคดีได้ เขาเลยต้องตามสืบคดีเอง เพื่อกระชากหน้ากากจอมบงการ จอมลวงโลก ฆาตกรต่อเนื่องคนนี้ให้ได้
ตัวซีรีส์นั้นมีฉากหลังหลักๆ ก็คือ ประเทศไทยในยุคปี 70’s ที่ต้องบอกเลยว่า เขาจำลองออกมาได้ดีมาก แทบจะดึงกรุงเทพในยุคอดีตมาไว้ในซีรีส์เลย ทั้งการจราจรที่ติดขัด รถเก่าๆ สถานเริงรมรณ์ วัด ที่อยู่อาศัย การแต่งกายของผู้คน ทุกอย่างล้วนเป็นของเก่าในยุคนั้น เก็บรายละเอียดแทบทุกเม็ดจนเราคนไทย ทึ่งในความทุ่มทุนสร้าง กับการจำลองกรุงเทพในยุคเก่าได้ดีขนาดนี้ แต่ถ้าสังเกตดีๆ อาจจะมีบางฉาก ที่มีของสมัยใหม่ติดเข้าไปในฉากบ้าง แต่โดยรวมคือสุดยอดมาก ที่ได้เห็นประเทศไทยในมุมมองของชาวต่างชาติ ทีมผู้สร้างทำการบ้านมาได้ดี
นอกจากประเทศไทยแล้ว คดีของฆาตกรจอมวางยา จนได้ฉายาว่า Serpent หรืออสรพิษคนนี้ เขาเดินทางไปทั่วทวีปเอเชียได้ ทั้งเนปาล อินเดีย ซึ่งเป็นเส้นทางของกลุ่มคนฮิปปี้ ที่ออกเดินทางในยุคนั้น มันเลยสะท้อนให้เห็นความเชื่อ วัฒนธรรมหลายๆ อย่างที่นำเสนอออกมาได้ดี และแต่ละฉาก แต่ละที่ แต่ละประเทศที่ปรากฏในซีรีส์ เขาเก็บรายละเอียดได้ดีจริงๆ ทุ่มทุนสร้างจัดเต็ม
ตัวเนื้อเรื่องหลักจะเล่าพาร์ทปัจจุบัน ที่คนิปเพนเบิร์ก เริ่มสืบคดีหาตัวชาร์ล ที่แฝงตัวในชื่ออาแลงอยู่ สลับกับพาร์ทอดีต หลายเดือนก่อนหน้าของเหยื่อแต่ละคน ทำให้เราเห็นว่าฆาตกรคนนี้ เลือกเหยื่อ หรือลงมือยังไง และเขาทำอะไรจากเหยื่อบ้าง เราจะได้เห็นบุคลิกจอมวางแผน และจอมบงการของชาร์ลจากจุดนี้
แม้ว่าตัวเนื้อเรื่องจะตัดสลับไปมาระหว่างอดีต กับปัจจุบัน แต่มันไม่ได้ดูยากหรือชวนงงเลย กลับกันมันทำให้เส้นเรื่องค่อยๆ ปะติดปะต่อกัน และทำให้เราเข้าใจสถานการณ์ของตัวเอกฝั่งร้ายกับฝั่งดี ที่มันจะค่อยๆ มาบรรจบกันจนเกิดเป็นการตามล่าหาตัวข้ามประเทศขนาดนี้ เรียกได้ว่าเป็นการนำเสนอที่ฉลาด และทำให้คนดูอินไปกับเรื่องอย่างไม่ยาก
อีกอย่างที่ต้องชมก็คือบทบาทสาวข้างกายของชาร์ลอย่าง มารี อังเดร ที่ตอนเขาถูกประกาศจับ เธอก็ถูกประกาศจับไปทั่วโลกด้วย เราจะได้เห็นถึงบุคลิกของเธอที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดอย่างไม่เต็มใจ คล้ายๆ กับเป็นโรคสตอล์กโฮมซินโดรม แยกไม่ออกระหว่างความรัก กับคนรักของเธอที่เป็นฆาตกร คอยฆ่าคนเพื่อรูดทรัพย์ จนในที่สุดเธอก็เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดเต็มตัว บทบาทของเธอจะทำให้เรารู้สึกเห็นใจ และได้มุมมองใหม่ๆ ภายในเรื่อง แถมคนที่รับบทเป็นมารี อังเดร อย่าง เจนน่า โคลแมน เธอเป็นคนที่สวยและมีเสน่ห์มาก ยิ่งมองยิ่งละสายตาจากเธอไม่ได้ ในแต่ละฉากที่เธอออกมาก็คือดูดี ประกอบกับแฟชั่นยุค 70 เธอมีออร่าชวนหลงจริงๆ
นอกเหนือจากรายละเอียดของประเทศไทย พวกวัฒนธรรมต่างๆ รวมไปถึงความเน่าเฟะของระบบราชการตำรวจไทยในบางส่วน (การรับสินบน, ความล่าช้าในการทำงาน,เส้นสาย ฯลฯ) ก็ถูกนำเสนอตามความจริง ของผู้คนที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ด้วย และเขาก็เลือกนำเสนอได้ค่อนข้างดีทีเดียว อีกอย่างก็คือ มีดาราไทยหลายคนรับบทสมทบในเรื่องนี้ด้วย เช่นคิตตี้ ชิชา (แนนโน๊ะ)
เนื้อเรื่องที่ตัดสลับกับอดีต และปัจจุบัน พอมันค่อยๆ บรรจบกัน แค่ฉากการหนีออกนอกประเทศของเหยื่อคนหนึ่งก็ทำให้เรารู้หายใจไม่ทั่วท้องและตื่นเต้นอย่างมาก แต่กลับกัน พอถึงช่วงกลางๆ เรื่อง ความกดดัน หรือการดำเนินเรื่องเรารู้สึกได้ว่ามันแผ่วลงไป อาจจะเป็นเพราะความดราม่าที่ใส่เข้ามา จนเรารู้สึกว่ามันเป็นซีรีส์ ไม่ใช่เรื่องจริง 100% ตรงนี้เลยทำให้ขาดอรรถรสไปพอสมควรในช่วงกลางๆ แต่พอกลับมาในช่วงท้ายเรื่อง กับการตามล่าฆาตกร การร่วมมือระหว่างประเทศจนจับตัวเขาได้ก็จะกลับมาลุ้นและสนุก
ไม่เพียงแต่ซีรีส์จะถ่ายทอดเรื่องราวด้านการก่ออาชญากรรมของชาร์ล มารี และอาเจย์ผู้ช่วย พวกเขายังนำเสนอมุมมองเกี่ยวชีวิต และชีวประวัติ ว่าอะไร ที่หล่อหลอมให้ชายคนหนึ่ง กลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่โด่งดังที่สุดแห่งยุค ออกสื่อ และลอยหน้าลอยตาอยู่ได้พักหนึ่ง พอสลับมายังด้านของผู้ที่ตามล่าตัวชาร์ล ด้วยการสืบคดี อย่างคุณคนิปเพนเบิร์ก และเหล่าผองเพื่อนที่ช่วยเขาสืบหาคดี เราอาจจะรู้สึกว่ามันดูเป็นความดราม่าและแต่งเติมเกินไปในบางจุดจนเห็นได้ชัด และก็มีการข้ามบางส่วนเพื่อให้เรื่องกระชับมากขึ้น ตัวเรื่องตรงนี้เลยดูเป็นการโอเวอร์แอคติ้งในบางฉากไปเลย
อีกอย่างที่ต้องบอกคือ ซีรีส์เรื่องนี้คุยหลายภาษามาก ทั้งภาษาดัซต์ ฝรั่งเศส อังกฤษ ไทย อินเดีย เพราะตัวละครคือหลากหลายเชื้อชาติมาก แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหา
นี่คือซีรีส์ทุ่มทุนสร้าง ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของฆาตกรดังในอดีต พร้อมกับจำลองฉากหลังประเทศไทยในยุค 70’s ที่เก็บรายละเอียดแทบทุกเม็ด ทั้งลุ้น ตื่นเต้น กดดัน นำเสนอหลายมุมมองของคนที่เกี่ยวข้องกับคดีจริง แม้ว่าบางช่วงการดำเนินเรื่องอาจจะแผ่ว หรือบางตอนอาจจะมีการเสริมเติมแต่งจนเห็นได้ชัด แต่โดยรวม การได้เห็นกรุงเทพในอดีต ผ่านสายตาของชาวต่างชาติก็เป็นอะไรที่น่าประทับใจ และคุ้มค่าแก่การดู
รับชม The Serpent นักล่าอสรพิษ ได้ทาง Netflix แล้ววันนี้
อ่านรีวิวหนัง/ซีรีส์อื่นๆ ได้ที่นี่