รีวิว The Umbrella Academy ซีรีส์ฮีโร่สุดแปลก เด็กบ้านแตกกับการเดินทางข้ามเวลา ที่ดูจบแล้วต้องพูดว่า อิหยังวะ?
THE UMBRELLA ACADEMY
สรุป
เป็นอีก 1 ซีรีส์ที่มีความเป็นเอกลักษณ์สูงมาก ชอบก็ชอบมาก ไม่ชอบก็เกลียดไปเลย
Overall
7/10User Review
( votes)Pros
- เป็นซีรีส์ฮีโร่ที่แปลก แหวกแนว และมีเอกลักษณ์เฉพาะแบบสุดๆ
- เอเลน เพจ กลับมารับบทฮีโร่ที่มีด้านดราม่าที่หนักหน่วง
- การแสดงของโรเบิร์ต ซีฮาน และไอเดน กัลลาเกอร์ มีเสน่ห์มากๆ
- ดราม่าครอบครัวจัดเต็ม เจ็บจี๊ด
Cons
- การดำเนินเรื่องค่อนข้างอืดอาด ยืดยาด
- โยนประเด็นยิบย่อยมาให้คนดู แต่ไม่มีการอธิบาย
THE UMBRELLA ACADEMY ซีรีส์ฮีโร่สุดแปลก เด็กบ้านแตกกับการเดินทางข้ามเวลา ที่ดูจบแล้วต้องพูดว่า อิหยังวะ?
แรกเริ่มเดิมที The Umbrella Academy คือคอมมิคของค่าย Dark Horse Comics ค่ายเดียวกับที่วางจำหน่าย Hell Boy นั่นล่ะครับ อีกเรื่องที่น่าจะรู้จักกันดีของค่ายนี้คงเป็น The Mask หน้ากากเทวดา (ไม่รู้กันล่ะสิว่าหน้ากากเทวดามันเคยเป็นหนังสือการ์ตูน!) เอกลักษณ์ของฮีโร่ค่ายนี้คือ เหล่าตัวเอกจะมีด้านมืดหรือปมบางอย่างที่มาจากสังคม ไม่ว่าจะเป็นสังคมภายนอก และครอบครัว รวมถึงเรื่อง ดิอัมเบรลล่า อคาเดมี นี้ด้วย ซึ่งจริงๆแล้ว ก่อนที่จะมาเป็นซีรีส์ เรื่องนี้ได้ถูกพยายามนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนต์หลายครั้งหลายหนมากๆ แต่ไม่สำเร็จ จนได้มาเป็น Original ของทาง Netflix และสตรีมมิงเมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
เรื่องย่อของ The Umbrella Academy
ปี 1989 จู่ๆผู้หญิงทั่วโลกตั้งท้องแล้วคลอดลูกพร้อมกันในวันเดียวกัน 43 คน คืออยู่ดีๆ ก็ท้องป่องปุ๊บ คลอดปั๊บ แบบไม่มีสาเหตุ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องหลัก
มีเศรษฐีชื่อว่า เรจินัลด์ ฮาร์กรีฟ ได้รับอุปถัมป์ เป็นพ่อเด็กที่เกิดอย่างปริศนาพวกนั้นได้ 7 คน แต่ละคนมีหมายเลขประจำตัวคือ 1-7 และเด็กพวกนั้นมีพลังพิเศษต่างกันออกไป เรจินัลด์ได้ตั้ง The umbrella academy ขึ้นมาเพื่อฝึกเหล่าเด็กๆที่มีพลังพิเศษให้ช่วยเหลือโลก และนั่นก็ยังไม่ใช่พล็อตเรื่องหลัก (ห้ะ?)
ด้วยสาเหตุหลายๆอย่าง พอเด็กๆพวกนั้นโตขึ้น ก็ได้แยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของตัวเอง เรียกง่ายๆคือ บ้านแตก ครอบครัวแตก เป็นเวลากว่า 17 ปี แต่แล้ววันหนึ่ง ทั้ง “5” คนก็ได้ข่าวการตายของพ่อ จึงได้กลับมารวมตัวกันที่บ้านอีกครั้ง เพื่อร่วมงานศพ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องหลัก (ห้ะ?)
ที่บอกว่าทั้ง 5 ได้กลับบ้าน แต่จริงๆแล้วมี 7 คน ก็เพราะว่า หมายเลข 6 ได้เสียชีวิต และหมายเลข 5 ได้หายตัวไปตั้งแต่ 17 ปีก่อนการตายของพ่อ (หมายเลข 5 มีพลังกระโดดวาปไปมาระว่างที่ได้ และสามารถกระโดดวาปข้ามเวลาได้ด้วย) แต่แล้วในระหว่างที่กำลังไว้อาลัยให้คุณพ่อ จู่ๆ หมายเลข 5 ก็หล่นตุ้บลงมาจากฟ้า พร้อมกับบอกว่า จะถึงคราวอวสานของโลก (ห้ะ?)
เหล่าพี่น้องอัมเบรลล่าอคาเดมี่ต้องร่วมมือร่วมใจกันเพื่อพิทักษ์โลก และหาสาเหตุการตายของพ่อ ให้ได้?
สิ่งที่เล่ามาข้างบนนั้น งงมั้ยครับ คือ ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน เพราะประเด็นสำคัญมันโยนมาหาคนดูพร้อมๆกัน และมันยังมีเรื่องราวต่อจากนี้ที่เป็นเนื้อเรื่องหลักอีกอันนึง นั่นก็คือ การที่หมายเลข 5 เดินทางข้ามเวลาได้ แล้วมันก็มีองค์กรลับที่คอยจัดการกับเส้นเวลาให้เป็นไปดั่งกระแสที่มันควรจะเป็น มาเป็นตัวร้าย หรือดี? หรือ อะไรไม่รู้แหละ แต่บอกเลยนะ พล็อตเรื่องหลายๆอย่าง มันน่าสนใจมากๆ แต่ก็งงมากๆในเวลาเดียวกัน?
ในตอนที่ 1 The Umbrella Academy จะนำพาทุกคนไปรู้จักว่า ตัวละครแต่ละคนคือใคร มีนิสัยเป็นยังไงบ้าง “แต่” ไม่บอกพลัง ว่าหมายเลขอะไร ทำอะไรได้บ้าง มีพลังอะไร ให้ไปดูเอาเองในซีรีส์ ซึ่งมันทำให้เราไม่เข้าใจ และไม่อินไปตามตัวละครเท่าไหร่
การดำเนินเรื่องอันแสนยืดยาด ค่อยๆ ปูเรื่อง พร้อมกับโยนปมต่างๆ มาตลอดเวลา ทำให้เราเกิดความสัยสัยว่า มันจะเกิดอะไรขึ้นต่อ? แถมการโยนปมหลายๆอย่าง เมื่อเรื่องราวในซีรีส์ดำเนินไป มันไม่เฉลยปมซะอย่างงั้น
เอาจริงๆแกนหลักของเรื่องอีกอย่างหนึ่ง ที่มันโยนมาให้เราทั้งซีซั่นเลยก็คือ “ปัญหาครอบครัว” ใช่แล้ว ซีรีส์เรื่องนี้มันจะออกแนว BAD JOKE (ตลกร้าย) มันจะมีกลิ่นอายของหนังประเภท no country for old men นิดๆ ผสมกับหลายๆอย่าง แต่หลักๆก็คือ ปมปัญหาชีวิตวัยเด็กของแต่ละตัวละครที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบสมัยเก่า คุณพ่อหัวแข็งที่เข้มงวดกลับลูกๆ แบบสุดโต่ง ส่งผลร้ายต่อเด็กที่โตมาอย่างไร เช่น No.1 ที่ควรจะเป็นผู้นำ กลับตัดสินใจอะไรไม่เรื่องเลย No.4 ติดยา ฯลฯ
รายละเอียดยิบย่อยที่ซีรีส์โยนเข้ามาพร้อมๆ กัน มันเยอะเกินไป กว่าเราจะเริ่มเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างแล้วก็ปาเข้าไป 5 ตอน นั่งดูห้าชั่วโมงเลยนะเฮ้ย ครึ่งซีซั่น ปมเปิดเรื่องที่น่าสนใจอย่าง ปริศนาการตายของพ่อก็ถูกแก้ลงแบบ ห้ะ? แค่เนี้ยนะ แล้วก็โยนปัญหาใหม่อย่างวันสิ้นโลกมาในตอนที่ 6 เสร็จแล้วซีรีส์ก็โยนพล็อตเรื่องการเดินทางข้ามเวลามาหักล้างเรื่องราวก่อนหน้านี้แบบ ห้ะ?
เรื่องราวของพลังแต่ละคนก็ไม่ชัดเจน เช่น ทำไม No.1 ถูกเรียกว่าสเปซบอย และ No.3 พลังของนางคือพูดสะกดจิตคน ซึ่งเราแทบจะไม่เห็นการใช้พลังนี้ในเรื่อง ทำให้เราไม่รู้ว่าพลังของเธอส่งผลกับเรื่องราวยังไง ยิ่งพลังของ No.4 คุยกับคนตายได้ กว่าเราจะเห็นว่าพลังนี้มันเทพแค่ไหนก็ปาเข้าไปตอนจบซีซั่นแล้ว
มีตัวละครพิเศษตัวนึง คือ หมายเลข 7 วานยา แสดงโดย เอเลน เพจ เป็นเหล่าพี่น้องผู้มีพลังพิเศษ ที่เกิดวันเดียวกัน แต่กลายเป็นว่า No.7 ไม่มีพลังอะไรซักอย่างเลย นี่ก็เป็นอีก 1 ปมที่ในเรื่องใส่มา กว่าจะดูถึงตอนที่สนุก ๆ กว่าที่ปมมันจะถูกคลายลง ก็ปาเข้าไปถึงตอนที่ 8 แล้ว ซีรีส์มันดำเนินเรื่องอืดอาด ยืดยาด มัวแต่เสียเวลาไปกับอะไรไม่รู้ แต่มันก็ช่วยให้เราเข้าใจเหตุการณ์ในโลกของมันได้ดีขึ้นอีกนิดนึง เพราะอย่างที่บอก มันทิ้งปมไว้เยอะ แก้แค่บางอย่าง แล้วปล่อยให้เรานั่งงงและสงสัยไปตลอดจนจบซีซั่นนั่นแหละ
ถ้าซีรีส์มันปูเรื่องปมสำคัญๆ ของแต่ละตัวละครให้คนดูลุ้น เอาใจช่วย มันจะเพอร์เฟคมาก ลุ้นว่าจะใช้พลังของแต่ละครแก้ไขปัญหายังไง มันจะดีมากๆ ซึ่งในเรื่องนี้ไม่มีเลย มีแค่ทิ้งปมไว้ให้สงสัยและนั่งงงเท่านั้น
แม้มันจะเป็นซีรีส์ที่ชวนงง แต่พล็อตเรื่องต่างๆ ที่มันถูกโยน ถูกยัดเข้ามารวมๆกัน ประกอบกับความงี่เง่าของแต่ละตัวละคร มันทำให้เราฉงน สงสัย และต้องดูมันให้จบว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ที่ผมดูต่อจนจบเพราะความสัยสัยล้วนๆ ไม่งั้นผมดรอป ไม่ดูกลางเรื่องไปแล้ว อีกอย่างที่ทำให้อยากดูต่อก็คือ การแสดงของ No.5 ที่แสดงโดยไอเดน กัลลาเกอร์ เป็นเด็กที่แสดงดีมากๆ ขนาดเป็นผู้ชาย ดูน้องไปยังต้องบอกว่าหล่อและแสดงดี อีกคนนึงคือ No.4 เคลาส์ ตัวละครขี้ยาที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ แถมยังเป็น LGBT อีก เป็นตัวละครที่โคตรมีเสน่ห์ ตัวละครนี้ทำให้นึกถึงแจคสแปร์โรว์ใน ไพเรทออฟเดอะแคริเบี้ยน เมายาตลอดเวลา ฮาดี แต่สาเหตุที่เมายามันมีที่มาที่ไป ต้องหาดูในเรื่องเอง
คือ โดยรวมแล้วมันเป็นซีรีส์ฮีโร่เรื่องนึงที่แปลก แบบ แปลกมากๆ ไม่รู้จะเอาไปเทียบกับเรื่องไหน หรือจัดมันอยู่ในหมวดอะไร เพราะว่าเรื่องนี้สามารถเอาเข้าไปอยู่ในหมวด ฮีโร่/ดราม่าครอบครัว/เดินทางข้ามเวลา/องค์กรลับ/นักฆ่า/คดีปริศนา/วันสิ้นโลก/พลังพิเศษ/ตลกร้าย อีกสารพัด ก็เลยต้องขอบอกว่า มันมีเสน่ห์ในแบบของตัวมันเองอ่ะนะ
ถ้าใครที่ชอบเรื่องนี้ ก็จะชอบไปเลย ถ้าใครทนการดำเนินเรื่องที่อืดอาด ยืดยาด ชอบดูฮีโร่ที่เนื้อหาเข้มข้น แอคชั่นมันส์ๆจัดเต็ม ผมขอให้ข้ามเรื่องนี้ไปให้ไกล
คะแนนโดยรวม
เต็ม 10
ลบ 2 คะแนน การดำเนินเรื่องที่อืดอาด ยืดยาด ดำเนินเรื่องยิบย่อยไปพร้อมกับเรื่องหลัก
ลบ 3 คะแนน ให้กับการวางปมที่ดี แต่ไม่ได้รับการสานต่อ แถมยังไม่คลายปมที่วางไว้ ไม่ก็คลายปมของเรื่องแบบที่ต้องร้องว่า ห้ะ?
+ 1 ให้กับการแสดงของโรเบิร์ต ซีฮาน และ ไอเดน กัลลาเกอร์
+ 1 คะแนน ให้กับตอนจบซีซั่น สนุกมากจริงๆ รู้สึกสนุกแค่ตอนสุดท้าย
รวม 7/10 คะแนน
ถ้าใครอยากดูอะไรแปลกๆ ก็เชิญเรื่องนี้ ปัจจุบันมี 1 ซีซั่น และกำลังจะมีซีซั่นสองเร็วๆนี้ รับชมได้ทาง NETFLIX เลยครับ
ถ้าถามว่าสนุกไหม สนุกนะ โดยเฉพาะตอนสุดท้าย สนุกจริงๆ แต่กว่าจะสนุกก็เล่นเอาตอนจบซีซั่นเลยเหรอ 9 ตอนที่ผ่านมาทำไมมันไม่ทำให้สนุกแบบตอนสุดท้าย ถ้าหากว่าทุกๆตอนในซีรีส์สนุกเหมือนตอนสุดท้าย ผมคงให้คะแนนเยอะกว่านี้