รีวิว The Witcher Season 2 ขยายจักวาล สานต่อความมันส์
The Witcher Season 2
สรุป
ซีซั่นที่สอง คุ้มค่าแก่การรอคอย ขยายจจักวาล ขยายเรื่องราว โมเมนต์ที่น่าจดจำของตัวละคร การเดินทางค้นพบตัวตนที่แท้จริงของสิริ และจักรวาลเดอะวิทเชอร์ ฉากแอ็กชั่นและอสูรที่โผล่มามากขึ้น กลบข้อด้อยซีซั่นที่แล้วเกือบหมด ขาดเพียงอย่างเดียวที่จำนวนตอนน้อยไปหน่อยกับเรื่องราวที่ใหญ่มากขนาดนี้ นี่คือซีรีส์มหากาฬแฟนตาซีที่กล้าพูดได้เลยว่าอาจจะเทียบชั้นกับเกมออฟโทรนได้เลย
Overall
9.5/10User Review
( votes)Pros
- ไม่ชวนงงแบบภาคแรก
- แอ็กชั่น ดุดัน เพิ่มขึ้น มันส์กว่าเดิม
- เรื่องราวการเมืองต่างๆ เข้มข้นขึ้น
- ขยายจักรวาล ความแฟนตาซีขึ้นไปอีกขั้น
- เยนเนเฟอร์น่ารัก
- มีเสียงพากย์ไทย
Cons
- 8 ตอนกับเรื่องราวมหากาฬ ค่อนข้างจะน้อยไปหน่อย
The Witcher ซีรีส์ที่ Netflix สร้างจากนิยายและเกมชื่อดัง กับ Season 2 ที่ทวีคูณความเข้มข้น และกลบจุดอ่อนของซีซั่นที่แล้วอย่างการเล่าเรื่องที่ชวนงง ให้กลายเป็นการเปิดทางไปสู่เรื่องราวและตำนานบทใหม่ๆ ของจักรวาลนักล่าจอมอสูร
ตัวอย่าง The Witcher Season 2
รีวิว The Witcher Season 2
มีการเปิดเผยเนื้อหาในซีซั่นแรก ถ้ายังไม่ได้ดู อ่านรีวิวได้ที่นี่
ตั้งแต่การเปิดตัวซีรีส์จากเกมเรื่องนี้ในปี 2019 ผลตอบรับออกมาก็ดีมากจนได้รับการขนานนามว่าเทียบชั้นได้กับ Game of Throne ซึ่งเอาจริงๆ ซีซั่นแรกยังถือว่าไม่ชัดเจนเท่าซีซั่นนี้ เพราะเรื่องราวต่างๆ ได้ขยายเพิ่มมากขึ้น พร้อมทั้งเหล่าอสูรที่โผล่ออกมาให้กับวิทเชอร์ได้ล่าเพิ่มมากขึ้นด้วย
เล่าย้อนสักเล็กน้อยในเนื้อหาภาคก่อนหน้าให้เข้าใจตรงกัน แกรอลท์ นักล่าอสูรที่มาจากการทดลองกลายพันธ์ ได้รับบุญธรรมเจ้าหญิง ซิริลา ที่ต้องรกหกระเหินไปทั่วแดนพร้อมกับพลังลึกลับบางอย่างในตัวเอง สาเหตุที่เธอต้องร่อนเร่ก็เพราะว่าทหารจากแคว้นนิฟการ์ด บุกโจมตีเมืองซินทราของเธอ และสิริ ต้องการที่จะแก้แค้นที่ครอบครัวของเธอถูกฆ่าตาย
เรื่องราวในภาคนี้จะเล่าถึงในส่วนที่คนอาจจะมองข้ามไปในซีซั่นที่แล้ว เมื่อสิริหนีจากการตามล่า พลังในตัวของเธอตื่นขึ้นจนทำให้ โมโนลิท หรือเสาหินลึกลับที่ตั้งตระหง่านหลายพันปี ล้มลงจนเกิดแผ่นดินแยก ซึ่งแท้จริงแล้วเสาหินนี้มีความลับที่เกี่ยวข้องกับพลังของเธอซ่อนเอาไว้อยู่อย่างคาดไม่ถึง
ในอีกด้านหนึ่ง เรื่องราวในโลกเดอะวิทเชอร์จะตั้งอยู่ใน The Continet หรือมหาทวีป แคว้นนิฟการ์ดที่อยู่ทางตอนเหนือก็พยายามยึดครองเมืองต่างๆ ซึ่งภาคนี้ก็จะมีเรื่องราวการเมือง ความสัมพันธ์ต่างๆ ที่อาจจะต้องใช้การติดตามและทำความเข้าใจเกี่ยวกับมันมากสักหน่อย ซึ่งมันจะโผล่มาหลาย faction มากขึ้น ทั้งเรดเดเนีย เหล่าจอมเวทอเรทูซา นิฟการ์ด และบทบาทสำคัญในภาคนี้ก็คือเรื่องราวของเผ่าพันธ์ เอลฟ์ ที่ถูกเหยียดชาติพันธ์ จนต้องกลายเป็นเหมือนชนเผ่าเร่ร่อน
เราจะเห็นว่าภาคนี้ ได้ขยายเรื่องราวในโลกของซีรีส์มากยิ่งกว่าภาคแรกค่อนข้างมาก และสิ่งที่ทำได้ดีมากในภาคนี้คือการอธิบาย ที่มาที่ไปของหลายๆ อย่าง ที่ไม่ได้บอกไว้ในซีซั่นแรก หรือบอกเพียงผิวเผิน เช่น เราจะได้เห็นว่าการกลายเป็นวิทเชอร์ คืออะไร หรือเรื่องราวของการรวมจักวาล Conjuction of Sphere มันมีผลกระทบอะไรตามมา
การดำเนินเรื่องจะไม่ชวนงงแบบภาคแรก ที่ตัดสลับไทม์ไลน์แต่ละช่วงเวลาจนกลายเป็นจิ๊กซอว์ทำให้คนดูงง ในภาคนี้จะเริ่มหลังจบการต่อสู้ที่ซอดเดน เยนเนเฟอร์ผู้สูญเสียพลังเวทมนต์ถูกจับตัวไป องค์หญิงสิริลาก็ได้มาพบกับแกรอลท์ พ่อบุญธรรมของเธอ และเริ่มออกเดินทางเพื่อหาทางควบคุมพลังในตัวจนได้พบกับเรื่องราวที่มันยิ่งใหญ่และบานปลายเกินกว่าที่ แกรอลท์ จะจินตนาการได้ ซึ่งมันจะเล่าไปเรื่อง การดำเนินเรื่องจะเป็นเส้นตรงขนานกันไปในแต่ละเหตุการณ์ ดูง่ายกว่าเดิมเยอะมาก
ถ้าหากว่าใครที่เป็นแฟนเกม หรือแฟนนิยาย อยากได้เห็นการผจญภัยปราบปีศาจ ที่จะนำเสนอความสีเทาๆ ของโลกใบนี้ เหมือนกับการเลือกตัดสินใจในเกม ที่มันอาจจะไม่ได้มีผลลัพท์ที่ดีที่สุด หรือการจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง ภาคนี้ก็ได้เลือกนำเสนอมันออกมา 1 ตอนเต็มๆ ทั้งการเล่าเรื่องราว การปราบปีศาจที่ต้องบอกเลยว่าแฟนเกมฟินแน่นอน แต่เสียดายที่มันนำเสนอแบบนี้เพียงแค่ตอนเดียว
ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยในภาคนี้ นั่นก็คือการเปลี่ยนบทบาทสำคัญของตัวละครหนึ่งอย่าง เอสเกล Eskel ที่เป็นตัวละครสำคัญทั้งในนิยายและในเกม เพราะเขาคือ 1 ในเพื่อนที่สนิทมากๆ ของตัวเอกอย่างแกรอลท์ และเป็นคนที่ช่วยฝึกสอนการต่อสู้ให้กับสิริ ตรงนี้อาจจะทำให้แฟนนิยายกับแฟนเกมรู้สึกตะขิดตะขวงใจบ้าง และเพื่อนวิทเชอร์คนอื่นที่สำคัญๆ อย่างแลมเบิร์ท หรือโคเวนที่คุ้นเคยกันดี ก็ไม่ยังไม่ค่อยมีบทบาทสำคัญ แต่การที่เขาเปลี่ยนบทบาทแบบนี้มันมีเหตุผล
เพราะว่าตัวซีรีส์นั้น ต้องการเล่าและนำเสนอความพิเศษของสิริ ในอีกแบบหนึ่ง หวยมันเลยมาออกที่ตัวละครนี้ ซึ่งมันก็ได้ผลค่อนข้างดี เพราะมันเป็นการขายเรื่องราวในจักรวาลเดอะวิทเชอร์และอธิบายเรื่องราวของ ปีศาจประหลาดที่มาจากประตูมิติที่ไล่ตามเยนเนเฟอร์ และอื่นๆ ได้หลายเรื่องเลย
และที่น่าจะสะใจมากๆ ในภาคนี้คือ เหล่าอสูรที่โผล่ออกมามากขึ้น แอ็กชั่นและความแฟนตาซีเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว แถมยังมีเซอร์ไพรส์ด้วยความเฮอเร่อชวนขนลุกในตอนที่ 1 ที่ต้องบอกเลยว่า อาจจะเป็นภาพติดตามสำหรับคนกลัวผีเลยทีเดียว ติดอยู่อย่างเดียวก็คือ ตัวซีรีส์ไม่ได้เล่าถึงว่าปีศาจตัวนั้น คืออะไร ความสามารถแบบไหน เช่น บรูกซา ในซีรีส์ก็บอกว่าแค่เป็นบรูกซา ถ้าให้เจาะจงละเอียดกว่านั้นคือแวมไพร์ประเภทหนึ่ง แปลงกายและใช้คลื่นเสียงได้ ทำให้มอนสเตอร์ตัวอื่นๆ ที่โผล่มาหลายตัว ไม่ได้มีรายละเอียดเกี่ยวกับมันเท่าไหร่ มีเพียงแค่ตัวสำคัญๆ ที่ยังพอมีแบคกราวน์ให้คนที่ไม่เข้าใจ ได้รู้เรื่องมากขึ้น
เฮนรี่ คาวิล รับบทเป็นแกรอลท์ได้อย่างเข้าถึง ทั้งนำเสียง การต่อสู้ หลายๆ อย่างที่เหมาะสมกับบทบาท ตัวของเยนเนเฟอร์ ก็ดูสวยและน่ารักขึ้นกว่าซีซั่นก่อนมาก แต่แคสติ้งบทบาทอื่นๆ สำหรับบางตัวละคร อย่าง ฟรินจิลลา แม่มดที่ทำงานให้กับนิฟการ์ด แม้เธอจะแสดงดี แต่ต้องบอกว่าเธอยังไม่สามารถดึงเสน่ห์ของตัวละคร หรือสร้างภาพจำได้เท่าที่ควร ส่วนบทบาทใหม่ๆ อย่างดิกสตราจ์ หรือแม่มดฟิลิปา มีเซอร์ไพรส์ให้ในตอนสุดท้ายของเรื่องด้วย จำตาดูให้ดี
ตัวละครที่รักของคนดูอย่าง แจสเคียร์ นักกวีที่ยังคงกวนส้นเท้าและมีเพลงเพราะๆ ให้คนดูฟัง แต่อาจจะไม่ติดหูเท่ากับโยนเหรียญให้วิทเชอร์ แต่ละฉากที่เขาโผล่ออกมาก็สร้างสีสันไม่ใช่น้อย น่าเสียดายนิดหน่อยที่ภาคนี้ บทบาทของเขาน้อยลงไป
สิ่งที่ทำให้คนดูรู้สึกว่าซีรีส์เรื่องนี้ยังไม่โอเคเท่าที่ควร ก็คือจำนวนตอน กับเรื่องราวที่ไม่ค่อยสัมพันธ์กัน เพราะว่า 8 ตอน ตอนละ 1 ชั่วโมง กับเรื่องราวมหากาพย์ที่ใหญ่มากๆ มันไม่พอที่จะให้นำเสนอในเวลาแค่นี้ เพราะฉะนั้นมันก็เลยทำให้คนดู ต้องตั้งตารอซีซั่นที่สาม กับมหากาพย์เรื่องราวการเดินทางของเดอะวิทเชอร์ แกรอลท์ กับสิริ ต่อไป
นอกจากนี้ จะมีภาคแยกที่ขยายจักรวาลโลกของเดอะวิทเชอร์ เป็นซีรีส์ในชื่อว่า The Witcher Blood Origin อีกด้วย ใครที่เป็นแฟนๆ ก็เตรียมตัวรอไว้เลย
กล้าพูดได้เต็มปากว่านี่คือซีรีส์แฟนตาซีที่จะยิ่งใหญ่อีกเรื่องหนึ่งของยุค หลังจากเกมออฟโทรน แต่ทว่าความแฟนตาซี ที่มันแฟนตาซีแบบจ๋าๆ เรื่องราวหรือสิ่งที่เรียกว่า Lore มันเยอะมากๆ มีทั้งภาคนิยาย ทั้งเกม และอื่นๆ ยิ่งสำรวจก็จะยิ่งเหมือนหลุดลงไปในโพรงกระต่าย คนดูที่ไม่ได้ถนัดเรื่องราวแนวแฟนตาซีแบบนี้ อาจจะต้องทำความเข้าใจและศึกษากับมันมากหน่อย เรื่องราวในซีรีส์ที่มันเล่านั้น จะไม่ใช่การเล่าในสิ่งใหม่ๆ ที่ตัวละครเจอ แต่จะเป็นการเล่าในสิ่งที่โลกของเรื่องนี้มีอยู่แล้ว และจะยิ่งขายเรื่องราวให้ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ แน่นอน
ลืมบอกไปว่า สำหรับคนอ่านซับไม่ทัน ไม่ต้องกลัว เพราะว่าซีรีส์ฟอร์มใหญ่แบบนี้ มีพากย์ไทยคุณภาพให้รับชมกันด้วย
ซีซั่นที่สอง คุ้มค่าแก่การรอคอย ขยายจจักวาล ขยายเรื่องราว โมเมนต์ที่น่าจดจำของตัวละคร การเดินทางค้นพบตัวตนที่แท้จริงของสิริ และจักรวาลเดอะวิทเชอร์ ฉากแอคชั่นและอสูรที่โผล่มามากขึ้น กลบข้อด้อยซีซั่นที่แล้วเกือบหมด ขาดเพียงอย่างเดียวที่จำนวนตอนน้อยไปหน่อยกับเรื่องราวที่ใหญ่มากขนาดนี้ นี่คือซีรีส์มหากาพย์แฟนตาซีที่กล้าพูดได้เลยว่าอาจจะเทียบชั้นกับเกมออฟโทรนได้เลย
รับชม The Witcher นักล่าจอมอสูร Season 2 ได้ทาง Netflix แล้ววันนี้
อ่านรีวิวหนัง/ซีรีส์เรื่องอื่น ได้ที่นี่