playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Invisible Man – มนุษย์ล่องหน หนังสยองขวัญห้ามพลาด ปี 2020 (สปอยล์)

สรุป

ภาพยนตร์สยองขวัญผสมกับระทึกขวัญได้อย่างลงตัว การดำเนินเรื่องมีการความรู้สึกหวาดระแวงแก่เราอย่างต่อเนื่อง ตัวของ Elisabeth Moss ซึ่งรับบทเป็น Cecilia เธอสามารถแบกหนังได้เป็นอย่างดี อีกทั้งนี่คือผลงานยืนยันว่า Leigh Whannell มีความสามารถในการสร้างผลงานสยองขวัญเรื่องเยี่ยม แม้หนังจะไม่ได้ Perfect แต่บรรดาข้อเสียเหล่านั้น…มันไม่ได้ลบข้อดีการกลับมาใหม่ของอสูรกายตนนี้เลย ปรบมือให้ Universal เลยครับ Dark Universe Version ใหม่ของคุณได้ไปต่อครับ

Overall
7.5/10
7.5/10
Sending
User Review
4 (3 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • การถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้ดูสดใหม่ เข้ากับยุคปัจจุบัน
  • การผสมผสานระหว่างแนวสยองขวัญกับระทึกขวัญได้อย่างลงตัว
  • Elisabeth Moss ผู้รับบทเป็น Cecilia มีเสน่ห์อย่างน่าสนใจ จนเตรียมเป็นเสาหลักซีรีย์ชุดใหม่นี้ได้เลย
  • Leigh Whannell สามารถสร้างผลงานชั้นยอดตามรอย James Wan ได้สำเร็จ

Cons

  • เรื่องราวยังขาดความสมจริงในหลายส่วน
  • การเปิดเรื่องยังมีความอืดอยู่บ้าง หากทำมันกระชับได้คงดีกว่านี้
  • เสียดายที่หนังไม่ได้ไปไกลกว่าหนังสยองขวัญแบบขั้นคว้ารางวัลได้ เพราะหากเพิ่มประเด็นบางส่วนเข้าไปได้ มันจะกลายเป็นหนังสยองขวัญระดับ Iconic ได้เลย

ADBRO

หนังชุดใหม่ของ Dark Universe กับเรื่อง The Invisible Man (มนุษย์ล่องหน)  ว่าด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับ Cecilia ได้เลิกลากับคนรักของเธออย่าง Adrian ไป ทุกอย่างควรจะจบลงที่ความสัมพันธ์นั้น แต่แล้วขณะเธอกำลังใช้ชีวิตอยู่ มันให้ความรู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังตามหลอกหลอนเธอ มันมองไม่เห็น มันกำลังปั่นประสาทเธอ และมันกำลังเดินเกมการไล่ล่าครั้งใหม่นี้กับเธอ

ตัวอย่างภาพยนตร์ The Invisible Man มนุษย์ล่องหน 

ภาพยนตร์ซีรีย์ชุดใหม่ของ Dark Universe หลังความล้มเหลวของ The Wolfman(2010), Dracula Untold(2014) และ The Mummy(2017) ทั้งสามเรื่องล้วนเป็นหนึ่งในวิสัยทัศน์ที่จะขยายจักรวาลเช่นเดียวกับ Marvel และ DC แต่สุดท้ายมันได้เริ่มต้นใหม่เสมอ จากความล้มเหลวของเรื่องข้างต้น ในครั้งนี้ Universal เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ด้วยการเดิมพันครั้งสำคัญกับอสูรกายล่องหน โดยปรับเปลี่ยนให้ Blumhouse Production มาเป็นทีมงานสร้าง เปลี่ยนจากหนังทุนสูงในภาคก่อน กลับสู่รากเหง้าของต้นตำรับ อย่างหนังสยองขวัญทุนไม่สูงนัก ครั้งนี้ได้ผู้กำกับอย่าง Leigh Whannell เจ้าของผลงานเรื่อง Insidious Chapter 3 (2015) และ Upgrade (2018) มากุมบังเหียนกำกับให้ การเริ่มต้นใหม่ครั้งนี้จะเป็นอย่างไร มาอ่านกันเถอะครับ

TheInvisibleMan

สำหรับความรู้สึกของผมนะครับ พบว่า…

เชี่ย!…มันลุ้นระทึกเป็นอย่างมากเลย มันคือการตีความเรื่องราวของมนุษย์ล่องหนให้ออกมาทันสมัยและสมจริงมากยิ่งขึ้น อีกทั้งเรื่องราวยังผสานด้วยวิสัยทัศน์การพาเรื่องราวออกมาได้อย่างลงตัว ใครจะคิดละครับ ว่าหากเรื่องราวของคนรักเก่าที่ควรจะจบลง แต่มันยังหลอกหลอนเราอยู่เสมอ มันหลอกหลอนจนทำให้เราแทบเป็นบ้าจากสถานการณ์ดังกล่าว สิ่งนี้ไม่ได้ไล่ล่าโดยที่ตัวเรามองเห็น แต่มันมาในสภาพตัวเรามองไม่เห็นเหมือนกำลังพบเจอกับวิญญาณ สิ่งนี้เองทำให้เรารู้สึกลุ้นระทึก หวาดกลัว หวาดระแวงบรรยากาศอยู่เสมอ

The Invisible Man
บรรยากาศน่าขนหัวลุก

สำหรับตัวละครอย่าง Cecilia ซึ่งรับบทโดย Elisabeth Moss บอกเลยว่าเป็นเดอะแบกของเรื่องนี้เลยละ เธอแสดงได้เหมือนกับคนกำลังหวาดกลัวกับสิ่งตรงหน้าได้เป็นอย่างดี แม้เรื่องราวจะพาให้สติแตกเสียเท่าไร แต่ก็พยายามควบคุมสติให้มันไม่พาเธอเสียสติไป การกระทำอันชาญฉลาด ทำให้ตัวละครตัวนี้มีความน่าเอาใจช่วยเป็นอย่างมาก หากภาพยนตร์สยองขวัญในตำนานอย่าง Halloween มี Laurie Strode เป็นหนึ่งในจุดขาย สำหรับเรื่องนี้ก็มี Cecilia นี่แหละ จะเป็นเสาหลักของซีรีย์ชุดนี้ต่อไป

สิ่งน่าชื่นชมที่สุด

สิ่งที่น่าชื่นชมที่สุด คงหนีไม่พ้นการเล่นอารมณ์ภายในเรื่องกับคำว่า ‘เล่นน้อย แต่ได้มาก’ หากเรารับชมภาพยนตร์อยู่นั้น เราจะพบได้เลยว่าฉากการปรากฏตัวของอสูรกายภายในเรื่องมีไม่เยอะมาก อสูรกายล่องหนมาในรูปแบบสิ่งลี้ลับมากกว่าฆาตกรทั่วไป ด้วยการเล่นสูตรการมองไม่เห็นนี้เอง มันทำให้เรื่องราวน่าขนลุกและน่าระทึกใจมากยิ่งขึ้น บรรยากาศความอันตรายที่มีมาอย่างต่อเนื่อง จนรู้สึกว่าไม่มีช่วงเวลาไหนที่เราปลอดภัยได้เลย เราจะพยายามหนีเท่าไร…แต่เหมือนมันก้าวทันและนำเราอยู่เสมอ สิ่งนี้เป็นเสน่ห์อย่างที่เลี่ยงไม่ได้เลยทีเดียว จนสุดท้ายนำพาไปสู่บทสรุปที่เหมือนตบฉาดเราอย่างแรง

เล่นน้อย แต่ได้มาก
เล่นน้อย แต่ได้มาก

นอกเหนือจากความน่าสะพรึงกลัวคุณภาพที่ได้รับแล้ว เรายังได้รับสารเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงแก่ผู้หญิงอีกด้วย เป็นเหมือนการปลุกกระแสให้รู้ว่าปัญหาความสัมพันธ์มันมีอย่างต่อเนื่อง มีสามีทำร้ายภรรยาตัวเอง รวมถึงบงการชีวิตจนขาดอิสระภาพอยู่บ่อยครั้ง นี่จึงเป็นหนึ่งในหนังที่เป็นมากกว่าเดิม…ในการพูดถึงสิทธิสตรีกลาย ๆ นี่จึงเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมมากเลยละ เพราะยังมีคุณค่าถึงสารที่ต้องการส่งต่ออีกด้วย

ความรุนแรงแก่ผู้หญิง
ความรุนแรงแก่ผู้หญิง

จุดด้อยที่สำคัญ

สำหรับข้อเสียของภาพยนตร์ แม้ว่า Leigh Whannell จะสร้างเรื่องราวออกมาได้อย่างน่าสนใจและทันสมัย แต่ข้อผิดพลาดคงหนีไม่พ้นความเมคเซ้นในหลายฉาก คิดว่าตัวละครควรจะทำมันได้ดีมากกว่านี้ เกิดเหตุการณ์แบบอีหยังวะในหลายฉาก ทั้งที่มันมีวิธีแก้ไขอยู่แต่ก็ไม่ดำเนินการต่อ ซึ่งมาคิดตามหลักแล้ว…หากแก้ไขมันเสียตอนนั้น เรื่องราวมันก็อาจดำเนินต่อได้ยากนัก อีกทั้งในช่วงเริ่มต้นเรื่องมีบางช่วงที่ปูบทค่อนข้างนานไปเสียหน่อย ส่งผลให้เรื่องราวกว่าจะสตาร์ทติดนั้นช้าเกินไป และความที่หนังเป็นหนังสยองขวัญผสมกับระทึกขวัญได้ดี แต่มันไม่ได้ไปไกลกว่าสองแนวนั้น หากมันมีการเล่นประเด็นเรื่องราวให้ดูเหมือนนางเอกหลอนไปเองมากกว่านี้ มันจะกลายเป็นหนังสยองขวัญจิตวิทยาด้วยอีกแนวหนึ่ง และเตรียมเป็น Movie Iconic ในอนาคตเฉกช่นเดียวกับ Hereditaries(2018) หรือ The VVitch(2015) ได้เลยละครับ

ผู้กำกับ Leigh Whannell
ผู้กำกับ Leigh Whannell
ตรงนี้จะเป็นสปอยล์เล็กน้อยนะครับ หากรับชมแล้วหรือไม่มีปัญหากับการสปอยล์ สามารถอ่านได้เลยครับ

สปอยล์เนื้อเรื่อง

ส่วนตัวผมมองว่าเรื่องราวมีความคล้ายคลึงกับการบอกเลิกกับความสัมพันธ์เก่า Adrian(มนุษย์ล่องหน) คือคนที่ยังรับกับเรื่องราวการทิ้งไปของ Cecilia ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงตามรังควาญหญิงสาวอย่างต่อเนื่อง ด้วยความฉลาดหลักแหลมของเจ้าตัวเอง มันทำให้เหมือนเธอได้พบเจอกับปีศาจที่ไม่สามารถมองเห็นได้ ด้วยการเล่าเรื่องให้เหมือนอสูรกายตนนี้เป็นเหมือนวิญญาณ สิ่งนี้ทำให้เรื่องราวออกมาน่าขนลุกมาก เกมไล่ล่ามีมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่การปั่นประสาทให้เหมือนเธอเป็นคนสติไม่ดี ทุกอย่างล้วนเดินไปตามเกมของ Adrian ไปเสียทั้งหมด แม้ทาง Cecilia จะพยายามทำอย่างไรก็ตาม ทุกก้าวล้วนถูกก้าวนำหรือเทียบเท่าเธออยู่อย่างเสมอ เริ่มตั้งแต่การปั่นประสาทโดยเริ่มจากรบกวนยามนอน, ส่งอีเมลล์สร้างความเกลียดชังไปให้น้องสาว, วางยากล่อมประสาท และตบหน้าหลานสาวของอดีตคนรัก สิ่งเหล่านี้เองทำให้คนภายนอกเริ่มเห็นว่าเธอสติไม่สมประกอบ ซึ่งมันคือการเดินเกมอย่างต่อเนื่องของ Adrian มันทำให้ดูทำร้ายหญิงสาวไปทั้งสภาพจิตใจ

อีกจุดที่น่าสนใจคืออสูรกายล่องหนนี้คือการที่มันไม่ได้เกิดจากน้ำยาทางวิทยาศาสตร์หรือการทดลอง แต่มันคือชุดล่องหน สิ่งนี้เองช่วยตอบข้อผิดพลาดในอดีตได้เป็นอย่างดี เพราะในสมัยก่อนมีคนมาแย้งว่าหากร่างกายโปร่งแสงจนหมด จะทำให้ตัวของมนุษย์ล่องหนตาบอด แต่นี่เมื่อเปลี่ยนกลายเป็นชุดแทน ความไม่สมจริงตามหลักวิทยาศาสตร์จึงหายไปทันทีครับ นี่จึงเป็นหนึ่งในทางออกที่ดีเยี่ยมเลยละครับ การแก้ไขข้อผิดพลาดในอดีตมันทำให้เรื่องราวออกมาดีมากยิ่งขึ้น

ในส่วนของข้อเสีย เราลองมาสังเกตนะครับ ทำไมตอนที่ Cecilia โดนส่งอีเมลล์ปลอมไปหาน้องสาว เธอไม่ใช้มือถือเปิดให้ดู และพูดกับน้องสาว อีกทั้งเหตุการณ์ที่เมคเซ้นเป็นอย่างยิ่งคือ…ตอนที่เธอกลับไปยังบ้านคนรักเก่า เธอได้เจอชุดมนุษย์ล่องหนแล้ว แต่ทำไมไม่นำกลับมาเลย มันจะเป็นหลักฐานตอนพูดกับตำรวจได้เลย อีกอย่างคือการที่มนุษย์ล่องหนตามเธอได้เสียทุกที่ มันตามจนเกินกว่าที่คนทั่วไปเดินทางได้ ลองคิดดูนางเอกนั่งรถเดินทางมา แต่อีกฝ่ายจะถึงจุดหมายในเวลาเดียวกับนางเอกอยู่เสมอ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมากเลยนะครับที่เป็นอย่างนั้น ผมว่าในจุดนี้…ถ้าพาหนังไปได้ไกลกว่าเดิม อย่างการเล่นประเด็นจิตวิทยาให้นางเอกเป็นบ้าไปเลย ความจริงไม่มีชุดสูทมนุษย์ล่องหนนั้น มันคงจะทำให้เรารู้สึกว้าวมากกว่าที่หนังแสดงออกมาเลยละ อารมณ์แบบเรื่องราวทั้งหมดมันเป็นเพียงจินตนาการของนางเอกเสียเอง ไม่ก็ตัดบทสรุปไปอยู่จุดที่ฆ่ามนุษย์ล่องหนได้พอ โดยให้มนุษย์ล่องหนตนนั้นเป็น Tom ก็ได้ ส่วน Adrian ก็ตายไปแล้ว เรื่องราวมันจะออกมาน่าสนใจกว่านี้ เพราะตอนจบเหมือนเพิ่มความสะใจให้ภายในเรื่องเท่านั้น

สรุป

The Invisible Man – มนุษย์ล่องหน ภาพยนตร์สยองขวัญผสมกับระทึกขวัญได้อย่างลงตัว นอกเหนือจากหนังทั่วไปที่เรามักได้รับจากสองแนวนั้น การดำเนินเรื่องมีการความรู้สึกหวาดระแวงแก่เราอย่างต่อเนื่อง การแสดงตนของอสูรกายแม้จะเห็นน้อย แต่ผลที่ได้รับกลับมากกว่าที่คาดหวังเอาไว้ เรียกว่าเรารู้สึกเหมือนดูหนังผีผสมกับฆาตกรต่อเนื่องเลยละ ตัวของ Elisabeth Moss ซึ่งรับบทเป็น Cecilia เธอสามารถแบกหนังได้เป็นอย่างดี เราจะรู้สึกเอาใจช่วยตัวละครตลอดเวลา และอยากให้ตัวละครเอาชนะมนุษย์ล่องหนให้ได้ อีกทั้งนี่คือผลงานยืนยันว่า Leigh Whannell มีความสามารถในการสร้างผลงานสยองขวัญเรื่องเยี่ยมตามรอย James Wan เพื่อนของเขาเป็นที่เรียบร้อย แม้หนังจะไม่ได้ Perfect นัก ในเรื่องของความสมจริงภายในเรื่อง รวมถึงแนวที่คงออกมาดีกว่านี้ได้ แต่บรรดาข้อเสียเหล่านั้น…มันไม่ได้ลบข้อดีการกลับมาใหม่ของอสูรกายตนนี้เลย ปรบมือให้ Universal เลยครับ Dark Universe Version ใหม่ของคุณได้ไปต่อครับ

ผลงานเปิดใหม่ของ Dark Universe
ผลงานเปิดใหม่ของ Dark Universe

 

ระดับความน่าชม : ต้องรีบไปรับชมวันแรก ๆ เลยละครับ เพราะนี่คือการกลับมาของอสูรกายล่องหนอย่างสมศักดิ์ศรี

สามารถฟังเพลงประกอบภาพยนตร์ได้ผ่าน Spotify : คลิกฟังที่นี่

รูปแบบ Podcast น่าจะลงไม่เกินวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ครับ สำหรับ The Coldest Game ไฟล์พังนะครับ : คลิกฟังที่นี่ตอนเก่าๆที่นี่

ติดตามรีวิวหนังในเว็บไซต์คลิกที่นี่

Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!