รีวิว Where We Belong ที่ตรงนั้น มีฉันหรือเปล่า – BNK 48 กับพล็อตที่ยอดเยี่ยม
Where We Belong ที่ตรงนั้น มีฉันหรือเปล่า
สรุป
บทหนังดีงามมากๆ เปิดประเด็นมากมายให้เราไปคิดต่อกันเองพอสมควร ที่พลาดไม่ได้เลยคือการแสดงของเหล่าเมมเบอร์ BNK48 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เจนนิษฐ์” + “มิวสิค” ประทับใจในศักยภาพของพวกเธอ อนึ่งต่อให้ไม่ใช่แฟนคลับ BNK48 ก็คุ้มค่าแก่การรับชมครับ
Overall
8/10User Review
( votes)Pros
- พล็อตที่ออกแบบมาได้เจ๋งสุดๆ
- การแสดงของ BNK48 ดีงามพระรามเก้า
- สอดแทรกมุขตลกและข้อชวนคิดกันได้อย่างลงตัว
- แอบแฝงประเด็นเสียดสีสังคมและการเมืองอย่างไม่มีอคติ
Cons
- ช่วงต้นดำเนินเรื่องได้เชื่องช้าจนน่าเบื่อ
- การนำเสนอสไตล์อินดี้ที่อาจไม่ถูกใจใครหลายคน
- ประเด็นบางอย่างที่รู้สึกบอกเล่าไม่ชัดเจน
- จำกัดโรงฉาย SF Cinema 50 ที่ ทำให้ยากต่อการเข้าไปรับชม
รีวิว : Where We Belong ที่ตรงนั้น มีฉันหรือเปล่า คือโปรเจ็กต์หนัง Official ของ BNK48 นำแสดงโดยเจนนิษฐ์ – เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ และ มิวสิค – แพรวา สุธรรมพงษ์ และเหล่าเมมเบอร์ BNK48 อีกหลายคนมาปลดปล่อยพลังการแสดงแบบจัดเต็ม พร้อมทั้งได้ผู้กำกับมากฝีมืออย่าง คงเดช จาตุรันต์รัศมี เจ้าของผลงานภาพยนตร์ชื่อดังก้องโลก อาทิ ตั้งวง, แต่เพียงผู้เดียว และ Snap แค่…ได้คิดถึง ด้วยคุณภาพของเนื้อหาที่ผู้กำกับอยากสะท้อนออกมาได้แยบยล ทำให้ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติมานับครั้งไม่ถ้วน
ซึ่งผู้เขียนขอบอกก่อนว่าไม่ได้เป็นแฟนคลับ BNK48 แม้แต่น้อย เอาตรงๆ กะจะมองข้ามหนังเรื่องนี้อยู่แล้วแหละ แต่พอไปดูรายได้ของหนังเปิดตัวในเพจ ชมรมวิจารณ์บันเทิง กลับปรากฏว่า Where We Belong ที่ตรงนั้น มีฉันหรือเปล่า ทำรายได้เปิดตัวมากกว่า รัก 2 ปี ยินดีคืนเงิน [อ่าน รีวิว ได้เลย] เป็นเท่าตัว ถือเป็นเรื่องที่น่าแปลกสำหรับหนังอินดี้ที่จำกัดโรงฉายเฉพาะ SF Cinema อยู่แค่ 50 ที่เท่านั้น เลยลองไปดูสักหน่อย ผลที่ได้คือมันยอดเยี่ยมมากๆ จึงมาเล่ากันให้ฟังครับ จะเป็นอย่างไรก็เข้าไปอ่านได้เลย [Update : ตอนนี้หนังได้นำมาฉายลงบน Netflix ในวันที่ 20 กันยายน ปี 2019]
เรื่องย่อ มันเป็นเรื่องราวของผู้หญิงสองคน คือ “ซู” (เจนนิษฐ์) และ “เบลล์” (มิวสิค) เพื่อนรักที่สนิทกันยิ่งกว่าเพื่อนสนิท แต่ก็ไม่เคยเป็นมากกว่านั้น เมื่อกาลเวลาล่วงเลยผ่านมาถึงช่วง ม.6 ซูไม่อยากจะรับสืบทอดกิจการร้านก๋วยเตี๋ยวในเมืองจันท์ [จังหวัดจันทบุรี] สับสนกับหนทางในอนาคตของตน จนอยากหนีไปที่ไหนสักแห่ง และโอกาสก็มาถึงเมื่อซูได้ทุนไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยฟินแลนด์ พร้อมลาขาดจากชีวิตอันแสนน่าเบื่อเสียที
ในขณะเดียวกันเพื่อนรักอย่างเบลล์ที่พอได้ทราบข่าวแล้วก็เต็มใจสนับสนุนซูอย่างเต็มที่ แม้ว่าในใจของตนนั้นไม่อยากที่จะเสียเพื่อนรักไปเลยก็ตาม ระหว่างที่เธอช่วยซูจัดกระเป๋าก่อนออกเดินทางนั้น เบลล์ได้ทำเช็กลิสต์เอาไว้ให้ซูสะสางเรื่องราวบางอย่างก่อนจากไป เพราะคิดว่าถ้าจากไปทั้งอย่างนี้คงต้องมาเสียใจในภายหลังแน่ๆ สุดท้ายแล้วความสัมพันธ์ของพวกเธอจะเป็นอย่างไรต่อจากนี้ ก็ขอให้ทุกคนไปดูกันต่อจากนี้เองนะครับ
ก่อนอื่นต้องยอมรับว่ามันคงเป็น Signature ของคุณคงเดชไปเสียแล้วสำหรับวิธีการนำเสนอด้วยการเล่าเรื่องแบบสมจริง ตั้งแต่การถ่ายภาพยนตร์ที่ไม่ตัดหรือไม่เปลี่ยนมุมกล้องแม้แต่น้อย ไร้ซึ่งดนตรีประกอบให้เราได้ฟัง รวมไปถึงปล่อยให้นักแสดงทุกคนเล่นไปตามบทบาทจนเสมือนกำลังพูดคุยกันอยู่จริงๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้องค์ประกอบของหนังมันดูเรียลมากๆ
เพียงแต่การเล่าเรื่องในช่วงแรกนั้นค่อนข้างช้าและมักค่อยๆ ทยอยปล่อยเบาะแสมาปะติดปะต่ออยู่ตลอดเวลา อาจทำให้คนดูรู้สึกว่าน่าเบื่ออยู่บ้าง ทว่าพอเราผ่านช่วงแรกของหนังมาได้แล้ว ช่วงกลางและช่วงองก์ท้ายข้องหนังก็หย่อนระเบิดอารมณ์ดราม่ามาไม่ขาดสาย แถมเบาะแสทั้งหมดที่ปล่อยมาตลอดทางนั้นถูกโยงใยเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยกันอย่างชาญฉลาด พร้อมกับตอนจบแบบปลายเปิดที่ให้ไปหาคำตอบกันเอาเองว่าต่อสิ่งที่เห็นมาทั้งหมดนี้เป็นอย่างไร
ในส่วนของการนำเสนอเนื้อหาของหนังเรื่องนี้ อย่างที่กล่าวไปในข้างต้นจะทำให้รู้สึกว่าจำเป็นต้องคิดวิเคราะห์อยู่ตลอดเวลา แต่ก็ยังไม่วายสอดแทรกมุขตลก (ร้าย) ปนเสียดสีสังคม – การเมือง เอาไว้เป็นประเด็นอันแยบยลคมคายให้คนดูได้ไปคิดต่อ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าหนังแนว Coming of Age [กำลังก้าวข้ามผ่านวัย] กล้านำประเด็นสังคม – การเมืองมาอภิปรายโดยไม่มีอารมณ์หรืออีโก้แม้แต่น้อย
ประเด็นสังคมและการเมืองของหนังเรื่องนี้จะคอยป้อนข้อมูลให้นำไปคิดอย่างมีเหตุมีผล เข้าใจมุมมองความเชื่อของแต่ละฝั่ง ถึงขั้นที่ทำเอาผู้เขียนรู้สึกว่าถ้าหยิบนำมาพูดอภิปรายให้ชาวไทยเข้าใจกันทั่วถึงแบบนี้ มันคงทำให้สังคมรู้สึกสงบสุขหรือไร้ซึ่งความขัดแย้งก็เป็นได้ ซึ่งจุดนี้ถ้าไม่ใช่คุณคงเดชล่ะก็ คงไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้ลึกซึ้งถึงขนาดนี้เลยล่ะครับ
ปิดท้ายกันในส่วนไฮไลท์ตัวเด็ดที่สุดของนักแสดงเหล่าเมมเบอร์ BNK48 ได้แก่ “เจนนิษฐ์” , “มิวสิค” และคนอื่นๆ ต่างถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครได้ธรรมชาติมากๆ ไม่ว่าจะทั้งสายสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนแก๊งหญิงเอย การใช้คำสบถที่หยาบคายออกมาเอย ความคิดของวัยรุ่นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเอย จนเรานึกว่ากำลังดูเรื่องราวเด็กต่างจังหวัดบ้านๆ กันเลยทีเดียวได้อย่างสมจริง
ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยที่ทุกคนจะสลัดคราบ ‘ไอดอล’ มักติดตามของทุกคนไปโดยสิ้นเชิง ต้องขอชื่นชมศิลปะการแสดงของเหล่าเมมเบอร์ BNK48 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เจนนิษฐ์” + “มิวสิค” ที่รับบทเป็นตัวเอกหลัะกของเรื่อง ผู้เขียนรู้สึกว่าสื่อถึงความหนักหน่วงของเรื่องราวต่างๆ ได้ดีทีเดียว ถึงกระนั้นคนอื่นๆ ก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน เพราะหากปราศจากตัวละครอื่นๆ ในการขับเคลื่อนแล้ว ตัวหนังคงไม่สามารถถ่ายทอดสิ่งที่ต้องการสื่อได้ถึงขนาดนี้ครับ
ต่อจากนี้ผู้เขียนจะขอสปอยประเด็น + เนื้อหาสั้นๆ สำหรับคนที่ไม่ได้เข้าไปดูนะครับ เพียงแต่ผู้เขียนจะขอโฟกัสตรงที่ ซู กับ เบลล์ เท่านั้น เนื่องจากถ้าให้เล่าหมดทุกประเด็นคงยาวเลยล่ะ ดังนั้นไว้ค่อยทำบทความสปอย์แยกอีกทีหนึ่งตอนช่วงหนังออกจากโรงแล้วกัน
สาเหตุที่ซูอยากไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในฟินแลนด์ เพราะตั้งแต่วันที่เเม่ของเธอจากไป จันทบุรีอันเป็นบ้านเกิดของเธอก็ไม่เคยเป็นที่ของตัวเอง เนื่องจากพ่อยอมมอบหัวใจของแม่ให้กับหมอที่ต้องการไปโดยไม่ฟังสิ่งที่ลูกขอร้อง เธอได้เก็บความรู้สึกที่กระอักกระอ่วนใจอยู่ตลอดเวลา จนแทบอยากหนีไปไกลให้พ้นๆ
ซูก็ได้แต่หวังว่า คนอื่นที่ยังอยู่ที่นี่ สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองโดยไม่มีเธอ ไม่ว่าจะทั้ง “ซัน” น้องชายเพศที่สามที่ต้องรับหน้าที่สืบทอดร้านก๋วยเตี๋ยวแทนเธอ “เบลล์” เพื่อนสนิทที่เธอไม่อาจให้ใจไปมากกว่านี้แล้ว “เก่ง” ชายที่เธอมีความรู้สึกดี ๆ กันมาก่อน เคยชินกับบ้านเกิดไปเสียแล้ว แม้แต่เเก๊งเพื่อนที่ไม่ว่าจะเรียนจบ, ทำงาน หรือเเม้แต่เเตกหักกันไปนานแล้วก็ตาม พวกเขาต่างมีชีวิตในแบบของตนเอง ถึงกระนั้นเธอก็อดสงสัยไม่ได้ว่าบนโลกใบนี้จะมีคนแบบพวกเขาบ้างหรือเปล่า
เพียงแต่พ่อของซูพยายามรั้งให้ซูอยู่ที่จันทบุรีต่อไป จึงหลอกลวงลูกสาวของตัวเองด้วยการนำร่างทรงมาแสดงเป็นวิญญาณของแม่เพื่อบอกว่า ‘มันจะต้องดีขึ้น’ แต่ท้ายที่สุดความจริงก็ปรากฏในภายหลัง เมื่อซูได้รับรู้ว่ามันเป็นเรื่องหลอกลวงก็ได้แต่เวทนาตัวเองกับชะตากรรมที่ถูกบีบบังคับให้อยู่ที่นี่ ซูจึงตัดสินใจที่จะออกไปจากวงจรอันแสนน่าหดหู่นี้เสียที โดยก่อนไปก็ล่ำลากับเบลล์เพียงคนเดียว พร้อมถือผ้าสีขาวเพื่อเดินทางไปหาสถานที่ของตน [ตรงนี้เป็นการจบปลายเปิดให้ไปวิเคราะห์กัน]
เพื่อนสนิทคนนึงที่อยากจะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของซู เธอมักช่วยเหลือซูทุกครั้ง รวมไปถึงเเก้ปัญหาต่างๆ ของกลุ่มเพื่อนเพื่อให้เจ้าตัวสบายใจ สามารถอยู่ในที่ที่ตัวเองตามใจต้องการ ในขณะเดียวกันเธอก็ต้องแบกรับกับปัญหาของแม่ผู้เป็นสาวออฟฟิศในกรุงเทพที่ใช้ชีวิตอย่างหรูหรา ประเคนของแพงให้เบลล์ตลอดเวลา โดยที่ไม่ได้ถามเธอเลยว่าต้องการหรือไม่ มิหนำซ้ำยังอยากให้เธอมาอยู่ด้วยที่กรุงเทพอีกด้วย
เบลล์ปฏิเสธคำชวนเชิญของแม่ตลอด เนื่องจากจันทบุรีมีหลายสิ่งที่เธอชอบเต็มไปหมด อาทิ การอาศัยอยู่กับคุณย่าอย่างสุขใจ เฝ้ามองดูคุณครูโอลิเวอร์ ชายชาวเยอรมันกลางคนผู้เป็นเป้าหมายหัวใจของเธอ แถมไหนเจ้าตัวจะต้องรอผลสอบเข้ามหาลัยอีก ทว่าเจ้าตัวกลับไม่รู้เลยว่าตนก็กำลังทำแบบเดียวกับแม่ที่เธอเกลียดนั่นแหละ
หากมองดีๆ เบลล์มักจะทำให้ทุกอย่างโดยที่บางครั้งซูก็ไม่ได้ขอ อีกทั้งให้ความสำคัญกับซูมากเกินไปจนไม่สนใจสิ่งรอบข้าง จนมาตระหนักในที่สุด ไม่ว่าตนจะทำสักเท่าไหร่ ซูก็ไม่มีทางได้อยู่ในจันทบุรีได้ตามที่เธอต้องการ เพราะปัญหา + บาดเเผลในใจของซู มันหยั่งลึกเกินกว่าที่เข้าไปช่วยเหลือได้แล้ว เบลล์ก็ได้แต่ทำใจยอมรับและใช้ชีวิตอยู่ต่อไป แม้ต้องปล่อยให้ซูเดินจากไปก็ตาม เพราะนั่นเป็นชีวิตของซูที่ตัดสินใจเลือกไปแล้ว
Where We Belong ที่ตรงนั้น มีฉันหรือเปล่า ถือเป็นหนังไทยน้ำดีที่เต็มไปด้วยพล็อตเรื่องและนัยยะประเด็นที่นำเสนออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เพียงแต่มันคงไม่ใช่หนังที่เหมาะกับทุกคน เพราะว่ากันตามตรงมันเป็นหนังที่เจาะกลุ่มคนดูเฉพาะทางพอสมควร ยิ่งไปกว่านั้นบางทีอาจถึงขั้นเบื่อหน่ายจนอาจต้องลุกออกจากโรงฉายเลยก็มี (อันนี้เจอกับตัว คนข้างๆ ลุกจากที่นั่งแล้วไม่กลับเข้ามาดูต่อ) ถึงกระนั้นผู้เขียนก็อยากโน้มน้าวใจให้คนที่เป็นแฟนคลับและไม่ใช่แฟนคลับ BNK48 ไปดูครับ ภาพยนตร์ดีๆ แบบนี้ใช่ว่าจะมีให้รับชมกันบ่อยๆ หากมีโอกาสก็ยังอยากไปดูซ้ำอีกรอบเลยครับ [อีกเดี๋ยวก็สามารถดูได้ผ่านทาง Netflix แล้วล่ะครับ]
เทรลเลอร์ Where We Belong
อ่านรีวิวหนังเรื่องอื่นได้ที่นี่
ติดตามผลงานผู้เขียนได้ที่นี่
Mr.T-Rat Jongjumruspun