หลังจากที่มีข่าวลือปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง ในที่สุด Redmi ก็ได้ปล่อยหมัดเด็ดด้วยการเปิดตัว Redmi Note 8 และ Redmi Note 8 Pro ภาคต่อของ Redmi Note 7 ที่เคยสร้างผลงานโดยการตีตลาดทั้งในและต่างประเทศ นับเป็นมือถือที่ยอดเยี่ยมที่สุดในบรรดามือถือราคาประหยัดตัวหนึ่ง
กลับมาครั้งนี้ Redmi ก็ได้ฝากผลงานชิ้นใหม่เป็นรุ่น Note 8 และ Note 8 Pro สองพี่น้องสมาร์ทโฟนระดับกลางสเปคจัดเต็ม ในราคาที่จับต้องง่าย ซึ่งในรุ่น Pro นั้นก็ได้มาพร้อมกับกล้องความละเอียดถึง 64 ล้านพิกเซล นับว่าเป็นรุ่นแรกของโลกเลยทีเดียว
Redmi Note 8
เริ่มต้นมาพร้อมชิปประมวลผล Snapdragon 655 SoC จาก Qualcomm ผลิตบนสถาปัตยกรรม 11nm เร็ว แรง ประหยัดไฟ ภายในชิปประกอบไปด้วยหน่วยประมวลผล Kryo 260 จำนวน 8 คอร์ โดยแบ่งเป็น 4 ตัวแรกมีความเร็วที่ 2.2 GHz cละอีก 4 ตัวที่เหลือเป็น 1.8 GHz
ในส่วนของกล้องหลังนั้นทาง Redmi ก็อัดมาให้อย่างจัดเต็มกับกล้องหลัง 4 ตัว โดยมีตัวหลักเป็น ISOCELL GM2 จาก Samsung ซึ่งมีความละเอียด 48 ล้านพิกเซล ส่วนที่เหลือเป็นเลนส์มุมกว้าง (ultra-wide-angle) ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล, เลนส์มาโคร 2 ล้านพิกเซล และตัวสุดท้ายเป็นตัวจับความลึก 2 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องหน้าความละเอียด 13 ล้านพิกเซล

ADBRO
ด้านหน้าจอมาพร้อมกับหน้าจอ LCD ขนาด 6.3 นิ้ว Full HD+ ซึ่งในจุดนี้ต้องบอกว่าน่าเสียดายที่ไม่ได้เป็นหน้าจอ OLED เนื่องจากทำออกมาให้มีต้นทุนน้อยที่สุด ทำให้การสแกนลายนิ้วมือยังคงใช้เซ็นเซอร์แยกออกไปอยู่ด้านหลัง ไม่ได้มีการฝังไว้ใต้หน้าจอแบบรุ่นอื่นๆในปัจจุบัน

นอกจากนี้ก็ยังมาพร้อมแบตเตอรี่ความจุถึง 4,000 mAh ซึ่งแน่นอนว่าความจุขนาดนี้ก็ต้องมาพร้อมกับระบบชาร์จไว 18W ผ่านช่อง USB-C สุดท้ายในเรื่องของราคาน้องเล็ก ต้องบอกว่าทำออกมาเพื่อตีตลาดสมาร์ทโฟนราคาย่อมเยาจริงๆ โดยมีราคาเริ่มต้นเพียงสี่พันนิดๆไปจนถึงห้าพันปลายๆ เพิ่มขึ้นไปตามละดับดังนี้
- รุ่นแรม 4/64GB ราคา 999 หยวน หรือประมาณ 4,277 บาท
- รุ่นแรม 6/64GB ราคา 1,199 หยวน หรือประมาณ 5,133 บาท
- รุ่นแรม 6/128GB ราคา 1,399 หยวน หรือประมาณ 5,989 บาท
มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีดำ, สีขาวและสี Dream Blue
Redmi Note 8 Pro
มาต่อกับพี่ใหญ่อย่างที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นมือถือตัวแรกที่เปิดตัวพร้อมกล้องความละเอียด 64 ล้านพิกเซล แต่ถึงอย่างนั้นสเปคด้านอื่นๆก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าแบรนด์อื่นๆเลย
สำหรับรุ่น Pro นั้นก็มาพร้อมหน้าจอ LCD ขนาด 6.53 นิ้ว Full HD+ ซึ่งในรุ่น Pro จะมาพร้อมกับขอบจอที่บางเฉียบ โดยขอบล่างมีความหนาเพียง 4.2 มิลลิเมตรเท่านั้น

จุดแตกต่างที่จะสังเกตได้ง่ายๆระหว่างสองรุ่นนี้ ก็คงจะเป็นการวางกล้องหลังที่แตกต่างกัน โดนในรุ่น Pro นั้นมีการจัดเรียงกล้องหลังทั้ง 4 ตัวไว้ตรงกลางเครื่อง ประกอบไปด้วยกล้องหลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซล (Samsung ISOCELL Bright GW1) และอีกสามตัวก็คล้ายกับตัวด้านบน ที่เป็นเลนส์มุมกว้าง 8 ล้านพิกเซล, เลนส์มาโคร 2 ล้านพิกเซล และตัวจับความลึก 2 ล้านพิกเซล
แต่ว่ากล้องหน้านั้นได้รับการอัพเกรดเป็น 20 พิกเซล พร้อมระบบ AI มากมาย รวมถึงการวิเคราะห์ฉากหลัง (Scene recognition)

ด้านชิปประมวลผลมาพร้อมชิป Helio G90T บนแพลตฟอร์ม SoC ใหม่ล่าสุดจาก MediaTek รุ่นแรกของโลก และที่สำคัญมาพร้อมระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว (Liquid cooling) หมดปัญหาเครื่องร้อนขณะเล่นเกม เหมาะสำหรับคอเกมมือถือฮาร์ดคอร์โดยเฉพาะ เล่นเกมต่อเนื่องได้ชิวๆด้วยแบตเตอรี่ที่มีความจุถึง 4,500 mAh และชาร์จไว 18W ชาร์จเต็มไวไม่มีสะดุด

ปิดท้ายด้วยเรื่องของราคาของรุ่น Pro มีให้เลือก 2 รุ่นด้วยกัน ได้แก่
- รุ่นแรม 6/64GB ราคา 1399 หยวน หรือประมาณ 5,989 บาท
- รุ่นแรม 6/128GB ราคา 1599 หยวน หรือประมาณ 6,846 บาท
- รุ่นแรม 8/128GB ราคา 1799 หยวน หรือประมาณ 7,702 บาท
มีออกมาให้เลือกจับจองทั้งหมด 3 สีได้แก่ สีดำ, สีเขียวและสีขาว
ดูรีวิวของทั้งสองรุ่นได้ที่นี่
ตาบาสขอบ่น
ก่อนอื่นเลยต้องผมต้องขอยอมรับว่า Redmi Note นั้น เดิมทีเป็นซีรี่ย์สมาร์ทโฟนราคาประหยัดที่แยกออกมาจาก Xiaomi ซึ่งมีการเน้นการแข่งขันด้านราคามากเสียจนบางครั้งอาจจะมากเกินไป ทำให้ทั้งสองรุ่นนั้นมีจุดเด่นอยู่แค่กล้อง 48 และ 64 ล้านพิกเซล ในขณะเดียวกันหน้าจอ, ชิปประมวลผลต้องถูกลดทอนลงมา ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ซีเรียสกับหน้าจอหรือชิปประมวลผล ทั้งสองรุ่นนี้ก็ตอบโจทย์ในเรื่องราคาได้เป็นอย่างดี
ขอบคุณรูปภาพและที่มา gsmarena.com
สามารถติดตามข่าวสารหรือบทความอื่นๆของตาบาสได้ ที่นี่