รีวิว Marriage Story-เรื่องรัก ล่มสลาย เมื่อรักมันไม่พอที่จะทำให้คนสองคนอยู่ด้วยกัน (ไม่สปอยล์)
รีวิว แมริเอจ สตอรี่ Marriage Story
สรุป
ภาพยนตร์ดี ที่ควรค่าแก่การเข้าชิงออสการ์ ได้รางวัลก็ไม่ขัดตา เพราะภาพยนตร์ที่ดีทั้งการแสดง เรื่องราว และดนตรีแบบนี้หากันไม่ง่าย แต่เรื่องนี้ทำได้
Overall
10/10User Review
( votes)Pros
- เรื่องราวลุ่มลึก สะเทิอนใจ ของสามีภรรยาที่ทำให้น้ำตาซึม
- ดนตรีประกอบที่ออกมาขยี้ถูกจังหวะ เศร้าได้ใจ
- ประเด็นจิกกัดทั้งเพศ สังคม กฏหมาย และการงาน
- มุมกล้องที่มีทั้งโคลสอัพ และ ลองเทค เห็นอารมณ์ตัวละครชัดเจน
Cons
- หนังค่อนข้างเรียบ ๆ คล้ายสารคดี ไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบ
รีวิว แมริเอจ สตอรี่ Marriage Story
เรื่องรัก ล่มสลาย
แมริเอจ สตอรี่ Marriage Story ภาพยนตร์ตลกดราม่าเคล้าน้ำตาของ Netflix เขียนบทและกำกับโดย โนอาห์ บอมบาค ผู้กำกับมือรางวัลและคำวิจารณ์ที่เคยเข้าชิงรางวัลออสการ์จากภาพยนตร์เรื่องThe Squid and the Whale และผลงานดีมากมายอย่าง Margot at the Wedding (2007), Frances Ha (2012), While We’re Young (2014), Mistress America (2015), The Meyerowitz Stories (2017), มาคราวนี้ เขาไม่ได้มาเพียงแค่คนเดียว แต่ยังพ่วงด้วยนักแสดงชั้นดีอย่าง Scarlett Johansson ที่มีผลงานบู๊อย่าง Black Widow, Adam Driver และ Laura Dern จากเฟรนไชน์ Star Wars ไตรภาคล่าสุด มาร่วมถ่ายทอดเรื่องราวของความไม่ลงตัวที่นำไปสู่จุดจบของความสัมพันธ์ของสามีภรรยาที่ไม่ว่าใครก็ต้องเจ็บปวด
ภาพยนตร์รับเสียงคำวิจารณ์ในแง่บวกอย่างล้นหลาม ทั้งบทภาพยนตร์ การกำกับ รวมถึงการแสดงที่จะพาสองนักแสดงนำไปถึงเวทีออสการ์ และกลายเป็นภาพยนตร์ที่ลบคำสบประมาทของเน็ตฟลิกซ์ที่ทำแต่ภาพยนตร์ที่คำวิจารณ์ไม่ค่อยดีได้สำเร็จ ทำให้ Marriage Story กลายเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับการจัดอันดับว่าเป็น ภาพยนตร์ติดอันดับสิบภาพยนตร์แห่งปี 2019 ในนิตยสาร TIME, สถาบันภาพยนตร์อเมริกัน และ National Board of Review เช่นเดียวกับ The Irishman ที่ได้คำชมล้นหลามไม่แพ้กัน
“Marriage Story บอกเล่าเรื่องราวของ ชาร์ลี และ นิโคล บาร์เบอร์ สองสามีภรรยาที่มีชีวิตรักที่สุขสันต์ แต่นั่นมันเมื่ออดีต ด้วยเหตุบางอย่างทำให้ชีวิตรักอันหวานชื่นที่เคยมี กลายเป็นความขมขื่นที่แทบไร้ทางออกและทางแก้ปัญหาในความสัมพันธ์ ความไม่ลงรอยและไม่ลงตัวของทั้งคู่ ถูกผลักดันด้วยปัจจัยรอบ ๆ ที่ทำให้ทุกอย่างยิ่งล่มสลายขึ้นทุกที ทั้งคู่จะหาทางปิดฉากเรื่องรักนี้อย่างไร ไม่ให้มันเลวร้ายมากไปกว่านี้”
ชีวิตรัก ที่แค่ รัก คำเดียวมันไม่พอ
ต้องบอกว่ามันเรื่องราวแบบเรียล ๆ จริง ๆ เพราะผู้กำกับนั้น ได้แรงบันดาลใจจากคู่สามีภรรยาที่ชีวิตต้องมาถึงจุดแยกทาง เพราะเหตุผลอะไรบางอย่างที่เราเองก็ไม่อาจรู้ได้จริง ๆ เพราะมันเป็นเรื่องของสามีภรรยา และคนที่เกี่ยวข้องจริง ๆ เท่านั้นที่จะรู้ เราจะเห็นการที่หนังนั้นเริ่มเล่าด้วยความอบอุ่น สิ่งที่ทั้งตัวละครอย่าง ชาร์ลี และนิโคลทำร่วมกันกับลูกชายอย่าง เฮนรี่ ที่ดูเป็นครอบครัวที่สุขสันต์เหมือนครอบครัวทั่ว ๆ ไป ก่อนจะตัดมาที่ภาพความเป็นจริงที่สวนทางกับสิ่งที่เกิดขึ้น ความกระอักกระอ่วน ความไม่เข้าใจในเหตุผลของกันและกัน การไม่พยายามที่จะหาทางประณีประนอม ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่เคยเป็นไปอย่างเรียบง่าย กลายเป็นสิ่งที่กีดขวางกันไปมา ราวกับรถสองคันที่พยายามหาทางสวนเลนเพื่อให้ถึงเส้นชัย ซึ่งมีแต่จะทำให้รถทั้งสองคันบุบสลาย ในการที่คนที่เคยรักกัน ตอนนี้กลายมาเป็นศัตรูที่จะต้องบดขยี้ให้แหลกโดยไม่สนใจวิธีการ ซึ่งไม่ได้ถูกสื่อเข้ามาด้วยความรุนแรงทางกายภาพ แต่เป็นคำพูด กิริยา อาการ ท่าทาง ที่มันช่างเจ็บปวดกว่าการเอามีดมาแทงเสียอีก แต่เหตุผลที่ทั้งคู่แต่งงานอยู่ด้วยกัน ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์มันมีปัญหาตั้งแต่แรกแล้ว จากความรัก มันก็กลายเป็น ความต้องการ พอต้องการมาก ๆ ก็ต้องปกปิดไว้ ทุกอย่างก็เลยพังไม่เป็นชิ้นดี แม้ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ตาม เหมือนกับที่คนชอบว่าไว้ “ผิดตั้งแต่แรกทุกอย่างคือจบ”
ชีวิตรัก ที่เหมือนมาจากคนละดาว
แมริเอจ สตอรี่ Marriage Story ไม่เพียงแต่สะท้อนเรื่องของสามีภรรยาเพียงอย่างเดียว แต่ยังเจาะลึกไปถึงความสัมพันธ์ว่าก่อนคู่รักจะหย่ามันเกิดอะไรขึ้น และลูกที่เป็นเหมือนโซ่คล้องใจที่มุ่งหวังให้เชื่อมความสัมพันธ์กลายเป็นตรวนที่ล็อคขาไม่ให้ทั้งคู่ไปไหนได้ง่าย ๆ เป็นเป้าหมายที่ยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้ได้มา จนลืมใส่ใจความรู้สึกของลูก ผู้ที่ต้องอยู่ตรงกลาง และต้องไหลไปตามความต้องการของพ่อแม่ ทั้ง ๆ ที่ลูกนั้นไม่ได้ต้องการ หนำซ้ำ เพื่อน ครอบครัวยังกลายเป็นสิ่งที่ถูกยกมาเป็นเครื่องมือในการทำร้าย ทั้งเชื่อว่าการหย่าไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด หรือแม้แต่เข้ามาแทรกกลางของความสัมพันธ์โดยความตั้งใจ เพราะสองสามีภรรยาเอง ก็ไม่ได้เป็นสองสามีภรรยาที่สมบูรณ์แบบเหมือนที่ใครหลายคนเห็น
ทั้งสองรู้แก่ใจดี แต่ก็ไม่คิดจะทำอะไร เพราะความต้องการตัวเองล้วน ๆ ที่มันไม่ลงรอยทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายก็ยังคงรักและหวังดี แต่ด้วยกำแพงที่ต่างคนต่างสร้างขึ้นมา มันยิ่งสูงขึ้น สูงจนมองไม่เห็นความผิดของตัวเอง โดยหนังเริ่มจาก นิโคล ก่อนจะลงน้ำหนักสุด ๆ ราวกับระเบิดนิวเคลียร์ ตรง ชาร์ลี ที่มีอนาคตอยู่ที่การเป็นผู้กำกับละครเวที ในขณะที่นิโคล นักแสดงละครเวทีที่ฝันอยากจะกำกับละครทางโทรทัศน์ มันเลยกลายเป็นความรู้สึกที่อีกฝ่ายมีความแข่งขัน และเสียดายโอกาสที่เคยมี ความรักที่หนุ่มสาวได้ผ่านพ้นจึงกลายเป็นสงครามถล่มกันแบบไม่เกรงใจใคร
นอกจากนี้ยังเอาเมืองสองเมืองที่ทั้งคู่อยู่ตามความต้องการของผู้กำกับที่ต้องการจะเสนอข้อดีผ่านเมืองหลวงใหญ่ในอเมริกาที่มักถูกนำมาเปรียบเทียบยกข่มกันไปมาผ่านตัวละครสามีภรรยา ชาร์ลีที่มีงานหลักอยู่ที่นิวยอร์ก นิโคลมีบ้านเกิดอยู่ลอส แองเจลิส ที่คุณภาพชีวิตของทั้งสองเมืองต่างกันอย่างสุดขั้วแม้จะเป็นเมืองใหญ่ ชาร์ลีอยู่ท่ามกลางเมืองหลวงความวุ่นวาย แออัด การจราจรติดขัด โดดเดี่ยว แถมค่าครองชีพที่สูง แต่มีงาน มีเพื่อน มีอะไรที่ทำให้เขาสบายใจ ในขณะที่นิโคลอยู่กับครอบครัว มีเพื่อนเป็นอะไรที่ค่อนข้างสงบ อบอุ่น เพื่อให้เห็นมุมมองที่แตกต่างผ่านการถกเถียงของสองสามีภรรยา ที่มีไลฟ์สไตล์ในชีวิตที่ต่างกัน เหมือนกับสีของสองเมืองนี้ ส้ม (แทนลอส แองเจลิส และนิสัยของนิโคลที่เป็นคน อบอุ่น สดใส มีความทะเยอทะยาน) และ ฟ้า (แทนนิวยอร์ก และนิสัยของชาร์ลีที่เป็นคน ใจเย็น ชอบเก็บความรู้สึก ต้องการความปลอดภัยในชีวิต)
การขับรถไปตามถนนใน ลอส แองเจลิส ของชาร์ลี พร้อม เฮนรี่ ลูกของเขา พร้อมทั้งให้เฮนรี่เก็บของทุกอย่างไว้กับตัว เพราะกลัวอาชญากรรม ที่เขาค่อนข้างขี้ระแวงและเก็บทุกอย่างไว้กับตัวเองตลอด เพราะไม่ไว้ใจในสถานที่ของอดีตภรรยา ซึ่งสะท้อนสังคมอเมริกาในเมืองลอส แองเจลิส ที่ไม่ค่อยมีความปลอดภัย หรือ เพราะเขามีชีวิตวัยเด็กที่ไม่ดี มีปัญหาครอบครัว เลยอาจเป็นสิ่งที่ทำให้ชาร์ลีเลือกอยู่ในนิวยอร์กมากกว่าที่ไหน ๆ ก็เป็นได้ เอาง่าย ๆ ว่าความแตกต่างของสถานที่ก็ทำให้ไม่มีใครพอใจที่จะอยู่ด้วยกัน ควรไปอยู่คนละดาวที่ต่างฝ่ายต่างสบายใจจะดีกว่า
ชีวิตรัก ที่เปรียบดั่งสนามรบ
แมริเอจ สตอรี่ Marriage Story พยายามจะบอกว่า การหย่าเป็นเรื่องของคนสองคนมันคงเป็นไปไม่ได้ ด้วยการที่ทุกอย่างมันไปไกลเกินกว่าจะถอย ไปต่อก็ไม่ได้ จะเดินต่อไปก็ไปไม่ถึง มีแต่ปวดใจกันเปล่า ๆ การปรึกษาจิตแพทย์เพื่อหาข้อดีจึงไม่ใช่ทางออก การหยิบยกกฏหมายและทนายจึงเป็นทางออก แต่ทนายไม่อาจจะรู้ใจใครได้จริง สิ่งที่ทำคือการให้ต่างฝ่าย เล่าเรื่อง และใช้เรื่องที่เล่าทำให้กลายเป็นอาวุธในศาล สิ่งที่น่าเศร้าคือ การที่ต้องเสียทรัพย์มากมายเพื่อให้ทนายมาช่วย ก็เหมือนกับไปซื้อปืนกลมากราดยิงใส่กัน โดยที่มันลั่นไกตามความต้องการของแต่ละฝ่าย ไม่ใช่แต่ละฝ่ายเป็นคนยิง การสื่อสารที่ผิดพลาด กลายเป็นระเบิดลูกใหญ่ที่พังทลายกลางวงสนามรบไปหมดทุกฝ่าย เพราะทนายแค่ต้องการเรื่องที่มีประโยชน์ ไม่ใช่เรื่องจริง ๆ ที่สองสามีภรรยาต้องการจะสื่อออกมา ทั้งนี้เพศหญิง กับ เพศชายถูกหยิบยกมาเทียบกันผ่านเทพเจ้าอย่างแสบสันต์ โดยตัวละครทนายนอร่า ทั้งเติมเชื้อไฟให้กับเรื่องราว และก็เป็นเหมือนเรือที่เข้ามาช่วยพาสองสามีภรรยาได้หาทางที่จะจบปัญหาจริง ๆ เสียที แม้จะต้องผ่านสงครามครั้งนึงก็ตาม เพราะฉะนั้นแล้ว สิ่งที่ควรค่าแก่การรักษาคือ ความสัตย์จริง เพราะคนที่มูฟออนจากเรื่องนี้ไม่ได้ กลับไม่ใช่คนที่คิดไว้ตั้งแต่แรก
ชีวิตรัก ที่คนสองคนต่างสร้างมันขึ้นมา
ด้วยความละมุนลุ่มลึกของเรื่องราวที่ โนอาห์ บอมบาค ได้ถ่ายทอดออกมา เมื่อมันมาอยู่ที่นักแสดงที่ถูกคน มันก็เลยเป็นการแสดงที่อัศจรรย์ จริงใจ และไม่ต้องใช้ความพยายามที่จะอิน เพราะทั้งอดัม ไดรเวอร์ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า น้ำตาผู้ชายมันออกมาไม่บ่อย แต่เมื่อมันออกมาแล้ว จงรู้เอาไว้ว่าความเสียใจมันมากล้นขนาดไหน ในขณะเดียวกันน้ำเสียงแต่ละครั้งที่ฝืนเก็บอาการและพยายามหาทางที่จะรู้ถึงเหตุผลว่าทำไมความสัมพันธ์ถึงต้องจบลงแบบนั้น เพื่อไม่ให้สูญเสียสิ่งที่รักไป โดยเฉพาะตอนท้าย ๆ ที่เขาได้โชว์สกิลร้องเพลงตามแบบบอร์ดเวย์อย่างเพลง Begin Alive เพลงประกอบเรื่องราวในชีวิตรักของเขากับนิโคลที่ร้องออกมาได้ธรรมดา แต่สะเทือนใจ เพราะสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตมันล้วนทำให้เขาทรมานและเจ็บปวดจนบางทีแค่ร้องไห้ออกมายังไม่พอด้วยซ้ำ ไม่ต้องเค้นอะไรออกมาให้ดูพยายาม
เช่นเดียวกับ สการ์เลต โจแฮนสัน ที่กลับมารับบทดราม่ากระชากน้ำตาตั้งแต่ช่วงแรก แถมยังเจ็บปวดรวดร้าวในการกระทำอันมาจากสามี จนกลายเป็นคนที่แสดงออกมาได้อย่างทั้งรัก ทั้งเกลียด เฉยชา เกรี้ยวกราด และ น่าเห็นใจไม่แพ้กัน แววตา ท่าทาง ที่เมื่อทั้งคู่ได้มุมกล้องทั้งแบบโคลสอัพจับใบหน้า หรือ แม้แต่ลองเทคตอนทะเลาะที่ไร้ดนตรีประกอบ ช่วยทำให้ทุกอย่างสมจริง เหมือนชีวิตคู่ที่มันพังทลายแบบที่อาจจะได้ยินจากคนใกล้ตัว หรือ คนรู้จักก็ได้ แต่มันก็จริงที่สุดแล้ว จนอยากจะเอาออสการ์มอบให้ทั้งสองคนเลย ไม่สนคนอื่นแล้ว เช่นเดียวกับ ลอร่า เดิร์น ในบททนายความฝ่ายนิโคล ที่โผล่มาขโมยซีนฮาตลกร้ายเกือบทุกฉากที่ออกมา ทั้งน่ารำคาญ และขำขัน ประกอบกับดนตรีที่บรรเลงประกอบฉากในเรื่อง ที่โผล่มาทีไรก็ทำน้ำตาซึม แถมยังออกมาขยี้ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก ทั้งที่เพลงเป็นแค่ดนตรีน้อยชิ้น ไม่ใช่ดนตรีที่หนักแน่นแต่อย่างใด
ชีวิตรัก ที่ล่มสลาย
แมริเอจ สตอรี่ Marriage Story ไม่ใช่แค่ภาพยนตร์เกี่ยวกับการหย่าร้าง แต่คือสังคมของคนที่พยายามดิ้นรนให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ ผ่าน ความรักที่ไม่ได้หมดลงไป แต่มันมีบางอย่างที่ทำให้เข้าใจ ว่าไม่มีอะไรที่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว และทั้งสองนักแสดงอย่างอดัมและสการ์เลต พร้อมทั้งผู้กำกับอย่าง โนอาห์ บอมบาค คู่ควรที่จะเข้าชิงออสการ์ในทุกสาขาเลย เพราะความธรรมชาติของเรื่องราว ฝีมือการแสดง ดนตรี และมุมกล้องนั้น ทั้งงดงามและเจ็บปวด แต่ถ้าใครไม่ชอบแนวนี้ก็ไม่แปลกใจ เพราะมันเต็มไปด้วยความหน่วงตั้งแต่เปิดเรื่อง แม้จะมีเรื่องของตลกร้าย ก็ไม่มากพอจะทำให้ขำออกมาได้ นอกจากน้ำตารื้นไปกับชีวิตรักที่มันล่มสลายไปแล้วของทั้งคู่…
ตัวอย่างภาพยนตร์ประกอบการรีวิว แมริเอจ สตอรี่ Marriage Story
สามารถชมได้แล้วที่ NETFLIX สมัครวันนี้ ฟรี 1 เดือน ถือเป็นหนังดี ๆ ปี 2019 ที่ไม่ควรพลาดครับ