รีวิว Against the Ice (Netflix) เรื่องจริงของลูกผู้ชายสุดอืดอาดและแข็งทื่อ (ไม่สปอยล์)
Against the Ice
สรุป
ภาพยนตร์สร้างจากเรื่องจริงที่ไม่มีอะไรโดดเด่นเลย ธรรมดาในด้านการนำเสนอและการเล่าเรื่องแบบตรง ๆ ทื่อ ๆ แทบไม่มีการเอาชีวิตรอดแบบระทึกเหมือนที่หน้าหนังพยายามขาย ตะกุกตะกักในช่วงครึ่งหลังจนขาดอารมณ์ร่วมต่อตัวละครหลักจืดสนิทและไร้ชีวิตชีวาหรือความน่าเอาใจช่วย แต่เป็นหนังที่ดีในการสำรวจความเป็นลูกผู้ชายและประวัติศาสตร์ในยุคก่อนสงคราม ด้วยบรรยากาศหิมะอันหนาวเหน็บ ภาพสวยแสงดี และนักแสดงที่แบกหนังไว้ได้
Overall
5.5/10User Review
( vote)Pros
- สร้างจากเรื่องจริงในประวัติศาสตร์การเอาชีวิตรอด
- นักแสดงเป็นธรรมชาติ เล่นดีมีแรงดึงดูดทางการแสดง
- ประเด็นความเป็นชายและการเมืองเล็กน้อยให้พอน่าสนใจ
- ภาพสวยแสงดี บรรยากาศหิมะสุดเวิ้งว้าง
- มีพากย์ไทยที่มีคุณภาพ
Cons
- หนังเรื่อยเปื่อย ช่วงแรกกำลังดี ช่วงหลังตะกุกตะกักพังไม่เป็นท่า
- การเล่าเรื่องแบบเส้นตรงทื่อ ๆ ธรรมดา เวิ่นเว้อ และไม่น่าสนใจ
- ขาดอารมณ์ร่วม ไร้การขยี้ฉากสำคัญของเรื่อง กลายเป็นน่าเบือ
- การนำเสนอเรื่องเหมือนถ่าย ๆ แล้วให้เรื่องจบ ๆ ไป
- หนังจบแบบไม่ลุ้นอะไรเลย เพราะสร้างจากเรื่องจริง
Against the Ice (มหันตภัยเยือกแข็ง) ภาพยนตร์เอาชีวิตรอดอิงประวัติศาสตร์ สร้างจากเรื่องจริงในการเดินทางสำรวจขั้วโลกเหนือ หรือกรีนแลนด์ของชาวเดนมาร์กปี 1909 ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ในหนังสือของไอนาร์ มิกเกลเซ่น โดยเป็นเรื่องของชายชาวเดนมาร์กสองคนที่ต้องเผชิญหน้ากับภารกิจครั้งสำคัญเพื่อเปิดเผยความจริงของดินแดนใหม่ที่ไม่เคยมีใครสำรวจร่วมกับสุนัขลากเลื่อน ก่อนจะพบกับมหันตภัยร้ายที่อาจทำให้พวกเขาเอาชีวิตไม่รอด ภาพยนตร์ได้รับเลือกให้เข้าฉายใน เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลินครั้งที่ 72 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นำแสดงโดยนักแสดงมากฝีมืออย่าง นิโคไล คอสเตอร์-วัลดาอู จาก Game of Thrones และ โจ โคล จาก Peaky Blinders
ตัวอย่าง Against the Ice (มหันตภัยเยือกแข็ง)
เรื่องย่อ Against the Ice (มหันตภัยเยือกแข็ง)
สร้างจากเรื่องจริงของการเดินทางในคืนก่อนวันคริสต์มาส ปี 1909 เมื่อคนสำคัญของทีมสำรวจเดนมาร์กเกิดได้รับบาดเจ็บ บังคับให้ทีมสำรวจเกือบทุกคนจะต้องอยู่ดูแลในเรือ ในขณะที่สองคนที่ต่างกันสุดขั้วต้องร่วมเดินทางสู่ขั้วโลกเหนือ ทั้งกัปตันไอนาร์ มิกเกลเซ่นผู้มีความหลังฝังใจ และไม่แยแสใคร กับ อีวาร์ เอเวอร์เซน หนุ่มนายช่างที่ดูไม่เอาไหนที่ทำให้พวกเขาได้เจอกับอันตรายที่นอกจากคนจะวุ่นวาย สุนัขเองก็ต้องเสี่ยงภัยไม่แพ้กัน พวกเขาจึงต้องเรียนรู้ความแตกต่างของกันและกันและต้องหาทางเอาชีวิตรอด เพื่อค้นหาความจริงที่หลงเหลืออยู่ในกรีนแลนด์ ณ ที่ที่นักสำรวจกลุ่มก่อนที่เดินทางไปแล้วไม่ได้กลับมาอีกเลย ความลับของแผนที่ หลักฐานสำคัญที่จะเปิดเผยความจริงของยุโรป ดินแดนที่พวกเขาต้องรักษา ภายใต้ความเยือกเย็นของภูเขา หิมะ ความเคลืองแคลง และมหันตภัยที่ทั้งคู่อาจจะไม่ได้มีชีวิตรอดกลับไปยังแผ่นดินใหญ่อีก
การเล่าเรื่องของหนังจะเป็นแบบเส้นตรงเล่าไปเรื่อย ๆ พยายามดิบ สมเหตุสมผล ไม่หลุดโลก พาเราไปสำรวจการเอาชีวิตของตัวละครที่ทำออกมาได้อย่างสมจริง ผสมกับความเพ้อฝันทางจิตวิทยา และการทรมานคนรักน้องหมาอย่างเลือดเย็น ผสมกับปมของตัวละคร แต่หลังจากนั้นแล้วครึ่งหลังก็กลายเป็นตะกุกตะกักไปกับความหลอน ความระทึกที่ควรจะทำออกมาให้ชวนลุ้นในช่วงหลัง ๆ กลับไร้ซึ่งอารมณ์ที่ทำให้ชวนร่วมได้ ไม่ว่าจะเป็นโทนของการเล่าเรื่องเฉลยปมที่ค่อนข้างเวิ่นเว้อและดราม่าผ่านตัวละครหลักไม่กี่ตัวบนผืนน้ำแข็งที่หนังน่าจะทำให้ดูมีอะไรมากกว่านี้ แต่เพราะเป็นหนังที่สร้างจากเรื่องเล่าจริง ๆ ในประวัติศาสตร์ มันเลยกลายเป็นเล่าทื่อไป ตอนจบก็แทบไม่ต้องเดาให้ยุ่งยาก จบแบบสูตรสำเร็จของหนังแนวนี้ ยอมรับว่า หนังไม่ได้แย่ แค่มันไม่มีอะไรน่าประทับใจเลยหลังจากครึ่งเรื่อง ไม่มีความทรงพลัง เนือยนาดและเสียเวลามากมายกับการสำรวจดูชีวิตของตัวละครในภารกิจสำคัญที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากพอกับการสำรวจดินแดนที่หน้าหนังพยายามจะขาย แต่ภายในเรื่องจริง ๆ แล้วไม่ได้เป็นแบบนั้น
ตัวละครหลัก ๆ มีผู้ชายสองคน กับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ซึ่งแม้จะมีแค่นี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าพวกเขาเป็นส่วนที่ให้ชีวิตกับความแล้งของหนังมาก ๆ เพราะมีความน่าสนใจต่างกันอย่าง ไอนาร์ กัปตันหนุ่มผู้มองโลกตามความจริงและไม่แยแสใครที่หนีจากอดีตเพื่อมาสำรวจในกรีนแลนด์ แต่ในใจกลับอ่อนแอและต้องการความรัก เลยพยายามใช้ความสามารถในการเอาตัวรอดคอยผลักดันตัวเอง แต่เมื่อต้องติดอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้าย เขาก็กลายเป็นคนที่แทบไม่มีอะไรเลย กลับกัน อีวาร์ ชายหนุ่มหน้าใหม่ไฟแรงที่โดยสารเรือมาพร้อมกับไอนาร์เพื่อเป็นช่างเครื่องและแทบไม่มีประสบการณ์มาก่อน กลับเลือกที่จะเอาชีวิตรอด เพราะอยากเดินทางร่วมกับไอนาร์ แต่กลับต้องเจอวิกฤตการณ์ที่ทำให้เขาต้องชั่งใจระหว่างการเป็นคนดีและคนที่ทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอด และนายา หญิงสาวปริศนาที่ปรากฏตัวเพียงไม่กี่ฉาก แต่ก็มอบความหวังและความหลอนให้กับตัวละครพอสมควร จนแอบสงสัยว่านี่เป็นหนังผีหรือยังไง แต่หนังก็มีการอธิบายผ่านตัวละครว่าเธอมาด้วยเหตุใด ในขณะที่เหลือก็เป็นตัวประกอบที่แทบไม่มีความสำคัญอะไรและเลือกจะหายไปจากเรื่องโดยไม่ต้องมาเล่าก็ยังได้
หนังเป็นการสะท้อนมุมมองของผู้ชายในการเดินทาง ทั้งคนที่แข็งแกร่งและคนทีอ่อนแอผ่านความรู้สึกแบบไร้กรอบใด ๆ ทั้งความหลงใหลในสตรีเพศในยามโดดเดี่ยว ความรู้สึกที่ต้องอดกลั้นและอดทนเพราะความเป็นลูกผู้ชายที่ถูกปลูกฝังมาจากครอบครัวที่มีผู้ชายเป็นผู้นำ ความฝันในการออกสำรวจของคนสมัยก่อนที่มักจะเจอเรื่องให้เอาชีวิตไม่รอด เพราะชีวิตจริงไม่ได้สวยงามแบบตำรา ความเพ้อฝันของคนที่หมดสิ้นซึ่งความหวังจนต้องสร้างภาพในจินตนาการหลอนขึ้นมา สังคมของผู้ชายที่ต้องการแต่คนที่มีแต่ความเป็นผู้นำและกล้าหาญ แต่เมื่อต้องเอาชีวิตรอด กลับไม่สนใจสิ่งนั้นแล้ว ในขณะเดียวกันหนังยังแอบมีการเมืองแทรกเล็กน้อย ในเรื่องการปฏิบัติงานของผู้นำที่แทบไม่สนใจใยดีคณะทีมสำรวจ เพราะกำลังตกอยู่ในสภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่ แต่ก็ยังพยายามสร้างภาพให้ประเทศตัวเองดูดี และพร้อมจะฉกฉวยโอกาสเอาหน้าแบบเนียน ๆ เมื่อมีผลงานของคนในประเทศตัวเอง แซะประเทศอเมริกาที่ชอบเหมาเอาทุกอย่างเป็นของตัวเอง เช่น ดินแดนกรีนแลนด์ ในแถบขั้วโลกเหนือที่ตอนนั้นยังไม่เคยมีใครสำรวจสำเร็จ และนั่นอาจเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่หนังพยายามเสนอในแง่มุมประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี 1909
ในส่วนของงานภาพคือสิ่งที่ให้บรรยากาศ งดงาม เป็นธรรมชาติ อันตรายโดยไม่ต้องมีอะไรเลย แค่เซ็ตติ้งในเรื่องก็เย็นยะเยือกชวนหนาวได้ใจสไตล์หนังยุโรปที่เน้นภาพที่สมจริง แต่ก็ไม่พลาดที่มอบมุมกล้องที่สวยในทิวทัศน์ ซะจนเด่นกว่าตัวละครที่เป็นคนจริง ๆ ในการแสดงของนักแสดงนำก็ตามมาตรฐานแต่ก็มีความเจ๋งที่สามารถไล่ระดับจากคนธรรมดา ให้กลายเป็นคนจิตหลอนเสียสติได้ทั้งตัวนิโคไล คอสเตอร์-วัลดาอูที่เป็นตัวแทนทุกความวุ่นวายในเรื่อง แต่ยังได้โทนที่คอเมดี้หน่อย ๆ ผ่านตัว โจ โคลที่ต้องมีเคมีเข้าขาเป็นธรรมชาติในฐานะนักสำรวจ แต่ไม่เคยผ่านประสบการณ์ใด ๆ มาก่อน ทำให้หนังค่อนข้างเป็นธรรมชาติดูเหมือนเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ที่ถ่ายทอดออกมาไร้ที่ติ แต่นอกจากนั้นทางด้านดนตรีประกอบก็ไม่มีอะไรให้พูดถึงครับ เพราะมันเล่นกับความเงียบ กับเพลงไม่กี่เพลงมากกว่า ทำให้หนังแห้งแล้ง ขายบรรยากาศ ยิ่งผนวกกับความเวิ่นเว้อหนังก็ยิ่งน่าเบื่อมากกว่าเดิม
สรุป Against the Ice (มหันตภัยเยือกแข็ง) สนุกและดีไหม
ไม่ได้แย่มาก แต่ไม่ได้สนุก ยังมีอะไรที่พอดีได้ในเรื่อง แต่ด้วยความที่ภาพรวมค่อนข้างเรื่อย ๆ เพราะอิงจากประวัติศาสตร์เรื่องจริง เลยไม่มีอะไรที่ใหม่หรือประทับใจ ถ้าใครรักหมา ขอแนะนำว่าอย่าดูจะดีกว่า เพราะหนังไม่ประนีประนอมกับการทำร้ายใจคนรักหมาเลยจริง ๆ
ชมได้แล้ววันนี้ใน เน็ตฟลิกซ์
- ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจในแวดวงเกม รีวิวภาพยนตร์ ซีรีส์ และ อนิเมะ ได้ ที่นี่
- ติดตามผลงานของผม Thousand Mar ได้ ที่นี่