รีวิว Blue Miracle หนังตกปลาที่สร้างมาจากปาฏิหาริย์ในชีวิตจริง! (ไม่สปอยล์)
Blue Miracle
สรุป
ภาพยนตร์ดราม่าครอบครัวที่นำเหตุการณ์จริงมาดัดแปลงและเล่าเรื่องอย่างมีเสน่ห์ แม้จะเป็นสูตรสำเร็จของหนังสร้างจากเรื่องจริงที่มีมาแล้วนับสิบเรื่อง แต่ความน่าสนใจอยู่ที่การนำเสนอการตกปลา ควบคู่กับปมปัญหาชีวิตตัวละคร พร้อมสัญญะสีฟ้าที่ปรากฏให้เห็นถึงใจความสำคัญของเรื่องราว สะท้อนปมของตัวละครออกมาได้อย่างดี และการแสดงที่เป็นธรรมชาติและมีทั้งตลกและดราม่าแบบไม่หน่วงใจ ดูได้ทุกเพศทุกวัย
Overall
7/10User Review
( votes)Pros
- สร้างจากเรื่องจริงเมื่อปี 2014 เสริมสร้างแรงบันดาลใจ และการใช้ชีวิต
- นักแสดงมีเสน่ห์ เล่นดี มีเคมีต่อกันอย่างน่าสนใจ
- มีมุกตลกสอดแทรกทำให้หนังไม่เครียดจนเกินไป
- สะท้อนสังคมของประเทศของเม็กซิโกที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด
- ดนตรีและเพลงประกอบหนังอยู่ถูกจังหวะเสริมบรรยากาศ
- ฟีลกู๊ด ดูได้ทั้งครอบครัว เสียงพากย์ไทยดีมาก ๆ
Cons
- พล็อตไม่มีอะไรแปลกใหม่ สูตรสำเร็จของหนังที่สร้างจากเรื่องจริง นอกจากการตกปลาที่ไม่ได้ใส่ใจในรายละเอียดอะไรมาก
- 60 เปอร์เซนต์ของเรื่องปูดราม่ามาก กว่าจะได้ตกปลาในอีก 40 เปอร์เซนต์
- หนังไม่ได้ขยี้อะไร ปมบางอันก็ใส่เข้ามาผ่าน ๆ ให้หนังเดินไปข้างหน้าแค่นั้น
Blue Miracle ปาฏิหาริย์สีน้ำเงิน ภาพยนตร์ Netflix ดราม่าคอเมดี้อเมริกันสร้างจากเรื่องจริง ปี 2014 ของ Casa Hogar บ้านเด็กกำพร้าชายล้วนในประเทศเม็กซิโกที่ชนะการแข่งขันตกปลาชิงเงินรางวัลมหาศาลกว่า 250,000 เหรียญ อย่าง Bisbee’s Black & Blue Tournament โดยนำเรื่องราวของพวกเขามาถ่ายทอดในมุมที่ไม่เคยมีใครรู้หรือเห็นมาก่อน โดยเน็ตฟลิกซ์ซื้อลงมาฉายสตรีมมิ่งพร้อมเสียงพากย์ภาษาไทยสุดคุณภาพ
ตัวอย่าง Blue Miracle ปาฏิหาริย์สีน้ำเงิน
เรื่องย่อ Blue Miracle ปาฏิหาริย์สีน้ำเงิน
เมื่อบ้านเด็กกำพร้าที่เขาอุตส่าห์รับเลี้ยงเด็กที่เร่ร่อนไม่มีครอบครัวกำลังประสบกับวิกฤติครั้งใหญ่หลังพายุถล่มในเม็กซิโก โอมาร์ ชายหนุ่มผู้มีจิตใจงามที่มีครอบครัวแสนอบอุ่น แต่ในใจกลับมีปมในอดีตที่เกี่ยวข้องกับทะเล ได้พบปาฏิหารย์ที่ดึงให้โอมาร์ต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกว่าการรับมือเหล่าเด็กกำพร้า เมื่อการแข่งขันตกปลาครั้งยิ่งใหญ่พร้อมเงินมหาศาลที่นำโดยกัปตันผู้ไม่เป็นที่ยอมรับแต่ฝีมือสุดเจ๋งในอดีต ผนึกกำลังร่วมกับลูกเรือที่ดูไม่เอาไหน พร้อมลูกทีมเยาว์วัยที่กระเตงทีมมาร่วมด้วย การผนึกกำลังต่างวัยเพื่อให้ได้มาซึ่งรางวัลอันยิ่งใหญ่จึงเริ่มต้นขึ้น
รีวิว Blue Miracle ปาฏิหาริย์สีน้ำเงิน
ภาพยนตร์เรื่องนี้ เดินเรื่องตามสูตรหนังที่สร้างจากเรื่องจริงเรื่องอื่น ๆ และแทบไม่มีองค์ประกอบหรืออะไรที่แตกต่างหรือพิเศษไปกว่านั้น “ตัวละครมีชีวิตปกติ จากนั้นพบเจอปัญหา ไขปม พบความสำเร็จ” มันเป็นแบบนี้เลย แต่ที่แปลกกว่าหนังเรื่องอื่น คือมันเป็นหนังตกปลา ไม่ใช่หนังที่คนจะทำกันบ่อย ๆ แต่สะท้อนปมจิตใจของตัวละครที่พบเจอกับเหตุการณ์ร้าย ๆ จนต้องหลีกหนีจากความจริง โดยเชื่อมโยงกับการตกปลา อาจจะไม่ละเมียดละไมเท่ากับหนังตกปลายุคเก่าที่นำแสดงโดย แบรด พิตต์อย่าง A River Runs Through It (ชื่อไทย สายน้ำลูกผู้ชาย หนังปี พ.ศ. 2535 )ที่เป็นไปในทางความสัมพันธ์ครอบครัวที่ค่อนข้างหนักหน่วงกว่าเรื่องนี้ที่ตัวละครได้เรียนรู้ที่จะตกปลาหลังสูญเสียคนสำคัญในอดีต แต่เรื่องนี้กินง่ายกว่าในแง่ของประเด็นความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ทำออกมาไม่ได้ดราม่ามาก ไม่มีปมบีบคั้น แต่สื่อสารความอบอุ่นออกมาได้ดีมาก ๆ ตัวละครทุกตัวมีบทบาทซัพพอร์ทกันและกัน แถมบทไม่หายไปจากเรื่องสไตล์หนังครอบครัวของเน็ตฟลิกซ์ คือสูตรสำเร็จ กินง่าย แต่มีคุณภาพ องค์ประกอบ พล็อตดี เล่าดี การแสดงดี แม้บทจะเดาง่ายมาก ๆ ก็ตาม
เนื้อเรื่องพาเราไปสำรวจชีวิตของชายคนหนึ่งที่พยายามดิ้นรนดูแลเด็กกำพร้าในสังคมเม็กซิโกที่มีปัญหาอยู่ทั่วในทุกหัวมุม มีภัยพิบัติธรรมชาติแทบทุกปี พร้อมด้วยเงื่อนไขที่บีบบังคับให้เขาต้องเข้าสู่การแข่งขัน แต่หนังกลับเสียเวลาเล่าเรื่องดราม่าไปกว่า 60 เปอร์เซนต์ เผยให้เห็นพล็อตย่อยเช่น เด็กกำพร้าที่ตีตัวห่างจากเขา เด็กกำพร้าที่มีศรัทธาในสีน้ำเงิน ซึ่งสีน้ำเงินนี้เปรียบชื่อหนังเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงความหวัง และศรัทธาของตัวละครในเรื่อง จะมีฉากที่ตัวละครกับสีฟ้าอยู่เสมอถ้าสังเกตตลอดทั้งเรื่อง เด็กกำพร้าที่มีความหวังเสมอ และชายแก่อดีตกัปตันผู้มากความสามารถที่มีปมบางอย่างให้กลายเป็นคนไม่เอาไหน แต่ผมไม่ได้ว่ามันเป็นข้อเสียหรอกนะ เพราะมันก็เล่าแบบเพลิน ๆ เรื่อย ๆ สลับกับมุกตลกสไตล์คนชายขอบแบบเม็กซิกันที่แทรกเข้ามาในยามที่หนังเริ่มดูน่าเบื่อ ถ้าใครคาดหวังว่ามันจะเป็นหนังที่มีรายละเอียดตกปลาเน้น ๆ ก็ต้องเสียใจด้วย เพราะการตกปลาเป็นเหมือนองค์ประกอบหนึ่งของหนังเท่านั้น ความจริงมันคือหนังดราม่าครอบครัวที่นำเรื่องจริงมาตีความใหม่ว่า หากปมของตัวละครเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความยากลำบากกว่าจะมาถึงจุดที่ประสบความสำเร็จ พวกเขาจะผ่านมันไปได้อย่างไร ชวนให้นึกถึงภาพยนตร์กีฬาอเมริกาฟุตบอลสร้างจากเรื่องจริงอีกเรื่องในปี 2006 ที่นำแสดงโดย มาร์ก วอลห์เบิร์ก อย่าง Invincible (ชื่อไทย อินวินซิเบิ้ล สู้สุดใจ เกมนี้ไม่มีวันแพ้)
เราคนดูไม่รู้หรอกว่ากว่า ชาวบ้านเด็กกำพร้า Casa Hogar จะประสบความสำเร็จสำเร็จมันต้องผ่านอะไรมาบ้าง ยกตัวอย่าง ในการแข่งขันตกปลาครั้งนึงต่อวัน ผู้เข้าแข่งขันจะต้องออกเรือไปยังทะเลกว้างแล้ววางเบ็ดไว้จากนั้นรอจังหวะพอเหมาะ ระหว่างนั้นก็อาจจะมีพายุ คลื่นลมทะเลคอยพัด แต่อาจจะช่วยกันดึงเบ็ดเพราะปลาที่ตกต้องมีขนาดใหญ่ ถึงจะสามารถใช้เป็นแต้มในการแข่งขันได้ ซึ่งถ้ามีแค่นี้มันคงธรรมดาเกินไปไม่น่าสนใจ หนังเลยมีฉากที่ไปในทางน่าหงุดหงิดใจประมาณนึงประมาณว่า อีกนิดก็จะสำเร็จแล้ว จะตกปลาได้แล้ว ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ แต่ถ้าไม่ทำแบบนั้น หนังก็ไม่มอบความสิ้นหวังให้กับตัวเอก แต่ตามสูตรหนังแนวนี้ก็คือ ยามที่สิ้นหวังที่สุด ยามที่ความหวังและศรัทธาจะบังเกิด ใช่ครับ ตัวละครเอกเชื่อมันในปาฏิหารย์ เช่นเดียวกับเด็กกำพร้าที่เชื่อมั่นว่ากลุ่มตัวเอกจะสามารถทำสำเร็จ โชคดีที่หนังสามารถบิ๊วให้เราเอาใจช่วยได้เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ดูเหมือนเป็นเรื่องโชคดีให้เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ ยกตัวอย่าง การที่ตัวเอกยืนเหม่ออยู่เฉย ๆ แล้วปลาก็ดันติดเบ็ดซะงั้น ก็เลยพากันตกใจรีบดึงเบ็ดอย่างรวดเร็วไม่รีรอเวลาให้โอกาสผ่านไป หนังฉลาดตรงที่ใช้ความโชคดีผสานกับความพยายามของตัวเองเป็นผลสำเร็จ ซึ่งหนังจะมีฉากที่ตัวเอกหลงผิดทำอะไรแย่ ๆ แบบที่คาดไม่ถึง ให้เราคิดว่า ตัวเอกจะผ่านเรื่องเหล่านี้ไปยังไงตลอดเรื่องราว
ดนตรีประกอบและมุมกล้องภาพยนตร์ที่ไม่ได้สวยอะไร แต่ทำหน้าที่เหมือนเป็นกล้องสารคดีที่พาเราไปดูชีวิตของเหล่าตัวละครในเรื่องที่ล้วนเป็นคนชายขอบ คนที่ดิ้นรนในสังคมที่วุ่นวายเคยประคับประคองชีวิตท่ามกลางความสิ้นหวัง เคยเดินทางผิดมาก่อน เคยก่ออาชญากรรมไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือเด็ก แต่เมื่อคิดได้มีคนหยิบยื่นความช่วยเหลือก็จะมองเห็นแสงสว่าง ก็สามารถอยู่ได้ด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธา ซึ่งนักแสดงก็ทำหน้าที่ได้มากแม้จะไม่ได้มีอะไรโดดเด่นกว่าใคร เพราะหนังเหมือนจะให้ความสำคัญกับบทบาททุกคน เลยไม่มีใครเด่นกว่าใคร ไหนจะเพลงประกอบที่ใส่อย่างถูกจังหวะในช่วงเวลาต่าง ๆ โดยเฉพาะเพลงสไตล์ฮิปฮ็อป หนังจึงไม่ได้ทำเพื่อเรียกน้ำตาความซึ้งอะไร แต่ดูจบแล้วจะต้องอิ่มใจและมีความหวัง แรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตอย่างแน่นอน เพราะมีภาพเหตุการณ์การแข่งขันจริงมาให้ดูด้วยว่าเรื่องของศรัทธามันสามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้จริง ๆ
สรุป Blue Miracle ปาฏิหาริย์สีน้ำเงิน
ภาพยนตร์ดี ความยาวไม่ถึงชั่วโมงครึ่งที่เปิดดูได้แบบเพลิน ๆ ได้รับข้อคิดดี ๆ มากมาย ทั้งเรื่องของการใช้ชีวิต การประพฤติตัวให้ดีต่อสังคม การเผชิญหน้ากับความจริง การข้ามผ่านความเจ็บปวดด้วยกำลังใจ มิตรภาพและความสัมพันธ์ของครอบครัว มันมีอะไรมากมายที่คนดูน่าจะได้รับแน่นอน แม้บทจะไม่ได้คาดเดายาก หรือบทสรุปจะดูจบแบบดื้อ ๆ แต่หนังก็เล่าเรื่องหลายอารมณ์โดยไม่ต้องขยี้อะไรมาก แต่ไหลลื่นโดยไม่รู้สึกว่ามีช่วงไหนที่รู้สึกไม่จำเป็น เป็นประสบการณ์คุณภาพดีที่เน็ตฟลิกซ์มอบให้เรา หลังจากมีแต่หนังอะไรก็ไม่รู้ในเน็ตฟลิกซ์ที่ทำผมผิดหวังตลอดเดือนพฤษภา นี่ถือเป็นหนังคุณภาพที่เปิดดูก็ไม่เสียดาย แต่ถ้าคาดหวังการตกปลาแบบตื่นเต้นดุเดือด นี่คงไม่ใช่หนังของคุณ แต่ถ้าชอบหนังดราม่าสร้างจากเรื่องจริงเปี่ยมแรงบันดาลใจที่ปูเรื่องเยอะหน่อย คุณก็ไม่ควรพลาดหนังเรื่องนี้ครับ
ชมได้แล้ววันนี้ใน เน็ตฟลิกซ์