รีวิวซีรีส์ ‘D.P. หน่วยล่าทหารหนีทัพ ตลกร้ายสายดาร์คตีแผ่วงการทหารเกาหลี (ไม่สปอยล์)
D.P.
สรุป
มินิซีรีส์หกตอนคุณภาพที่ตีแผ่ด้านสว่างและด้านมืดของวงการทหารเกาหลี ผ่านหน่วยทหารหนีทัพด้วยความเข้มข้นผสมความตลกร้ายสไตล์เกาหลี ครบทุกรส ประเด็นที่ครอบคลุมและน่าติดตามตลอดทั้งเรื่อง ด้วยพลังของนักแสดงที่มีคุณภาพ มุมกล้องที่เป็นแบบภาพยนตร์ ดนตรีประกอบที่เปิดในระหว่างตอนและตอนท้ายที่เพราะและทำให้เราอินไปกับตัวละครได้ จบแบบให้คิดตามว่าจะมีซีซั่น 2 หรือจะปล่อยให้เรื่องราวมันเป็นไปแบบนั้นดี
Overall
8/10User Review
( vote)Pros
- เนื้อเรื่องตีแผ่วงการทหารเกาหลี ไล่ระดับจนถึงขีดสุด
- นักแสดงโชว์ของกันถ้วนหน้า
- ตลกร้ายไปจนถึงตลกเอาฮา
- ตอนจบแต่ละตอนสะเทือนอารมณ์
- เพลงประกอบที่เข้าถึงตัวละคร
- ประเด็นที่น่าติดตามและคิดตามหลังดูจบ
- เคมีตัวละครหลักคู่หู จองแฮอิน กับ คูคโยฮวาน เข้าขากันมาก
Cons
- เนื้อเรื่องค่อนข้างหดหู่และไม่เหมาะกับคนทั่วไปที่จะดูให้เพลิดเพลิน
- ตัวละครบางตัวก็แอบบทน้อยไปหน่อย คาร์แร็คเตอร์ที่เด่น ๆ มีไม่กี่คน
D.P. (หน่วยล่าทหารหนีทัพ) มินิซีรีส์ Netflix 6 ตอนจากเกาหลี สร้างจากเว็บตูนเรื่อง “D.P Dog Day” โดย Lezhin Entertainment ที่ได้รับความนิยมที่มีจำนวนผู้อ่านสะสมสูงถึง 10 ล้านคน นำแสดงโดย จองแฮอิน (ที่เตรียมมีบทนำในซีรีส์ดราม่าโรแมนติกคู่กับนักร้องสาว จีซู เรื่อง SNOWDROP ที่เตรียมออกอาการปลายปีนี้) คูคโยฮวาน ซนซอกกู คิมซองคยูน และ ซนซอกกู กำกับโดย ฮันจุนฮี ผู้กำกับผลงานภาพยนตร์ Coin Locker Girl (2015), ทีมเร็วสุดระห่ำ Hit-and-Run Squad (2019) และ เขียนบทโดย คิมโบทง เรื่องราวของทหารนายหนึ่งที่ทำหน้าที่ตามตัวทหารที่หนีทัพจนเข้าไปพัวพันกับปัญหาของทหารแต่ละคนที่ทำให้พวกเขาเริ่มตั้งคำถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวพวกเขาเองด้วยโทนเรื่องสืบสวนอาชญากรรมตลกร้าย Dark Comedy ปนดราม่าสะเทือนใจของผู้ชายเกาหลีที่เคยเป็นทหารทุกคน
ตัวอย่าง D.P. หน่วยล่าทหารหนีทัพ
รีวิว
เรื่องราวของ อันจุนโฮ ชายหนุ่มที่ครอบครัวไม่อบอุ่นและปมฝังใจที่ทำให้เขาไม่สนใจความรู้สึกของใคร ๆ ต่อต้านสังคมและปรับตัวไม่เป็น กระทั่งเขาได้เข้าเกณฑ์ทหารประจำปี เขาได้พบกับสังคมที่ไม่สามารถทำอะไรเขาได้ไม่ว่าจะด้วยสถานการณ์ใด ๆ ทั้งยังเข้าสังคมไม่เก่งกระทั่งการสัมภาษณ์ทหารได้เปลี่ยนชีวิตเขาจากการเป็นทหารในกองทัพให้กลายเป็นหนึ่งในหน่วยพิเศษ D.P. ที่คอยภารกิจจับกุมพลทหารหนีทัพ และทำให้เขาได้พบเจอกับพลทหารหลายรูปแบบ หัวหน้าหน่วย D.P. (Deserter Pursuit หน่วยล่าทหารหนีทัพ) อย่าง สิบโทฮันโฮยอล ทหารชั้นผู้นำที่บุคลิกแปลกประหลาดดูไม่เอาไหนและไม่ค่อยเอางานเอาการ แต่กลับสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ พัคบอมกู พลทหารหัวหน้าเจ้าอารมณ์และคอยดูแลทหารคนอื่น ๆ ภายในหน่วย อิมจีซอบ ผู้บังคับบัญชาเจ้าระเบียบและสนใจแต่ความรุ่งโรจน์ของกองทัพทหาร เขาและคนเหล่านี้ต้องออกเดินทางจากค่ายทหารเพื่อปฏิบัติการสำคัญในการจับพลทหารหนีทัพในแทบทุกที่ในเกาหลี ทุกอย่างดูเหมือนจะง่ายดาย หากทหารที่หนีทัพต่างมีเหตุผลและความเจ็บปวดที่เชื่อมโยงกับพวกเขา และอันจุนโฮต้องเผชิญหน้ากับปัญหาของตัวเองเพื่อภารกิจให้ได้
เรื่องราวซีรีส์จะเล่าไปแบบเรื่อย ๆ พร้อมด้วยการปูตัวละครหลักให้เราได้รู้จักพื้นเพของตัวละครหลักอย่างอันจุนโฮที่ดูไม่น่าคบและไม่สนใจอะไรใคร เงียบงันและเห็นแก่ตัว เป็นตัวละครที่เราจะได้เรียนรู้ไปพร้อม ๆ กับตัวละคร สะท้อนถึงสังคมของการเกณฑ์ทหารเกาหลีประจำปีที่ไม่ใช่การจับใบดำใบแดงแบบบ้านเรา แต่ผู้ชายเกาหลีทุกคนที่อายุถึงเกณฑ์จะต้องเป็นทหาร ไม่สามารถเลือกได้ ทุกอย่างที่ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเมื่อเขาได้รับโอกาสในการเริ่มงานจับทหารหนีทัพ เมื่อจบตอนที่ 1 จึงหักมุมเฉลยด้วยความสะเทือนใจ หลังจากนี้ไปคือเมนเรื่องหลักจริงๆ และเล่าเรื่องไปในสไตล์สืบสวนสอบสวน ด้วยความยาว 6 ตอน เราจึงเหมือนได้ดูหนังยาวประมาณ 6 ชั่วโมง ด้วยเรื่องราวที่สลับไปมาระหว่างปมของตัวละคร ความจริงจังของการเป็นทหาร การเสียดสีของระบบทหาร มุกตลกแบบถูกจังหวะผ่านความเจ้าเล่ห์ของตัวละครฮันโฮยอลที่ช่วยปรับโทนให้เบาลง แม้เนื้อหาจะไปในทางสืบสวนสอบสวน อาชญกรรมดาร์กมืดหม่นก็ตาม แต่ก็ได้เคมีของตัวละครหลักคอยทำให้เรื่องไม่หนักจนเกินไป บทสรุปในแต่ละตอนมักจะจบลงด้วยความซึ้งน้ำตาร่วงไปถึงสะเทือนอารมณ์ช็อคหลังดูจบแบบที่คาดไม่ถึงเลย
ตัวละครแต่ละตัวที่เด่นที่สุดคงจะเป็นอันจุนโฮที่คาร์แร็คเตอร์ตอนแรกจะดูอมทุกข์ แต่จะเริ่มแสดงอารมณ์มากขึ้นเมื่อได้เห็นความเป็นจริงอันโหดร้ายภายในค่ายทหาร ในขณะที่ตัวขโมยซีนกลับเป็นฮันโฮยอล นายทหารที่ดูไม่เอาถ่าน ติดเล่นและไม่ค่อยจริงจัง แม้ว่าจะสามารถทำหน้าที่ได้ดี แต่ก็ทำให้เรารู้สึกหมั่นไส้ปนเอ็นดู และช่วงท้ายก็เป็นช่วงที่ขีดการแสดงเกินคาดมาก ๆ พัคบอมกู ตัวละครที่สะท้อนคนชั้นผู้ใหญ่ที่สนใจความถูกต้องและความยุติธรรมและใส่ใจนายทหารทุกคนอย่างน่าเคารพ อิมจีซอบที่มาในช่วงหลังแต่ทำให้เราได้เห็นเนื้อแท้ของความเป็นผู้บังคับบัญชาที่ไม่ใส่ใจในปัญหาที่เกิดขึ้นนอกจากปิดบังไว้กับผู้ที่อยู่เหนือตัวเองจนกลายเป็นเรื่องบานปลาย และในแต่ละตอนก็จะมีตัวละครที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น นายทหารที่ชอบรังแกคนอื่น นายทหารที่ถูกรังแกจนคลั่ง นายทหารที่ทำทุกอย่างเพื่อเป้าหมาย นายทหารที่แค่อยากจะใช้ชีวิตขูดรีดคนอื่น หญิงสาวที่ติดอยู่กับบ่วงความสัมพันธ์แย่ ๆ ที่เชื่อมโยงกับอันจุนโฮ ครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนให้ตัวละครจุนโฮมีความน่าสนใจมากขึ้น เพราะเขามักจะเป็นคนที่เข้าไปอยู่ในสถานการณ์สำคัญจนจับคนร้ายได้เกือบตลอด ร่วมกับมิตรภาพแบบคู่หูกับฮันโฮยอลแล้ว มันก็เลยเป็นส่วนผสมที่ตัดระหว่างความจริงจังและความตลกได้เป็นอย่างดี
ประเด็นชวนขบคิดถึงเหตุผลของคนหนีทหารในเรื่องนั้น มีหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเรื่องครอบครัว เรื่องแฟน เรื่องปัญหาส่วนตัว ที่แต่ละตอนก็ถูกถ่ายทอดออกมาต่างสถานที่ ต่างประเด็น แต่ทว่าสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงกันคือปัญหาการทำร้ายร่างกายภายในค่ายทหาร อำนาจนิยมของผู้บังคับบัญชาที่สั่งลูกน้องให้ทำอะไรก็ได้จนละเมิดสิทธิมนุษยชนภายในกองทัพ การพยายามดิ้นรนใช้ชีวิตให้กลมกลืนกับกองทัพแม้จะเป็นสิ่งที่ผิด การซุกความผิดใต้พรมของกองทัพภายใต้แนวคิด ยุคสมัยใหม่ยังไงคนก็ต้องคิดว่าทหารได้รับความยุติธรรม แต่จริง ๆ ไม่เลย คิดถึงสังคมที่ไม่มีความยุติธรรมจนผลักให้ทหารหนีทัพเหล่าหนีต้องต่อสู้ และสุดท้ายเมื่อปัญหามาถึงจุดขีดสุดกลายเป็นเรื่องใหญ่มากแค่ไหน ยังไงผู้การทหารก็จะทำหน้าที่ปิดบังและทำทุกอย่างไม่ให้ความจริงเปิดเผยสู่สังคมเพื่อไม่ให้ความเชื่อมั่นในกองทัพถูกทำลาย แม้แต่ทหารร่วมกันยังต้องเมินเฉยเพื่อไม่ให้กลายเป็นเรื่องยุ่งยาก และออกไล่ล่าคนที่ทำผิด มากกว่าจะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างการปฏิรูปหรือวางมาตรการใหม่ที่จะสนับสนุนทหารให้มีชีวิตที่ดีไม่โดนรังแกอีก
สิ่งที่น่ากลัวของเรื่องนี้ คือมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตเมื่อบางคนทำเมินเฉยไม่ยอมหาทางแก้ปัญหาที่แท้จริง เพราะทหารบางรายอาจจะเกิดอาการทางจิต ออกทำร้ายคนจนเกิดเป็นอาชญากรรมที่เป็นอันตรายของผู้คนได้ ซึ่งในเรื่องก็ถ่ายทอดออกมาได้อย่างมืดมนมาก ขนาดจบเรื่องยังไม่วายทิ้งปลายเปิด และแอบตอบคำถามที่ว่า “การทหารจะเปลี่ยนไปหรือไม่ จะมีใครต้องเจอเหตุการณ์แย่ ๆ แบบนี้อีกมั้ย” ว่าเป็นยังไงและมันก็ดาร์กและรุนแรงมาก ทั้งฉากเลือดสาดแบบไม่เกรงใจเซนเซอร์ และประเด็นที่กระทบจิตใจ มันชวนให้นึกถึงกรณีข่าวในประเทศไทยเมื่อหลายปีก่อนเกี่ยวกับทหารด้วยที่คลุ้มคลั่งออกทำร้ายผู้คน เพราะถูกกดขี่จากหัวหน้า ซีรีส์เรื่องนี้ให้ภาพสะท้อนที่ดีว่า วงการทหารควรรับรู้สถานะตัวเองก่อนที่จะสร้างฆาตกรสู่สังคมเพิ่มเรื่อย ๆ อย่างไม่มีสิ้นสุด
นักแสดงต่างขึ้นชื่อว่ามีฝีมือโดยเฉพาะ จองแฮอิน ที่รับบทเป็นอันจุนโฮได้อย่างสมจริง ไม่ติดลุคหล่อ เป็นคนธรรมดาที่พยายามดิ้นรนเมินเฉยต่อสิ่งรอบตัว ซีนที่ชวนให้น่ารัก คือการที่เขาต้องแสดงสีหน้างง ๆ ตบมุกกับ ฮันโฮยอล ตัวละครของคูคโยฮวาน อย่างเข้าขาจนกลายเป็นฉากตลก แต่เมื่อทั้งคู่ต้องแสดงซีนอารมณ์ดราม่าตึงเครียด เรียกได้ว่าสุดขีดจริง ๆ ยิ่งฉากที่ต้องเผชิญหน้าในตอนสุดท้ายคือไม่มีใครดร็อปเลย ในขณะที่คิมซองคยูน และ ซนซอกกู บทบาทดูจะเป็นผู้นำตัวตลกจิกกัดไปมา มีมุมดราม่าตึงเครียดเล่นจิตวิทยาระหว่างกันและปะทะคารมตลอด ในขณะที่นักแสดงรับเชิญและสมทบก็ปล่อยของกันเต็มเหนี่ยว สบถ หยาบคายแบบไม่กัํก สารพัดที่แปลไทยออกมาแล้วไม่เสนาะหูมาเต็มมากตามเซ็ตติ้งชายทหาร ในขณะที่การถ่ายทำและมุมกล้องก็ทำได้ดีมาก รู้สึกเหมือนดูภาพยนตร์จริง ๆ ยิ่งเวลาตัดไตเติ้ลแล้วโชว์วิดีโอการถ่ายทำเกณฑ์ทหารพร้อมเพลงประกอบอินเตอร์ยิ่งทำให้เรื่องดูดีเข้าไปใหญ่ เพลงประกอบที่ใส่เข้ามาก็ช่วยเรียกอารมณ์ให้เราเข้าใจตัวละครและการกระทำมากยิ่งขึ้นด้วย
สรุป
เป็นมินิซีรีส์หกตอนที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ มันเป็นเนื้อเรื่องที่สามารถดูแล้วคิดตามกับประเด็นเรื่องวงการทหารดีจริงหรือเป็นแค่การสร้างภาพผ่านตัวละครในเรื่อง การหนีทัพมันมีความหมายอะไรแอบแฝง ผ่านนักแสดงชั้นนำคุณภาพที่ปล่อยของกันแบบไม่ยั้ง รวมถึงการแสดงและปมตัวละคร ครบทุกรส สดใหม่ทุกตอน หักมุมแบบไม่น่าเชื่อ ถ้าเบื่อซีรีส์แนวพลเรือน ลองเปิดซีรีส์ตีแผ่พลทหารเรื่องนี้ดูก็เป็นอะไรที่น่าสนใจในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์อยู่เหมือนกัน ก็แนะนำให้ไปลองหามาดู มีเสียงพากย์ไทยเต็มอารมณ์มาก ความยาวประมาณเกือบหกชั่วโมงมันคุ้มค่าแล้วสำหรับซีรีส์แนวดราม่าปนฮาจากประเทศเกาหลีเรื่องนี้
ชมได้แล้ววันนี้ใน เน็ตฟลิกซ์