รีวิว Doctor Strange in the Multiverse of Madness เปิดพหุจักรวาลสุดเหวอเกินจินตนาการ (ไม่สปอยล์)
Doctor Strange in the Multiverse of Madness
สรุป
ภาพยนตร์เปิดพหุจักรวาลที่ผสานความสยองขวัญ ตลกร้าย และรสชาติสไตล์มาร์เวลตลอดสองชั่วโมงที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบ เนื้อเรื่องรวบรัดฉับไหวจนบทแอบโหวง ๆ ดึงมิติของตัวละครออกมาห้ำหั่นกันไม่แพ้ฉากต่อสู้ ประเด็นของการใช้ชีวิตของมนุษย์ เบเนดิกส์กับอลิซาเบธฟาดฟันกันในระดับออสการ์ ตัวละครบางตัวก็มาแบบผ่าน ๆ ไม่ได้มีบทบาทอะไรมาก ซีจีแอบลอยช่วงต้นเรื่องและเนื้อเรื่องช่วงท้ายมันจบง่ายเกินไปผิดวิสัยหนังมาร์เวล แต่โดยรวมก็คือบันเทิงกว่าภาคแรก และสามารถดูได้โดยไม่ต้องคิดมาก แต่ไม่เหมาะสำหรับเด็กเล็ก เพราะหนังมีฉากโหดพอตัวค่อนข้างเยอะ (สำคัญสุด! คนที่ไม่ได้ตามจักรวาลมาร์เวลไม่ว่าจะหนังสือ ซีรีส์เรื่อง วันด้าวิสชั่น โลกิ และ วอทอิฟ? ในดิสนีย์พลัส ภาพยนตร์อีกกว่า 48 เรื่อง คุณอาจจะงงจนไม่เข้าใจหรืออินกับอะไรในเรื่องเลย)
Overall
7.5/10User Review
( votes)Pros
- เนื้อเรื่องรวบรัด โชว์พหุจักรวาลให้เห็นกับตา
- ครบทุกรสและเป็นครั้งแรกที่มีความสยองขวัญชวนเหวอ
- ตัวละครที่ชวนให้เอาใจช่วยและน่าสนใจมากมาย
- ประเด็นจิตวิทยาและจริยธรรมที่สะท้อนถึงคนดู
- นักแสดงสุดตัว เบเนดิกส์ พ่อแห่งออสการ์ ปะทะ อลิซาเบธท้าชิงออสการ์
- ฉากในเรื่อง การนำเสนอคือแปลกและสวยงาม
- พากย์ไทยดีตามมาตรฐานมาร์เวล
Cons
- สูตรสำเร็จ รวบรัด พล็อตน้อย เบาหวิว พหุจักรวาลมีไม่กี่จักรวาล จบแบบรีบ ๆ
- ถ้าไม่ตามมาร์เวลทั้งคอมมิคทั้งซีรีส์จะงงเต๊กมาก เพราะการพูดเปรย ๆ ก็คือส่วนสำคัญของจักรวาล
- หนังไม่เหมาะสำหรับเด็กเล็กเพราะค่อนข้างโหด
- ซีจีช่วงแรก ฉากดูลอย ๆ ไม่เนียน โหวง ๆ
Doctor Strange in the Multiverse of Madness (จอมเวทย์มหากาฬ ในมัลติเวิร์สมหาภัย) สร้างจากตัวละคร ดอกเตอร์สเตรนจ์ ของ มาร์เวลคอมิกส์ ภาพยนตร์สร้างโดย มาร์เวลสตูดิโอส์ ภาพยนตร์ภาคต่อของ จอมเวทย์มหากาฬ (2016) ที่เดินเรื่องหลังจาก สไปเดอร์แมน โนเวย์โฮม และ วันด้าวิสชั่น เป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 5 ของ เฟส 4 กำกับโดย แซม ไรมี ผู้กำกับหนังสยองขวัญเกรดบีชั้นยอดอย่าง ผีอมตะ และไตรภาคสไปเดอร์แมนของโทบี้ แม็คไกวร์ ที่ขอกลับมาจับงานฮีโร่อีกครั้งหลังวนเวียนกับการเป็นโปรดิวเซอร์มานาน เลยน่าสนใจว่าเขาจะพาตัวละครในจักรวาลมาร์เวลไปสัมผัสกับพหุจักรวาลที่บิดเบี้ยวในแบบของเขาอย่างไรกับดร. สตีเฟ่น สเตรนจ์ในภารกิจปกป้องจักรวาลจากภัยร้ายที่ใกล้ตัวกว่าที่เขาคิด
ตัวอย่าง Doctor Strange in the Multiverse of Madness
เรื่องย่อ Doctor Strange in the Multiverse of Madness
หลังจากเหตุการณ์ใน No Way Home ไม่กี่เดือน สตีเฟ่น สเตรนจ์ จอมเวทย์ผู้สามารถหยุดยั้งการล้างจักรวาลและคืนสันติสุขจากธานอส ได้เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับความต้องการของตัวเองหลังคนเคยรักอย่าง คริสทีน ได้แต่งงานใหม่หลังเขาโดนกวาดล้างไปกว่า 5 ปี เขาได้ค้นพบว่าชีวิตของเขานั้นไม่ได้มีแค่หนึ่งเดียว การมาของอเมริกา ชาเวซ เด็กสาวปริศนาผู้มีพลังอันมหัศจรรย์ที่ดึงดูดให้มารร้ายหมายมั่นจะชิงพลังมาจากเธอและคุกคามโลกนี้ สตีเฟ่นจึงต้องขอความร่วมมือจากวันด้า แม็กซิมอฟ ผู้ที่เคยสร้างปัญหาไว้ในอดีตและหนีมาใช้ชีวิตอยู่คนเดียว แต่ทว่ามันอาจจะสายเกินไปแล้ว เมื่อภัยร้ายต่าง ๆ ได้ถาโถม สตีเฟ่นต้องเดินทางข้ามจักรวาลไปกับวันด้า เพื่อหยุดยั้งมหันตภัยครั้งยิ่งใหญ่ที่อาจทำลายล้างพหุจักรวาล ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากตัวของพวกเขาเอง แต่มันจะต้องแลกมาด้วยสิ่งไหนเพื่อปกป้องสิ่งที่พวกเขารัก น้ำหนักของความต้องการและความถูกต้อง อาจทำให้สายสัมพันธ์กับคนใกล้ตัวที่สุดของเขาต้องขาดสะบั้น และอาจผลักดันให้สตีเฟ่นทำสิ่งที่จุดจบคือ ผลลัพธ์ที่น่าสะพรึงเกินกว่าจะจินตนาการ
การเดินเรื่องของหนังเรื่องนี้ก็ยังคงเป็นสไตล์มาร์เวล ไม่มีการปูอะไรให้เลย นอกซะจากพูดเปรย ๆ ที่น่าจะพอทำให้คนนอกเข้าใจเนื้อเรื่อง แต่คงไม่เข้าถึงตัวละครหรือแรงจูงใจอะไรที่่มันถูกปูมานานแล้ว ซึ่งมันก็เป็นแบบนี้เสมอ โดยเฉพาะเมื่อคุณไม่ได้ดูซีรีส์หรือหนังมาก่อน และผมก็ยังยืนยันว่าควรตามมาก่อนในระดับนึง ช่วงแรกค่อนข้างเดินเรื่องไว รวบรัดและเน้นฉากบู๊อลังการแบบที่เราเห็นกันจนแอบคิดว่ามันก็ซ้ำ ๆ แบบหนังเรื่องก่อน ๆ แต่ผมคิดผิดพอหลัง 20 นาทีแรกขึ้นมา หนังเทิร์นตัวเองจากหนังฮีโร่กลายเป็นหนังระทึกขวัญจิตวิทยาทางตัวละคร แถมมีความสยองขวัญไปแต่นั่นเองที่เป็นช่องโหว่สำคัญที่ทำให้บทค่อนข้างโหวงเมื่อเทียบกับหนังมาร์เวลเรื่องที่ผ่านมา หนังเลือกจะประเคนทุกอย่างตามคอนเซปต์ผสมกับมุกตลกสไตล์ผู้กำกับแซมไรมี่ และฉากโหดเลือดสาดที่มากกว่าหนังทุกเรื่องของมาร์เวลแบบไม่ใช่เรต R ทำให้แฟนแกอมยิ้มได้
แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้บทหนังมันดี เพราะเอาจริง ๆ หนังค่อนข้างมีพล็อตแค่ประมาณ 40 เปอร์เซนต์เท่านั้น 60 คือการใส่ฉากต่าง ๆ ที่ชวนเหวอมาเอาใจแฟนมาร์เวลกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง มันบันเทิง แต่ถ้าหนังให้เวลากับตัวเองอีกหน่อย เราอาจจะอินหรือลุ้นไปกับตัวละครหรือสถานการณ์มากกว่านี้ โดยเฉพาะตอนจบที่จบแบบเบา ๆ ดื้อ ๆ ไม่สมกับที่เดินเรื่องมากว่าสองชั่วโมงในแบบสูตรสำเร็จมาเวล ความเจ๋งเลยเป็นการนำเสนอพหุจักรวาลแบบผ่าน ๆ เพราะแม้หนังจะบอกว่าเป็นการเดินทางในพหุจักรวาล แต่จริง ๆ ก็มีพื้นที่ในการเล่นแค่ไม่กี่ที่ หนำซ้ำยังเป็นไปในทางที่เราไม่รู้สึกว้าวอะไรเท่าไหร่ มันเลยเป็นหนังมาร์เวลที่คนตั้งความหวังสูงอาจจะผิดหวัง แต่ก็ไม่ใช่หนังที่แย่ แค่รู้สึกว่ามันถ่ายทอดบทออกมาได้ดีและเกลี่ยความสำคัญได้มากกว่านี้ หนังมันสั้นไปด้วยแหละเอาจริง ๆ เหมือนเราไปเล่นบ้านผีสิง 2 ชั่วโมงแล้วกำลังชั่งใจว่า เราสนุกมั้ยนะ ทำให้เราจดจำมั้ย หรือแค่ผ่าน ๆ ไป ไม่คิดอะไรต่อไปอีก
ตัวละครหลักต่างก็ได้รับบทบาทที่โดดเด่นและสมควรกับเรื่องราวทั้ง สตีเฟ่น หรือ หมอแปลกที่คนไทยชอบเรียกกันจากคำว่าด็อกเตอร์ สเตรนจ์ ที่ในภาคแรก ๆ เราเห็นเขาพัฒนาเป็นจอมเวทย์ไวเกินไปจนแทบไม่รู้สึกอะไร มาภาคนี้ดีหน่อย คือมันพาเราไปสำรวจอคติ อัตตา ความหลงตัวเองที่แท้จริงมีที่มา ปมปัญหาในใจอะไรบางอย่างที่ฉุดรั้งเขาจากการมีความสุข แม้จะปกป้องโลก แล้วต้องมาเจอกับ วันด้า แม็กซิมอฟ ที่ถ้าใครดูซีรีส์วันด้าวิสชั่นมาแล้ว จะรู้ทันทีว่าพลังของเธอนั้นได้หลุดโลกไปไกลเกินไปแล้ว แต่ความหลุดโลกเราก็ยังพอเข้าใจได้ว่าสิ่งที่เธอได้รับมาตลอดตั้งแต่มีพลังเวทย์มันไม่แฟร์กับเธอเลย และการที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้ก็เพราะว่าเธอต้องการความสุขเหมือนที่สตีเฟ่นต้องการ เพียงแต่ต่างฝ่ายต่างต้องการวิธีที่ต่างกัน มันเลยให้อารมณ์จิตวิทยาในเชิงคุณธรรมกับจริยธรรมว่า เราควรปล่อยให้อะไรมันเป็นไป หรือจะทำอะไรสักอย่างเพื่อย้อนคืนมา แม้ตรงนี้จะเล่าไม่มาก แต่ก็แข็งแรงพอที่จะทำให้เราเข้าใจความหมายและความต้องการของตัวละครสองตัวนี้ ทั้งในเรื่องของพลังเวทย์ที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน เช่นเดียวกับอุดมการณ์ที่ปะทะกันไปมาอยู่ตลอด
ในขณะที่ตัวละครรองลงมาอย่าง คริสทีน จากแฟนเก่าสู่คนรู้ใจที่ทำได้แค่อยู่ข้าง ๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นยังไงเธอกับสตีเฟ่นก็ไม่เคยไปกันรอด ปมปัญหาในใจของเขามันผลักทุกคนออกไป แต่เธอก็คอยสนับสนุนและผลักดันให้สตีเฟ่นทำในสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะมีผลลัพธ์ออกมายังไง เป็นความสัมพันธ์ที่อบอุ่นและแอบอมทุกข์อยู่เล็ก ๆ อเมริกา ตัวละครใหม่ในจักรวาล เธอคือผู้หญิงแสบซ่าก๋ากั้น แถมยังเป็น LGBTQ+ ที่ได้รับการปลูกฝังอย่างดีจากแม่ทั้งสองของเธอ ช่วยให้พื้นที่กับความหลากหลายทางเพศแบบไม่ได้รู้สึกยัดเยียดแบบที่แฟนหนังช่วงหลัง ๆ เป็นกัน การมาของเธอครั้งนี้เหมือนเป็นการปูเธอไปสู่อะไรที่ใหญ่ซะมากกว่าจะมีบทบาทสำคัญอะไรใหญ่ ปมของเธอจึงเป็นความไม่มั่นใจและหวาดกลัวในพลังของเธอ แต่ในความไม่มั่นใจของเธอ มันได้สร้างแรงกระเพื่อมครั้งสำคัญให้กับพหุจักรวาล มอร์โด้ อดีตเพื่อนผู้พาสตีเฟ่นเข้าวงการเวทย์ ปูมาซะดิบดีตั้งแต่ภาคแรก พอจะมาร้ายก็มาร้ายแบบผ่าน ๆ ไม่มีอะไรน่าจดจำ ส่วนหว่องนี่ตัวขโมยซีนเลย มาทั้งฮา ดราม่า แอ็คชั่นเรียกเสียงฮาได้ตลอดโรง แถมยังคอยเป็นเพื่อนคู่คิดให้สเตรนจ์และสนิทสนมมากกว่าที่่ผ่านมา นอกนั้นก็มาแบบให้ว้าว ๆ แล้วก็กาวเอาซะมากกว่า แต่คอนเซปต์มันคือมัลติเวิร์ส เพราะงั้นมันถึงได้น่าติดตาม
ประเด็นของเรื่อง มันให้อารมณ์คล้าย ๆ ซีวิลวอร์ คือ การชั่งน้ำหนักระหว่างความถูกต้องของดร. สตีเฟ่น สเตรนจ์ที่ไม่ว่าจะโหยหาความสุขมากแค่ไหน เขาก็ยังเลือกที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง หรือ การทำทุกอย่างให้ได้มาซึ่งความต้องการของตัวเองแบบวันด้าที่เรารู้ว่าแฟนมาร์เวลต้องไม่ชอบตัวละครนี้ เพราะพลังของเธอมันเหลือล้น แต่ในขณะเดียวกัน ความเปราะบาง ความหลอนของเธอก็เกิดขึ้นจากสิ่งที่โลกทำเอาไว้ และมันบีบบังคับผลักให้เธอไปถึงจุดที่อาจสายเกินเยียวยา อาจจะไม่ได้ถึงขั้นแบ่งทีม แต่หลังจบต้องมีดีเบทและไม่ว่าฝั่งไหนจะถูก ฝั่งไหนจะผิด สิ่งที่เราได้คือ เราควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้ เพราะสุดท้ายแล้ว ทุกอย่างมันก็ขึ้นกับตัวเรา อยู่ที่ไหน มันก็แปรเปลี่ยน ไม่มีสิ้นสุด เพราะงั้นจงยอมรับความเจ็บปวด ยอมรับความจริงแล้วเดินหน้าต่อไป เหมือนที่ตัวละครได้เรียนรู้ผ่านพหุจักรวาล ผ่านชีวิตที่พวกเขาไม่เคยมี และมันก็ต้องเป็นไปแบบนั้นผ่านการตัดสินใจที่เกิดทางเลือกมากกว่า 1 ทางเลือก บางทีอาจจะมีเราที่มีชีวิตที่ดีกว่าในสักจักรวาลนึง แต่ในเมื่อเราเกิดมาในจักรวาลนี้ มันก็ไม่ได้แย่ เพราะสิ่งที่เราได้รับในทุกวันนี้ มันมีค่าแม้ไม่สมบูรณ์แบบ แต่มันก็ผลักดันให้เราพยายามมาจนถึงในจุด ๆ ที่เราพอใจแล้วที่มี และจะไม่มีใครมาแย่งไปจากเราได้ ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ดีที่เข้ากับตีมเรื่องพหุจักรวาลได้อย่างไม่น่าเชื่อ และไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เห็นในหนัง MCU และมันไปได้ตามที่มันควรจะเป็น
ในส่วนของนักแสดง เราอาจจะได้เห็นเบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ จากบทคาวบอยห่ามสถุนจาก อำนาจบาดเลือดแค้น พอมาในหนังมาร์เวล เขาก็สามารถดึงให้ตัวละครสตีเฟ่นมีความน่าสนใจ มีความน่าติดตาม มีบางอย่างที่เราเข้าถึงได้ และเขายังต้องแสดงหลายบุคลิกเพื่อทำให้เราเชื่อว่าเขาไม่ได้เป็นแค่คน ๆ เดียว และทำให้ใครหลายคนที่รู้สึกว่าเก่งเกินไป ให้กลายเป็นที่ยอมรับได้ด้วยบุคลิกที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่เขาก็พยายามทำให้เราเข้าใจว่าชีวิตมันไม่เคยเป็นไปตามที่ต้องการ แต่คนที่ควรยกถ้วยให้กลับเป็น อลิซาเบธ โอลเซ่นในบทวันด้าที่ต้องแสดงในบทที่แสนซับซ้อน น่าสงสาร น่าสะพรึง อาจจะน่ารังเกียจ แต่ก็ไม่ใช่ตัวละครที่เราจะสามารถตราหน้าหรือพูดเต็มปากว่าเราเกลียดเธอ เธอคือตัวละครที่บอบช้ำและเจ็บปวด น้ำตาทุกหยดและทุกอารมณ์ที่โกรธเกรี้ยว เธอสะกดและทำให้คนดูตะลึงและร้องว้าวทุกครั้งในทุกฉาก และมันเป็นสิ่งหนึ่งที่ตีคู่มากับตัวละครหลักคือความลึกของตัวละคร ความลึกที่มากกว่าตัวอย่างพยายามเสนอ เธอก็เป็นมนุษย์คนนึงที่พยายามทำทุกอย่างในแบบที่คิดว่าสมควร เพื่อเยียวยาความเจ็บปวด และอลิซาเบธคงเป็นวันด้าที่สมบูรณ์แบบที่สุด
โซชิตล์ โกเมซ อาจจะไม่ได้โชว์อะไรมากเท่าสองคนที่กล่าวไป แต่เธอก็โชว์ศักยภาพการแสดงที่เป็นธรรมชาติ ทั้งเศร้าและตลก ศักยภาพที่ทำให้เธอเป็นตัวขโมยซีน และน่าสนใจว่าเธอจะเป็นอย่างไรในอนาคต แต่ที่ขอติเลย คือซีจีช่วงแรก ๆ ลอยมาก ให้อารมณ์เหมือนหนังสไปเดอร์แมนภาคแรกของผู้กำกับเลย คือเกรดสีมันทำให้ฉากมันดูลอย ๆ จนทำให้เซ็ตฉากมันไม่น่าเชื่อ ในขณะที่ภาพและการนำเสนอของหนังให้อารมณ์แบบหนังมาร์เวลแต่หลุดไปทางหนังสยองขวัญจริง ๆ ทั้งฉากจัมพ์สแคร์ ฉากแหวะ ฉากเหวอ ๆ หรือฉากตลอดล้วนถูกทำภาพออกมาแบบมีลายเซ็นผีอมตะอย่างแท้จริง จนอดคิดไม่ได้ว่ามาร์เวลเลือกเขามาคงเพราะเขาสามารถเนรมิตพหุจักรวาลแบบเพี้ยน ๆ ให้สุดขนาดนี้ได้อย่างแน่นอน ในส่วนดนตรีประกอบก็มีความร็อคผสมอลัง ๆ ซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนในจักรวาลถือเป็นอะไรที่แปลกใหม่และดึงอารมณ์ของหนังได้ดี
สรุป Doctor Strange in the Multiverse of Madness สนุกและดีไหม
ภาพยนตร์มาร์เวลกลิ่นอายหนังสยองขวัญแบบผีอมตะกับหนังจอมเวทย์พลังเวอร์วัง มันบันเทิง ตลก สยองขวัญ ชวนเหวอและสนุกอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ด้วยความที่หนังมันสั้นเกินไปเนี่ยแหละที่ทำให้ช่องโหว่ของบทมันเยอะ ทั้งน้ำหนักของเรื่องราว บทที่รวบรัด และบทสรุปที่ออกจะดื้อ ๆ จนพูดไม่ไ่ด้เต็มปากหรอกว่าดีมากตามที่หนังวิจารณ์ แต่ก็ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่ถ้าเป็นแฟนมาร์เวลที่ตามมาตลอดก็ห้ามพลาด ส่วนคนนอกถ้าไปดูคงได้อารมณ์แบบไปดูบ้านผีสิงหรือรถไฟเหาะ ดูจบแล้วอาจจะอยากกลับไปตามจักรวาลหรือดูจบแล้วก็ผ่านไปเหมือนหนังเรื่องนึง ก็นานาจิตตัง ส่วนผมก็รู้สึกว่าได้เห็นทิศทางมาร์เวลที่หวังไว้ว่าจะเห็นมันฉีกไปไกลก็พอจะอุ่นใจว่า 10 ปีข้างหน้า มุกมาร์เวลคงไม่ได้กำลังตันไว และคงมีแนวทางใหม่ที่สามารถมาปรับใช้กับจักรวาลนี้ได้เรื่อย ๆ …
ชมได้แล้ววันนี้
ในโรงภาพยนตร์
เร็ว ๆ นี้ ทาง Disney+
- ติดตามผลงานของผม Thousand Mar ได้ ที่นี่
- อยากอ่านรีวิวซีรีส์จักรวาล MCU ในเฟส 4 เพื่อความต่อเนื่องทั้งหมด สามารถกดอ่านในข้อความชื่อเรื่องข้างล่างนี่เลยWANDAVISION, FALCON AND THE WINTER SODIER, LOKI, WHAT IF…?, BLACK WIDOW, SHANG-CHI, ETERNALS, HAWKEYE, SPIDER-MAN: NO WAY HOME