รีวิว DOTA: Dragon’s Blood: Book 2 สานต่อตำนานเลือดมังกร (ไม่สปอยล์)
DOTA: Dragon’s Blood: Book 2
สรุป
อนิเมชั่นซีรีส์จากเกมดังที่ยกระดับจากซีซั่นก่อนในทุกด้านทั้งสไตล์งาน การเล่าเรื่องที่รวดเร็วเข้มข้นมีฉีกกรอบสูตรสำเร็จ ประเด็นสำคัญ มิติของตัวละครที่ไม่แบนราบ แต่ซีจียังลอยและบางฉากไม่มีการขยี้อารมณ์เหมือนเดิม แต่แฟนเกมจะยิ่งชอบและประทับใจไปกับมัน
Overall
8/10User Review
( votes)Pros
- เรื่องราวที่เข้มข้นขึ้น ไม่วนในอ่าง เดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
- ตัวละครมีความน่าสนใจ มีมิติ และฉากสำคัญเป็นของตัวเองไม่ว่าจะมากหรือน้อย
- ประเด็นทางสังคมการเมืองเข้มข้นไปทุกอนูมากกว่าซีซั่นก่อน
- ฉากแอ็คชั่นและงานอาร์ตที่สวยงามและน่ากลัว
- เอาใจแฟนเกมด้วยการบอกเล่า LORE (ความรู้ที่สอดแทรกในเกมต้นฉบับ) มากขึ้น
- หักมุมและเดาเรื่องแทบไม่ได้ ไม่มีสูตรสำเร็จของซีซั่นแรกอีกต่อไป
- ลายเส้นและอนิเมชั่นที่พริ้วไหวและมีสไตล์เป็นของตัวเอง
- เสียงพากย์ไทยอันยอดเยี่ยม
Cons
- ซีจีกราฟิกมีลอยหลายฉากมาก ตัดต่อเปลี่ยนฉากค่อนข้างประหลาด
- ขาดการขยี้อารมณ์หรือทิ้งช่วงในเรื่องราว รวบรัดหนักไปจนไม่สุดทาง
DOTA: Dragon’s Blood: Book 2 (DOTA: เลือดมังกร เล่ม 2) อนิเมชั่นซีรีส์ดัดแปลงจากวิดีโอเกมชื่อเดียวกันของ VALVE ร่วมทุนสร้างกับ Netflix Animation และ Studio Mir ที่ฝากผลงานยอดเยี่ยมไว้อย่าง The Witcher Nightmare Of The Wolf กับเรื่องราวดาร์กแฟนตาซีที่สานต่อความเข้มข้นและจุดเปลี่ยนของชะตากรรมแห่งโลก ชะตากรรมที่ทุกตัวละครต้องเผชิญหลังจบซีซั่น 1 สตรีมได้แล้ววันนี้พร้อมเสียงพากย์ไทย
ตัวอย่าง DOTA Dragon’s Blood: Book 2 (DOTA: เลือดมังกร เล่ม 2)
รีวิว DOTA Dragon’s Blood: Book 2 (DOTA: เลือดมังกร เล่ม 2)
หลังจากสงครามที่ป่าไนท์ซิลเวอร์ที่ได้ส่งคำเตือนให้ทั้งแผ่นดินรับรู้ถึงความชั่วร้ายของอินโวคเกอร์ เอลฟ์ที่ต้องการจะสังหารเซเลเมเน่ เทพีแห่งจันทรา ทำให้เดเวียน อัศวินมังกร และเจ้าหญิงมิราน่าจำต้องถูกแยกจากกัน ในขณะที่เดเวียนต้องเผชิญหน้ากับคำถามและต้นกำเนิดที่แท้จริงของชนเผ่ามังกรที่ออกไล่ล่าพลังและคำสาปของเขาในดราก้อนโฮลล์ร่วมฟิมริน เด็กสาวเอลฟ์ที่มีอนาคตในกำมือเธอ ในขณะที่เมลิน่า ลูน่า คนชั่วช้าแห่งที่ราบ นักรบผู้ปฏิเสธที่จะสรรเสริญเซเลเมเน่ และมาร์ซี่ สาวรับใช้หญิงใบ้มากฝีมือที่หนีรอดมาได้ ยังคงมุ่งมั่นที่จะต่อสู้ในสงครามครั้งใหม่ที่เลวร้ายกว่าที่เธอรู้จักเพื่อบูชา และมีเพียงศรัทธาและกำลังที่จะช่วยเหลือพวกเขาได้ แต่เมื่อภัยร้ายและแผนการที่ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ทั้งมนุษย์และเอลฟ์ต่างห้ำหั่นเพื่ออำนาจ และเมื่อลีน่า จอมสังหารพลังเพลิงเข้ามาเป็นตัวแปรครั้งสำคัญของศึกครั้งนี้ จึงถึงคราวที่เลือดมังกรของเดเวียนและพลังที่หลับใหลและซ่อนเร้นจะพลิกชะตากรรมของทั้งโลกได้ แต่มันจะสามารถเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น หรือทำให้มันแย่ลงมากกว่าเดิม
ต้องบอกก่อนเลยว่า เนื้อเรื่องทิ้งช่วงห่างจากซีซั่นแรกได้ไม่นานและเดินหน้าต่อโดยไม่มาปูเรื่องราวอีกต่อไป เพราะงั้นถ้าใครยังไม่ได้ดูซีซั่นแรก หรือดูแล้วลืมก็คงจะต้องงงแน่ ๆ เพราะมันอัดแน่นข้อมูลเล่าไว้เพียบ ทั้งลอร์ของจักรวาล ทั้งปริศนามากมายของตัวละครที่เราเคยสงสัยหรืออยากเห็น เราก็ได้เห็น อีกทั้งมันยังกล้าที่จะสาดซัดความรุนแรงแบบไม่ยั้งมือ เรียกได้ว่าแม้แต่ตัวเอกก็ยังมีสภาพแทบไม่ต่างอะไรกับตัวประกอบ กับเนื้อเรื่องที่ซีซั่นนี้จะเน้นในเรื่องการเมืองอาณาจักรที่เข้มข้นมาก การเฉลยปมในอดีตของตัวละครหลัก ๆ และสอดแทรกบทบาทของตัวละครใหม่ ๆ จุดเปลี่ยนสำคัญและพัฒนาการตัวละครที่เด่นชัดขึ้น และได้รับการพัฒนาในด้านการเล่าเรื่องให้มีความลุ่มลึกและไม่เป็นสูตรสำเร็จ และเคลียร์ปมสำคัญไปได้สำเร็จและเพิ่มชั้นเชิงในการเล่าทางแฟลชแบ็คที่ดูเสริมเรื่องราวมากกว่าซีซั่นแรก และจัดเต็มฉากแอ็คชั่นแบบจุใจ แต่ข้อเสียก็ยังคงเป็นมันยังคงมีปัญหาในการเล่าเรื่องค่อนข้างรวบรัดขาดการขยี้เรื่องราวหรือฉากต่างที่มันควรจะได้อารมณ์ แถมพล็อตหลักบางจุดที่ควรเป็นจุดสนใจ ก็ยังคงดูโหวง ๆ ดูลอย ๆ ไม่ค่อยหนักแน่นเท่าเส้นเรื่องรองบางอันด้วยซ้ำ แต่ถึงแบบนั้นในภาพรวมมันก็พัฒนาทำได้ดีกว่าซีซั่นแรกจริง ๆ
ตัวละครของเรื่องมีพัฒนาการเป็นของตัวเองและมีมิติเล็กน้อยตามกันไปเมื่อเทียบกับซีซั่นก่อนที่ค่อนข้างแบนราบกลับมีความน่าสนใจไปหมด ไม่ว่าจะเป็น เดเวียน อัศวินมังกรที่ตอนนี้เขาเริ่มเข้ากับตัวเอง มีความกล้า ความมุ่งมั่นและไม่เห็นแก่ตัว พร้อมจะเสียสละทุกอย่าง แต่มาพร้อมด้วยความประมาทแบบที่พวกเขาเป็นประจำ เจ้าหญิงมิราน่าที่กลายเป็นผู้นำกองทัพที่เข้มแข็งและทรงพลังในการตัดสินใจเมื่อเธอได้รับอำนาจที่สูญเสียไปคืนมา ฟิมริน ยังคงออกทำภารกิจเพื่อรับใช้อินโวคเกอร์จอมโฉด ผู้หวังจะสังหารเซเลเมเน่ เทพีแห่งจันทรา แต่ก็ยังไม่เข้าใจในเป้าหมายตัวเอง และคอยสนับสนุนเดเวียน มาร์ซี่สาวใบ้ที่เราได้เห็นอดีตของเธอว่าทำไมเธอถึงเก่งกาจและทำเพื่อมิราน่าขนาดนี้ ถ้าใครชอบเธอก็จะยิ่งประทับใจ แม้บทบาทของเธอจะไม่ได้โชว์แอ็คชั่นจัดเต็มมากเท่าซีซั่นแรก
ตัวละครหนุ่มน้อยจอมเรื่อยเปื่อยแบรมที่ซีซั่นก่อนมามีบทตลกผ่าน ๆ คราวนี้เขามีบทบาทเด่นและมีฉากต่อสู้เท่ ๆ เรียกได้ว่ามาเป็นตัวตลกและขโมยซีนที่จะขโมยใจทุกคน ลูน่าหญิงแกร่งที่ยังเป็นกำลังสำคัญและไร้ความอ่อนแอพ่วงมาด้วยคู่หูจำเป็น ตัวละครใหม่ในซีซั่นนี้จะมีลีน่า หญิงสาวแห่งพลังไฟที่หลงรักเดเวียนและหวังจะใช้เขาในการครองบัลลังก์ เธอเคลือบแคลงใจในระบบราชวงศ์แต่ก็คอยทำงานให้ และเป็นตัวละครหลักที่เด่นพอ ๆ กับมิราน่าเลย เรียกได้ว่าเป็นเหมือนนางรองของซีซั่นนี้เลย เพราะเธอมีซีนที่น่าเห็นใจและเต็มเปี่ยมไปด้วยมิติมาก ๆ ส่วนอินโวคเกอร์บทก็แทบไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเท่าไหร่ แค่ทำหน้าที่ของตัวเองด้วยความปรารถนาและความกลัวในจิตใจ
ประเด็นสำคัญของเรื่องคงเป็นเรื่องของชีวิต ชีวิตของผู้คนที่ในโลกแฟนตาซี คนธรรมดาเป็นแค่เหยื่อหรือประกอบที่ถูกสังหารเพื่ออำนาจอย่างไม่ต้องรู้สึกผิด อำนาจที่ใช้เกิดขอบเขตก็กลายเป็นภัยย้อนกลับมาทำร้ายของตัวเอง ผลประโยชน์ทางการเมืองที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ต้องการ การหลอกลวงเพื่อรักษาสิ่งที่มีอยู่ ความกล้าที่สะท้อนผ่านความกลัวที่ผลักดันให้คนเราลุกขึ้นสู้ไม่ว่าจะผิดหรือถูก แม้ในบางครั้งทุกอย่างมันดูผิดที่ผิดเวลาและไร้เหตุผลมารองรับ แต่เพราะสงครามก็ล้วนเกิดจากความต้องการอันไร้สาระและป่าเถื่อน เป็นเรื่องราวที่ถูกเล่าขานอย่างน่าสลดใจว่าต้องมีใครบ้างที่ตาย ที่ได้รับการจดจำหรือหลงลืม การพัฒนาตัวเองและค้นหาตัวตนที่หายไปจากสถานการณ์บีบบังคับเมื่อเวลามาถึง มันอาจต้องทรมานหรือแทบจะเป็นไปไมได้ แต่ทุกครั้งที่เราพยายาม มันก็มักจะได้ผลที่เปลี่ยนไป ไม่สูญเปล่าเสมอ การเสียสละเพื่อสิ่งที่ตัวเองรักแม้จะต้องตายก็พร้อมมันก็คุ้มค่าต่อชีวิตที่เหลืออยู่ หรือการเมืองที่ผู้นำปกครองราชวงศ์อย่างเผด็จการและชอบหาแพะมาสร้างความชอบธรรมของตัวเองเมื่อไม่สามารถหาต้นสายปลายเหตุได้ เมื่อเกิดปัญหาในอนาจักร และธรรมชาติก็คือสิ่งที่สรรค์สร้างพลังแห่งจักรวาลและทำให้มันมีอำนาจทรงพลังกว่าสิ่งมีชีวิตใด ๆ กายหยาบหรือกายทิพย์ก็คือธรรมชาติล้วนมีชีวิตจิตใจไม่เคยไร้ค่า ขอแค่รู้ตัวเรามีหน้าที่ ไม่หลงลืมเป็นใคร เชื่อมั่นในตัวเอง เราก็มีความหมาย
ในส่วนขององค์ประกอบของงานภาพก็รู้สึกถึงความไหลลื่นขึ้น แต่ตัวลายเส้นไม่ค่อยเปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังมีท่วงท่าในฉากแอ็คชั่นที่บู๊ล้างผลาญที่ว่องไวและชวนตื่นตาตื่นใจ รวมไปถึงแสงสีที่ปรากฏในเรื่องดูมีมิติและความน่าสนใจ อาจจะไม่ได้ระดับอนิเมชั่นดีเลิศ แต่ก็ยังดีในตัวของมัน เช่นเดียวกับงานกราฟฟิกต่าง ๆ ภายในเรื่องที่มีงานสวย ๆ ให้ดูมากกว่าซีซั่นก่อน สิ่งที่ขัดใจสุด คือซีจีที่ดูลอยไม่เข้ากับฉากในเรื่องที่เดี๋ยวก็ดูสวย แต่บางครั้งก็เห็นได้ชัดว่ามันทำลายมู้ดเรื่อง ตัดต่อเปลี่ยนฉากค่อนข้างประหลาด ในส่วนเพลงประกอบก็ไม่ค่อยมีอะไรที่โดดเด่นหรือน่าจดจำเท่าซีซั่นแรก ด้านของเสียงพากย์ไทยนั้นก็จัดเต็มเหมือนเดิม มีนักพากย์ไทยอาวุโสที่มาพากย์กันในทีมเน็ตฟลิกซ์เยอะมาก เช่นน้าติ่ง อาเปี๊ยก ที่ทำให้อนิเมชั่นมีความเข้มข้นและเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ทำให้เราหยุดใจดูไม่ได้ตลอด 8 ตอนด้วยความยาว 25 นาทีเหมือนกับซีซั่นแรก
สรุป DOTA Dragon’s Blood: Book 2 (DOTA: เลือดมังกร เล่ม 2) สนุกและดีไหม?
เป็นอนิเมชั่นซีรีส์จากเกมดังอีกเรื่องที่อาจจะไม่ได้เป็นที่สนใจระดับถล่มทลาย แต่ก็สามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยความดีของมัน ใครเป็นแฟนเกมหรือแฟนโลกแฟนตาซี คุณจะต้องสนุกและชอบมันอย่างแน่นอน มันได้ขยายการเล่าเรื่องและตัวละครที่น่าสนใจและยกระดับให้มันดีไปหมดทุกด้าน แต่ต้องดูซีซั่นแรกให้จบก่อน ไม่งั้นจะงงมาก แม้งานภาพจะไม่ค่อยโดดเด่นในวงการอนิเมะ มีบางฉากที่ซีจีที่ลอยไปบ้าง แต่ก็เพียบพร้อมไปด้วยแอ็คชั่นสุดตื่นตาและความโหดร้ายแบบ 18+ ที่เด็กควรได้รับคำแนะนำในการรับชม เพราะเลือดหลั่งแทบทุกตอนเลยทีเดียว และอย่าลืมว่าพากย์ไทยเรื่องนี้เข้มข้นและเต็มอารมณ์ที่ใครเป็นสายชอบพากย์ไทยต้องห้ามพลาดเด็ดขาด
SS3 มีต่อไหม มาเมื่อไหร่?
ตอนนี้ทาง Netflix ยังไม่ได้ประกาศซีซั่น 3 ต้องรอครบ 28 วันไปก่อนตามการเก็บสถิติผู้ชม แต่ถ้าดูจบแล้ว จากท้ายเครดิตของซีซั่นนี้ ก็เป็นไปได้ว่าน่าจะมีซีซั่น 3 ต่อ เพราะมีการทิ้งเรื่องราวบางอย่างที่ยังค้างคาอยู่ กำหนดการคงฉายปี 2023 คงต้องรออัพเดทยืนยันอีกครั้งครับ