รีวิว DOTA: Dragon’s Blood จากเกมแนว MOBA สู่อนิเมชั่นแฟนตาซีเลือดสาดใน Netflix (ไม่สปอยล์)
DOTA: Dragon's Blood
สรุป
อนิเมชั่นจากเกมที่มีสไตล์เป็นของตัวเอง ธรรมดาราบเรียบในด้านอื่น ๆ ไปบ้าง แต่ก็ยังดูเพลิน ๆ แฟนเกมต้องชอบมาก ๆ เพราะอัดแน่นด้วยแฟนเซอร์วิสเพียบ
Overall
7/10User Review
( vote)Pros
- การตีความเรื่องราวก่อนสงครามใน DOTA 2 เดาออกยากว่าเรื่องจะไปทางไหน
- ฉากแอ็คชั่นและการฟาดฟันสุดมันส์ ที่มีเลือดสาดกันในทุกตอน
- เอาใจแฟนเกมด้วยการบอกเล่า LORE (ความรู้ที่สอดแทรกในเกมต้นฉบับ)
- เพลงประกอบสุดอลังการราวกับหนังสงคราม งานภาพสไตล์เกาหลีที่การเคลื่อนไหวจะไม่พริ้วแต่จะสมจริงและมีสไตล์
Cons
- การเล่าเรื่องค่อนข้างธรรมดา ปมปัญหาค่อนข้างเฉย ๆ พล็อตเบาบาง แต่มาระเบิดเอาช่วงท้าย
- ตัวละครเดเวียนไม่เด่นสมชื่อเรื่อง ตัวละครอื่นเด่นกว่า แต่ไม่น่าเอาใจช่วยมากเท่าไหร่
- คนไม่เคยเล่นเกมอาจมีงงบ้าง
- จบแบบค้างคาและจงใจมีเล่ม 2 (ซีซั่น 2) สไตล์เน็ตฟลิกซ์ ต้องมารอลุ้นอีกว่าจะได้ไปต่อมั้ย
DOTA Dragon’s Blood (DOTA: เลือดมังกร) อนิเมชั่นซีรีส์แนวดาร์กแฟนตาซี พัฒนาโดย แอชลีย์ มิลเลอร์ ผู้สร้าง Terminator: The Sarah Connor Chronicles และร่วมเขียนบทหนังดังมากมาย ทั้ง เอ็กซ์เมน รุ่นหนึ่ง และ ธอร์ เทพเจ้าสายฟ้า ดัดแปลงจากวิดีโอเกมชื่อเดียวกันของ VALVE ร่วมทุนสร้างกับ Netflix Animation และ Studio Mir สตูดิโอสร้างอนิเมชั่นจากประเทศเกาหลีที่เคยฝากลายเส้นเอาไว้กับ Animation ชื่อดังอย่าง The Legend of Korra, The Death of Superman (2018) โดยหยิบนำเรื่องราวของตัวละครในจักรวาลเกม MOBA ชื่อดังอย่าง เดเวียน นักรบผู้แสนทนทานที่ถ้าใครเป็นแฟนคลับ DOTA 2 จะต้องไม่พลาดแน่นอน ไหนจะพกตัวละครในเกมมาราวกับเซอร์วิสทั้งคนเล่นเกมและคนชอบโลกแฟนตาซีสุดบรรเจิด และเนื้อเรื่องสุดเข้มข้นระดับอนิเมชั่นตะวันตกเช่นเดียวกับ Castlevania, The Legend of Korra, Berserk แต่มันจะถึงขั้นสามเรื่องนี้หรือเปล่านะ
DOTA Dragon’s Blood คืออนิเมชั่นที่จะถ่ายทอดเรื่องราวความสัมพันธ์และการออกตามหาคำตอบของตัวละครเดเวียนที่ชีวิตพลิกผัน เชื่อว่าเกมเมอร์น้อยคนจะไม่รู้จัก DOTA2 เกมแนว MOBA วางกลยุทธ์และการใช้สกิลเพื่อเอาชนะและตีทัพอีกฝ่ายให้ได้ ที่ได้รับการต่อยอดจากแม็พเล็ก ๆ ในเกมดังอย่าง WARCRAFT 3 : FROZEN THRONE ที่ดันได้รับความนิยมจนเกิดเป็นกระแสไม่แพ้กับเกมหลัก จนทำให้ผู้สร้างเกมนั้น เลือกที่จะทำเกมแนวเดียวกันออกมาโดยวาวล์ ค่ายเกมผู้ไม่นับ 3 ก็ได้นำไปต่อยอดจนเกิดเป็นภาค 2 ผมเองก็ไม่เคยเล่น แต่ก็เคยได้ยินมาบ้างเกี่ยวกับตัวละครที่เกมมันใส่เข้ามาเป็นแบ็คกราวด์ของเรื่องราวให้เราเข้าใจและรู้สึกอิน ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีวันได้หยิบนำมาทำเป็นอนิเมชั่นได้ โดยเป็นเนื้อเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนในเกม เพราะด้วยที่จักรวาลนี้มันค่อนข้างกว้างใหญ่มาก แบบที่ผมไม่คิดว่าจะตามทัน ดังนั้นผมจะขอโฟกัสในฐานะของคนดูทั่วไปที่รู้จักเกมผ่าน ๆ ก็ขอบอกเลยว่าองค์ประกอบต่าง ๆ หรือเซอร์วิสจากเกม ผมอาจจะไม่สามารถอธิบายได้ เท่ากับการพูดถึงภาพรวมของอนิเมชั่นนี้นะครับ เอาล่ะ รู้กันแค่นี้คร่าว ๆ ไปแล้ว มาอ่านเรื่องย่อ
“ในโลกแฟนตาซีที่มีสิ่งมีชีวิตหลากหลายทั้งมนุษย์ ปีศาจ เอลฟ์ และ เทพเจ้า โชคชะตาของนักรบขวัญใจผู้คนอย่าง เดเวียน ต้องเปลี่ยนไปตลอดกาลระหว่างการตามล่ามังกรโบราณที่ออกไล่ล่าผู้คน เมื่อเขาพลาดท่าถูกสังหารโดยมังกรผู้เปิดเผยความจริงเกี่ยวกับต้นกำเนิดของเขา แต่ได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าหญิง มิราน่า เจ้าหญิงแห่งจันทราและตะวันผู้ห้าวหาญที่ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขา ชะตากรรมทั้งคู่ประสานกัน พร้อม ๆ กับการเดินทางในโลกที่มีแต่ความชั่วร้ายและความไม่น่าไว้ใจ ทั้งหมดต้องร่วมมือกันที่จะเอาชีวิตรอดเพื่อเป้าหมายสูงสุด โดยไม่รู้ว่าชะตากรรมที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะจินตนาการของพวกเขากำลังใกล้เข้ามา”
เติมเต็มจักรวาลเกม ชะงักด้วยการเล่าเรื่องสุดธรรมดา
สำหรับใครที่ไม่เคยเล่นเกม คุณจะเข้าใจเนื้อเรื่องได้ทันที เพราะซีรีส์จะเล่าปูคร่าว ๆ และด้วยความที่มันเป็นเนื้อเรื่องก่อนหน้าในเกม เราจะได้ทำความรู้จักตัวละครทีละคนที่โผล่มาแบบโต้ง ๆ ไม่มีอะไรซับซ้อนในแบบโลกแฟนตาซียุคโบราณ บวกด้วยเรื่องแนว ๆ ผู้ถูกเลือกที่มีต้นกำเนิดเป็นพล็อตสำคัญของเรื่อง แต่ในขณะเดียวกันคนเล่นเกมก็อาจจะชอบเพราะรู้สึกได้ว่ามีอะไรหลาย ๆ อย่างในเรื่อง ท่วงท่าการต่อสู้ อาวุธหรือไอเท็มการบอกเล่าเรื่องราวตำนานมันค่อนข้างจะต้องเป็นคนที่เล่นเกมพอสมควรถึงจะรู้สึกถึงเซอร์วิสเกม แต่ในฐานะคนดูทั่วไป ผมมองว่ามันเล่าเรื่องธรรมดาไป และพล็อตมันก็ไม่ได้แปลกใหม่อะไรเลย เนื้อเรื่องก็แอบมีมู้ดคล้าย ๆ กับซีรีส์จากเกมแฟนตาซีก่อนหน้าอย่าง เดอะวิชเชอร์ ที่ซับซ้อนน้อยกว่าและให้อารมณ์เบากว่า เพราะการเล่าเรื่องก็เป็นเส้นตรง เล่าเป็นตอน ๆ สลับกับเหตุการณ์อีกฟากและแฟลชแบ็ค แถมจบตอนก็ไม่ได้รู้สึกอยากติดตามอะไร แต่ก็ต้องดูเพราะอยากเห็นว่าจะมีจุดพีคหรือเปล่า ซึ่งก็ต้องผ่านสองตอนแรกไปให้ได้ซะก่อน ซึ่งส่วนตัวก็ไม่รู้อะไรเลย ถ้าใครเล่นเกมมาแล้วรู้สึกว้าวกับการตีความของฉบับเกมมาอยู่ในซีรีส์ก็พอเข้าใจได้ ในความยาวแต่ละตอนไม่ถึงครึ่งชั่วโมงที่สามารถเล่าจบเป็นประเด็น ๆ ไปมีสลับกับฉากสะเทือนอารมณ์ที่บางครั้งก็มาแบบดื้อ ๆ จนไม่สามารถอินได้เลย อาจจะเพราะปูตัวละครมาค่อนข้างไม่มาก แล้วก็โยนพวกเขาเข้าสู่เรื่องราวทันทีเพราะความยาวของแต่ละตอนก็มีไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ทำให้ในด้านการพัฒนาตัวละครแทบไม่มีเลย ช่วงครึ่งหลังซีรีส์จึงได้โหมกระหน่ำทั้งปมและความรุนแรงระดับ 18+ ที่ไม่มีเรื่องเซ็กส์มาเกี่ยวข้อง แต่ถ้าฆ่ากันเลือดสาดก็มีหอมปากหอมคอพอให้เด็กเล็กที่ได้ดูกริ๊ดได้ เพราะงั้นไม่ควรให้คนอายุต่ำกว่า 18 ปีดูเด็ดขาด
ตัวละครแบนราบ เกือบไร้ความน่าสนใจ
ตัวละครในเรื่องเฉยมาก ไม่รู้สึกอะไรเลย ทั้งในด้านบทบาทไม่ว่าจะนักรบ เจ้าหญิง ปีศาจ มันค่อนข้างซ้ำซาก ด้วยความที่ตัวละครมาจากเกม รากฐานนิสัยหรือการกระทำมันจะค่อนข้างแปลก ๆ หน่อย ไม่ว่าจะเดเวียนที่เป็นตัวละครหลักของเรื่องที่มุ่งมั่นและมีอดีตที่ยิ่งใหญ่ แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกเห็นอกเห็นใจ แถมคาร์แร็คเตอร์ก็แนวผู้กล้าที่ถูกเลือก เมื่อเทียบกับตัวละครมิราน่าที่มีมิติและมีปมที่น่าสนใจกว่าในการกระทำ ทำให้ตัวละครประจำชื่อเรื่อง กลายเป็นเหมือนตัวประกอบซะงั้น ไหนจะตัวละครรอบ ๆ ที่ดูมีมิติแม้จะเป็นฝ่ายตรงข้ามแต่เป็นตัวละครที่เราสนใจและอยากจะเห็นว่าชีวิตของพวกเขาจะเป็นยังไงต่อไป มาร์ซี่ตัวละครหญิงที่ผิดคาดว่าจะเป็นตัวละครเรียบ ๆ ไม่มีอะไร แต่ดันมีมุมที่เฉียบขาดอย่างไม่น่าเชื่อ หรือจะเป็นกลุ่มอินโวฟ กลุ่มผู้ศรัทธา ปมตัวละครที่ต่างมีในอดีต และมุ่งสู่เป้าหมายเป็นของพวกพ้องตัวเอง แต่ก็ยังมีมุกตลกหรือมุมหลุด ๆ สุดน่ารักของตัวละคร ความโรแมนติกของพระนางในเรื่องนี้ให้ได้ลุ้นตามบ้าง หรือตัวละครเสริมที่มาช่วยขยับเรื่องราวให้เดินไปข้างหน้าด้วยปมเรื่องราวที่เอาจริงเอาจัง และคาดเดาไม่ได้เหมือนกัน เพราะตัวละครเหล่านี้ก็ไม่ใช่ตัวละครที่อยู่ในเกม แต่เป็นตัวละครใหม่ที่เราหรือแฟนเกมไม่เคยเห็นหรือรู้จักแน่นอน ทำให้คนเล่นเกมก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวมันไปบรรจบยังไงในเกม ในขณะที่คนไม่เล่นก็จะได้รู้จักตัวละครไปพร้อม ๆ กับซีรีส์เลยทีเดียว แต่ก็ออกมาน้อยตามความยาวของตอนที่สั้นมาก
ในโลกที่เต็มไปด้วยเป้าหมายต่างกัน ความดีนั้นยังหลงเหลืออยู่
ในโลกของซีรีส์ ทุกคนทำทุกอย่างเพื่อมีชีวิตรอด ไม่สนใจวิธีการ ไม่สนใจการเป็นคนดี การต้องฆ่า ต้องทำร้ายคนอื่น ต้องหลงลืมตัวเองเป็นสิ่งที่ทุกคนเห็นว่าคู่ควรแล้วที่จะปกป้องทั้งตัวเองและคนที่คนรัก แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน บางคนก็สามารถมองเห็นอนาคต หรือมีชะตากรรม หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบเช่นเดียวกับตัวเองที่ยังพยายามต่อสู้กับโลก ด้วยความดีและความเมตตา กล้าหาญ ไมากกว่าความรักที่จะเข่นฆ่า นอกจากมังกรที่ฆ่าชีวิตผู้คน เดเวียนเป็นภาพสะท้อนของคนที่ต้องแบกรับปัญหาต่าง ๆ ไว้ แต่ก็ยังเลือกที่มองโลกในแง่บวกจะปกป้องคนอื่น เรียกได้ว่าแตกต่างจากคนในโลกอื่น ๆ ที่ต่อสู้ ทั้งปลุกใจตัวละครและทำทุกอย่างเพื่อทำให้ทุกคนที่อยู่รอบตัวนั้นเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจ แม้ว่าเป้าหมายของตัวละครอื่น ๆ จะเป็นผลประโยชน์ เช่นการได้รับพลังอันมหาศาลหรือการทำลายล้างโลก ประเด็นถูกเล่าออกมาในทุกตอน แม้ว่าจะดูโต้ง ๆ แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ซีรีส์มีความน่าสนใจว่าคนแบบนี้จะสามารถเอาชีวิตรอดในโลกที่ความดีไม่หลงเหลือแล้วได้อย่างไร ไหนจะเลือกของความไม่ร้ายสุดไม่ดีสุดที่ทำให้เราไขว้เขวว่า เอ๊ะ ร้ายจังเลย แต่สักพักก็จะ ตกลงจะดีหรือจะร้ายนี่คงเป็นสิ่งที่ทำให้ DOTA2 ไม่มีตัวร้ายที่ชัดเจน แต่เรียกว่ามีเป้าหมายต่างกันจะดีกว่า เพราะการกระทำบางอย่าง มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในเรื่องจริง ๆ บางทีเราอาจจะฆ่ากันตาย แต่ก็สามารถร่วมมือกันเพื่อเจอสิ่งที่แย่และเลวร้ายกว่าได้ เหมือนกับเราที่มีศัตรูอาฆาตแค้นมาก แบบฆ่ากันตาย แต่พอเอาเข้าจริง เรากลับต้องทำความเข้าใจในฐานะมนุษย์ที่ต้องร่วมมือแก้ปัญหากันแม้จะเกลียดขี้หน้ากันแค่ไหน ซึ่งนี่แหละคือสิ่งที่เราสามารถพบเจอได้ในชีวิตประจำวัน
งานภาพไม่เหมือนใคร ดนตรีประกอบสุดอลัง
งานภาพที่มาในสไตล์แปลกแหวกแนว เพราะการเคลื่อนไหวจะไม่ได้ไหลลื่นเหมือนอนิเมชั่น แต่จะให้อารมณ์เหมือนกำลังดูภาพเคลื่อนไหวแบบคนแสดงที่ดูทื่อ ๆ แต่อย่าได้ดูถูกเชียว เพราะงานนี้แหละที่ทำให้ฉากการต่อสู้ที่จัดเต็มในแทบทุกตอนมีท่วงท่าที่งดงามและเท่ไม่หวาดไม่ไหว ตัวละครใช้อาวุธหรือทำอะไรก็ดูคมชัด เห็นฟันต่อฟัน ตาต่อตา ให้อารมณ์ที่เป็นงานสไตล์เกาหลีที่มีกลิ่นอายแบบตะวันตกซึ่งเจ๋งใช้ได้ ไม่รวมกับเสียงพากย์ที่ถึงเลือดถึงอารมณ์ และดนตรีที่ฟอร์มใหญ่ราวกับทุกฉากเป็นภาพยนตร์สงคราม ทำให้พอเข้าใจได้ว่าเอามาทำเป็นคนแสดงมันคงไม่ได้งานภาพแบบนี้ แต่น่าเสียดายที่เรื่องดนตรีจะมีแค่ความอลัง แต่เรื่องการบีบคั้นอารมณ์หรือซึ้งกินใจคงต้องผิดหวังกันหน่อย เพราะมันไม่มีเลย น่าเสียดาย แต่ช่วงท้ายเปิดกระหน่ำมาก จนรู้สึกว่าถ้าจะบิ๊วกันขนาดนี้ ซีซั่นหน้า หรือ หนังสือเล่ม 2 จะออกมาเป็นยังไง เชื่อเถอะ มันมีแน่ เพราะเรื่องมันปูความยิ่งใหญ่มาซะขนาดนี้ มันระดับจักรวาลเลยทีเดียว แต่ก็ยังแอบเฉย ๆ อยู่ดี ถ้ามีต่อก็ขอให้เนื้อเรื่องจัดเต็มมากกว่านี้ล่ะนะ
ควรชม หรือ ข้าม
ถ้าคุณเป็นแฟนเกม DOTA เชื่อว่าคุณต้องชอบกับเรื่องนี้ ถ้ามองข้ามงานภาพที่ดูไม่คุ้นชิน คุณจะได้เห็นความเท่ในท่วงท่าการต่อสู้และโลกในเกมที่ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านตัวละคร ถ้าคุณไม่เคยเล่น DOTA นี่อาจเป็นโอกาสที่ดีที่คุณจะได้ทำความรู้จักโลกในจักรวาลนี้ หรือถ้าไม่อยากจะคิดอะไรมาก มันก็คือซีรีส์ดาร์กแฟนตาซีที่อัดแน่นด้วยเนื้อเรื่องมากมายและฉากต่อสู้สุดเมามันส์และรวดเร็ว ไม่มีอะไรซับซ้อน เหมือนดูหนังแฟนตาซีความยาวไม่เกิน 4 ชั่วโมงก็เปิดดูเพลิน ๆ ยาว ๆ ได้แล้วในเน็ตฟลิกซ์ ไม่รู้ว่าเขาจะทำเล่ม 2 มั้ย แต่ถ้ากระแสตอบรับดี เราคงจะได้เห็นการเดินทางที่ยิ่งใหญ่ และตัวละครใหม่ ๆ ที่อาจจะโผล่มาทำให้แฟนเกมกริ๊ดกร๊าดก็ได้ ส่วนผมก็ขอทำตัวเป็นนักรีวิวธรรมดาจากสิ่งที่ได้ว่า ไม่ต้องข้ามหรอก ดูเพลิน ๆ ได้เลย เสียงพากย์ไทยก็มืออาชีพ เสียงพากย์อื่น ๆ ใครเป็นแฟนคลับอนิเมชั่นคงต้องชอบเช่นกัน ไม่เคยเล่นเกมก็สามารถเข้าใจเรื่องราวง่าย ๆ และอาจจะอยากไปตามอ่านข้อมูลต่อก็ได้ แต่สำหรับผมแล้ว ผมไปในทางก็โอเค แอบผิดหวังที่มันยังเรียบไปหน่อยแค่นั้นแหละ มันก็เป็นซีรีส์ที่ดีในตัวของมัน แต่ถามว่าถึงขั้นยอดเยี่ยมว้าวจ๋า ๆ แบบ Castlevania, The Legend of Korra, Berserk ตอบได้เลยว่าไม่ครับ มันไปอีกทางซะมากกว่า คือบาลานซ์ระหว่างงานภาพกับบทเรียบ ๆ ตัวละครที่ดูให้เป็นบทบาท แต่อาจจะเป็นแฟรนไชน์ใหม่ของเน็ตฟลิกซ์ อนิเมชั่นก็ได้ใครจะไปรู้ เพราะดูท่าแล้วต่างชาติจะชอบเอามาก ๆ โดยเฉพาะแฟนเกม
ตัวอย่างล่าสุด Dota: Dragon’s Blood
สามารถชมได้แล้วที่ NETFLIX ไม่ควรพลาดครับ
- ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจในแวดวงเกม รีวิวภาพยนตร์ ซีรีส์ และ อนิเมะ ได้ ที่นี่
- ติดตามผลงานของผม Thousand Mar ได้ ที่นี่