รีวิว LUCA มิตรภาพสุดผิวน้ำ อนิเมชั่นพิกซาร์คุณภาพดีที่ไม่ได้ฉายโรง (ไม่สปอยล์)
Luca
สรุป
อนิเมชั่นเรื่องใหม่จากพิกซาร์ โชว์ความงามและมิตรภาพที่แสนมีมนต์ขลังในเมืองท่าของอิตาลี พร้อมด้วยเสียงพากย์และงานสร้างที่ผสมผสานระหว่างความเป็นงานเขียนมือและสต๊อปโมชั่นที่แปลกใหม่และคอนเซปต์เรื่องราวแบบสตูดิโอของจิบลิ แม้ว่าภาพรวมหนังจะดูดีด้วยเพลงประกอบและสีสันที่สดใส แต่ด้วยการเล่าเรื่องค่อนข้างธรรมดา ไร้พิษภัย ไม่มีอะไรซับซ้อน จนเกิดปัญหาต่อจากเดินเรื่องแบบผิวเผินและขาดความน่าสนใจของตัวละคร พร้อมปมปัญหาที่มาแบบผ่าน ๆ และแก้ไขแบบให้มันจบ ๆ ทำให้มันเป็นอนิเมชั่นที่ดูดีแต่ไม่มีอะไรให้จดจำเลย นอกจากการหวนรำลึกถึงความหลังที่หอมหวาน และการเติบโตผ่านวัยจากเด็กสู่ผู้ใหญ่ในโลกที่เต็มไปด้วยความแตกต่างมากมายของทั้งมนุษย์และสภาพแวดล้อม
Overall
6/10User Review
( votes)Pros
- งานภาพสวยสดงดงาม แปลกใหม่ด้วยการผสมผสานของงาน 3 มิติ วาดมือและงานสต๊อปโมชั่น
- เสียงพากย์คุณภาพทั้งไทยที่แปลออกมาได้จิ๊ดเข้ากับเนื้อเรื่องดี
- ดูเพลิน ไร้พิษภัย ลื่นไหล และเป็นมิตรกับทุกเพศทุกวัย
- ประเด็นของเรื่องที่ลึกซึ้งกว่าหน้าหนัง
- เพลงประกอบสุดไพเราะที่ชวนให้นึกถึงบรรยากาศในอดีต
Cons
- การเล่าเรื่องราวค่อนข้างธรรมดา ไม่มีอะไรโดดเด่น
- ปมของตัวละครมีแบบผ่าน ๆ ทำให้ขาดความละเอียดของเรื่องราว พอถึงจุดสำคัญมันเลยไม่อิน
- บทพูดที่ตัวละครคิดจะพูดจาภาษาอิตาลีขึ้นมา ไม่มีแปลความหมายให้เข้าใจ เลยไม่รู้ว่าจะขำหรืองงดี
- ไม่มีอะไรให้ลุ้นในตัวละคร ตัวละครค่อนข้างมีมิติแบนราบ ขาดความน่าสนใจ
- ประเด็นของเรื่องไม่ได้มีอะไรใหม่เลย
Luca (ลูก้า) ภาพยนตร์อนิเมชั่น 3 มิติแนวแฟนตาซีและข้ามผ่านวัย (Fantasy and Coming of Age) ผลิตโดย Pixar Animation Studios และจัดจำหน่ายโดย Walt Disney Studios Motion Pictures ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย เอนรีโก คาซาโรซา กับการกำกับงานอนิเมชั่นเรื่องยาวครั้งแรกหลังจากผลงาน La Luna อนิเมชั่นสั้นฉายปะหน้าอนิเมชั่นยาว BRAVE ในปี 2011 ได้ชนะใจผู้ชม จนเข้าชิงรางวัลอนิเมชั่นยอดเยี่ยมจากงานประกาศผลรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 84 ปี 2012 เขียนบทโดย เจสซี แอนดรูวส์ และ ไมค์ โจนส์ โดยทั้งสองคนนี้มีเครดิตที่น่าจับตามองมากอย่างคนแรก เจสซี แอนดรูวส์ เคยดัดแปลงบทภาพยนตร์จากนิยายวัยรุ่นเยาวชนเคล้าน้ำตาที่เขาเขียนเอง เรื่อง Me and Earl and the Dying Girl ที่ได้รับคะแนนวิจารณ์อย่างท่วมท้น ส่วนอีกคน ไมค์ โจนส์ เคยดัดแปลงบทพากย์ภาษาอังกฤษของอนิเมชั่นจิบลิอย่าง The Wind Rises ปีกแห่งฝัน วันแห่งรัก อนิเมชั่นทิ้งทวนของ ฮายาโอะ มิยาซากิ ผู้กำกับอนิเมะระดับตำนานของญี่ปุ่นที่สร้างความประทับใจมาแล้วทั่วโลกในปี 2013 และแน่นอนว่าส่วนประกอบที่ลงตัวแบบนี้ต้องมาพร้อมด้วยเสียงพากย์คุณภาพโดย เจคอบ เทรมเบลย์ หนูน้อยน่ารักจากของบทบาทเด็กน้อยหน้าตาอัปลักษณ์สุดน่ารักใน WONDER ชีวิตมหัศจรรย์วันเดอร์ (2017) มาให้เสียงพากย์ลูก้า ตัวละครเจ้าของชื่อเรื่อง และ แจ็ค ดีแลน เกรเซอร์ เด็กหนุ่มมากความสามารถจากบท เอ็ดดี้ เด็กขี้กลัวจาก IT อิท โผล่จากนรกทั้งสองภาค มาให้เสียงพากย์อัลเบอโต้ คู่หูของลูก้าที่จะมาพาเขาไปผจญภัย โดยภาพยนตร์อีกเรื่องที่โดนพิษโควิดจนต้องย้ายจากโรงภาพยนตร์มาลงที่ Disney+Hotstar จนทีมงานผู้สร้างแอนิเมชันจาก Pixar หลายคนได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ แน่นอนว่าในไทยเราก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกันหลังจากที่ปล่อยตัวอย่างว่าจะฉายโรง สุดท้ายโควิดก็ระบาดหนักจนกลายเป็นหนังที่ฉายรับดิสนีย์พลัสฮอทสตาร์ บริการสตรีมมิ่งของดิสนีย์พลัสในประเทศไทยที่เพิ่งเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับคำชมโดยสื่อจากต่างประเทศถึงเสน่ห์และมนต์ขลังของอิตาลี และงานภาพที่มีเสน่ห์ แต่สำหรับผมมันจะเป็นแบบนั้นหรือเปล่า มาอ่านรีวิวผมกันดีกว่า
ตัวอย่าง Luca
รีวิว Luca
หน้าร้อนของคุณเป็นแบบไหนกัน? เริ่มต้นสำหรับลูก้า เด็กชายตัวจ้อยแล้ว มันคือความน่าเบื่อหน่าย เพราะตระกูลสัตว์ประหลาดใต้ทะเลของเขานั้นอยู่ใต้น้ำของชายฝั่งเมือง Portorosso ในประเทศอิตาลีและหลบเลี่ยงสายตาจากมนุษย์ที่ออกไล่ล่าพวกเขาด้วยความกลัว เขามีความฝันที่จะได้ออกไปใช้ชีวิตแบบมนุษย์แต่เพราะแม่ที่เคร่งระเบียบของเขาไม่เคยเห็นดีงามด้วยเขาจึงจำใจอยู่ในกรอบที่แม่ตั้งไว้ แต่แล้ววันหนึ่งชีวิตของลูก้าก็มีชีวิตชีวาเมื่อเขาได้พบกับ อัลเบอร์โต้ สัตว์ประหลาดทะเลหนุ่มอีกตัวที่อาศัยอยู่ในเกาะบริเวณใกล้ ๆ และได้เปิดโลกใบใหม่ที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน และนั่นเริ่มทำให้ลูก้าเริ่มกล้าที่จะฝันและจะทำมันให้เป็นจริง แต่เมื่อความขัดแย้งเรื่องอุดมการณ์กับครอบครัวถึงขีดสุด เขาจึงเลือกมิตรภาพกับอัลเบอร์โต้ เพื่อนที่เขาเพิ่งเจอ มุ่งหน้าสู่เมืองท่าของเหล่ามนุษย์ที่ซึ่งพวกเขาจะได้เรียนรู้มิตรภาพและความงดงามของมนต์ขลังอันน่าหลงใหล ความน่ากลัวของมนุษย์ที่มีจิตใจอันชั่วร้าย และเรียนรู้ที่จะเป็นมนุษย์แต่ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาไว้ซึ่งตัวตนของพวกเขาเอง ในช่วงหน้าร้อน ณ Portorosso
การเล่าเรื่องของพิกซาร์ครั้งนี้เป็นไปตามสไตล์ง่าย ๆ ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย เรียกได้ว่าน่าจะเป็นมิตรกับเด็กมากที่สุด ไม่ได้เห็นพิกซาร์ทำแบบนี้มานานแล้ว หลังจากเน้นเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก และความกินใจน้ำตาไหล แต่ครั้งนี้จะเป็นเรื่องของความงามแทน ค่อย ๆ พาเราไปสัมผัสความสัมพันธ์ของตัวละครลูก้าและอัลเบอร์โต้ที่ใช้เวลาไม่มาก แต่ทำให้เห็นว่าทั้งคู่สนิทสนมกันยังไง ปมปัญหาของตัวละครที่ไม่ได้เน้นหรือขยี้อะไร แต่ที่เน้นย้ำคงจะเป็นความสวยงามของสภาพของเมืองที่ได้รับแรงบันดาลใจจากประเทศอิตาลีจริง ๆ อีกทั้งยังเป็นความน่ารักของเหล่าตัวละครที่ถูกถ่ายทอดออกมาถึงความไร้เดียงสาแต่ก็ค่อย ๆ เติบโตเวลาที่หนังเดินเรื่องไป แม้ว่าส่วนตัวจะมองว่าค่อนข้างแตะประเด็นเรื่องแบบผิวเผินเหมือนรีบเดินเนื้อเรื่อง แต่มันก็ยังดูเพลินตาด้วยด้วยความน่ารักและเสน่ห์ของตัวละครที่ออกแบบมาแบบเรียบง่ายตามคาร์แร็คเตอร์ แบบเห็นแล้วรู้เลยตัวไหนตัวดี ตัวไหนตัวร้าย ตัวไหนลึกลับ ตัวไหนเปิดเผย แต่ไม่ใช่ทุกตัวละครจะเป็นคนดี 100 เปอร์เซนต์หรอก ก็มีผิดพลาดบ้างในบางเวลาและพวกเขาก็ต้องพบเจอกับผลของการกระทำและบทสรุปนั้น ๆ
ตัวละครก็ค่อย ๆ มีพัฒนาการทีละนิด อย่าง ลูก้าเคยหวาดกลัวและไม่เชื่อมั่นในตัวเองเพราะครอบครัวคอยกีดกันและทำให้เขากล้าตัดสินใจลุกขึ้นมาทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง ในตอนแรกเขาจะต้องคอยให้อัลเบอร์โต้ช่วย แต่ในตอนท้ายแล้วทุกคนก็ต้องมีเส้นทางยืดหยัดได้ด้วยตัวเอง ไหนจะเรื่องวุ่น ๆ ของลูก้ากับอัลเบอร์โต้ยังต้องพยายามปิดบังรูปลักษณ์จากคนรอบตัวเพราะพวกเขาจะไล่ล่าเพราะพวกเขาเป็นคนแปลก ซึ่งสอดคล้องกับตัวละครเด็กหญิงของเรื่องอย่าง จูเลีย สาวพลังล้นสุดกวนที่เรียกพวกเขาว่าไก่รองบ่อน ที่เธอให้นิยามว่า คนที่มีความแปลกแยกจากสังคมแต่พวกเขานั้นก็เป็นตัวของตัวเอง เรื่องของพ่อแม่ลูก้าที่พยายามจะควบคุมให้ลูกอยู่กับตัวเองและไม่ปล่อยให้เขาได้เติบโต และการพยายามเรียนรู้ของกันและกันท่ามกลางความกลัวระหว่างมนุษย์และสัตว์ประหลาดใต้ทะเล และเรื่องของเด็กที่เชื่อมั่นว่าตัวเองรู้ทุกอย่างบนโลก แต่ในความเป็นจริง เด็กก็ยังคงเป็นเด็ก ยังมีเวลาอีกมากมายให้พวกเขาได้เรียนรู้และโตขึ้นได้ในทุก ๆ วัน และเด็กที่สนิทสนมกันจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป
ปัญหาของหนังคือ ด้วยประเด็นที่ว่ามาทั้งหมดมันค่อนข้างเล่าแบบผ่าน ๆ ผมเลยไม่สามารถอินความสัมพันธ์ของเด็กสองคนนี้เท่าที่ควร เพราะหนังให้เวลาพวกเขาน้อยเหลือเกิน จริงอยู่ที่มีฉากที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน ทำอะไรด้วยกันแบบสไตล์หนังมิตรภาพ แต่เหมือนหนังจะใช้การเล่าน้อยแต่มาก ด้วยความที่ผมคาดหวังจากคอนเซปต์ที่ดูใส่อะไรได้เยอะ และคนเขียนบทที่เขียนบทหนังจนน้ำตาร่วง มันก็อาจจะดูเหมาะสมแหละกับโทนเรื่องเรื่อย ๆ แบบนี้ แต่เมื่อเทียบกับแรงบันดาลใจที่ผู้กำกับได้รับมาจาก ฮายาโอะ มิยาซากิ ซึ่งตอนผมดู ผมได้เห็นจากเรื่อง Ponyo โปเนียว ธิดาสมุทรผจญภัย อนิเมชั่นปี 2008 ที่เล่าเรื่องของเด็กผู้หญิงที่เป็นสัตว์ประหลาดปลาใต้ทะเลที่หนีมาอยู่บนบก และ ฝันของฉันต้องมีเธอ (When Marnie Was There) อนิเมชั่นปี 2014 ที่เล่าเรื่องราวของเด็กสาวสองคนในพื้นที่ที่ห่างไกลในช่วงหน้าร้อนของฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้สามารถผลักดันให้เรื่องราวเข้มข้นกว่านี้ได้มากกว่านี้ แถมมุกตลกนั้นค่อนข้างมีน้อย แถมบางทีก็พูดภาษาอิตาลีขึ้นมาเป็นมุกจนงงตามเพราะคิดจะพูดก็พูด (แถมไม่มีซับอธิบายด้วย) บทพูดที่สุดแสนจะโบราณ (ด้วยเซ็ตติ้งหนังนั้นอยู่ในยุค 1950 คำพูดของเด็กในเรื่องจึงถูกปรับเป็นภาษาไทยไม่ให้ทันสมัยแบบเรื่องอื่น) เน้นเรื่องราวการเดินทางและความฝันของลูก้ามากกว่า แต่เรื่องของความดราม่าก็ไม่มีเลยมีแค่เรื่องครอบครัวที่เล่าแบบละไว้ในฐานที่เข้าใจ หรือ ปมของอัลเบอร์โต้ตัวละครหลักที่คอยสนับสนุนลูก้าแต่พอถึงจุดขัดแย้งก็ไม่ได้โดดเด่นแถมดันจบลงแบบผ่าน ๆ พอเฉลยออกมาก็ไม่ได้เรียกน้ำตาสักเท่าไหร่ ยิ่งบทสรุปก็จบแบบง่ายเกินไปด้วยซ้ำทั้งที่มันขยี้ได้อีก เพราะเน้นความสดใสและความสวยงามของตัวละครมากกว่าทำให้สามารถพูดได้เต็มปากว่ามันเป็นอนิเมชั่นที่ดูสบาย สวยงาม แต่ขาดความตราตรึง เหมือนเป็นงานศิลปะที่แปลกใหม่แต่เนื้อหาแทบไม่มีอะไรเลย คนอาจจะชอบเพราะความสดใสและน่ารัก ไร้พิษภัยและไม่มีอะไรต้องคิดเยอะ และมิตรภาพของสองคนนี้ ส่วนตัวผมชอบที่หนังพยายามจะมอบอารมณ์ชวนให้ถวิลหาถึงอดีตที่ครั้งหนึ่งเราเคยเป็นเด็กที่อยู่ในโลกใบเล็ก ๆ จนกระทั่งเราได้เข้าสังคมและแยกจากสังคมเพื่อเติบโตในโลกใบใหม่ที่ใหญ่กว่า
ประเด็นของเรื่องนี่แหละที่สำคัญและสามารถตีความได้หลายรูปแบบแล้วแต่คนดู ซึ่งสำหรับผม ผมตีความได้สองแบบคือ มันสะท้อนภาพของคนชายขอบและชาวอพยพสักประเทศนึงที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนชั้นล่างและต้องหลบซ่อนจากผู้คนผ่านสัตว์ประหลาดทะเลที่แม้จะสามารถทำทุกอย่างได้อย่างมนุษย์แต่ก็ไม่เคยได้รับการยอมรับและพิสูจน์ จนกระทั่งพวกเขากล้าออกมาแสดงตัวตนให้เห็นว่าพวกเขามีความดีและความงามและความสามารถไม่แพ้คนที่อยู่ในชนชั้นที่สูงกว่าเลย ซึ่งหนังก็แสดงให้เห็นว่าถ้าคนชั้นบนเปิดพื้นที่ให้คนข้างล่างได้แสดงออกมา พวกเขานั้นสามารถทำคุณประโยชน์ให้กับสังคมได้เหมือนกัน ไม่มีแรงงานที่ไร้ฝีมือ ไม่มีคนจนที่ไม่ขยัน เราควรให้โอกาสและละทิ้งทุกอคติเพื่อที่เราจะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ประเด็นความเป็นคนนอกของชาว LGBTQ+ ที่หวาดกลัวที่จะเปิดเผยตัวเพราะผู้คนมองว่าพวกเขาแปลกโดยไม่ได้สนใจเลยว่าแท้จริงพวกเขาเป็นอะไร และมันก็น่าเจ็บปวดตรงที่พวกเขาต้องอดทนกล้ำกลืนฝืนทนเพื่อให้สามารถใช้ชีวิต เหมือนบทพูดระหว่างของจูเลียกับลูก้าที่พูดถึงความรู้สึกความแปลกแยกแม้จะไม่มีอะไรมาก แต่ก็ทำให้เห็นได้ถึงความรู้สึกการพยายามมองโลกในแง่บวกท่ามกลางความขัดแย้ง แถมยังมีตัวละครที่ชอบออกมาเหยียดหยามโดยไม่มีปมหรือแรงจูงใจอะไรซับซ้อน แถมไม่มีโอกาสได้แก้ตัวเหมือนหนังพิกซาร์เรื่องอื่น ๆ ที่มักเฉลยว่าตัวร้ายมีเหตุผล เพราะงั้นผมจึงไม่แปลกใจเลยที่คนจะตีความหนังออกมาแบบนี้ได้ แต่อย่าเอาไปเปรียบกับหนัง Call Me By Your Name หนังรักของอิตาลีอีกเรื่องที่เล่าเรื่องผู้ชายสองคนในอิตาลี ถ้าจะคล้ายคงเป็นลักษณะของตัวละครผู้ชายสองคนเดินเรื่องแบบ ลูก้ากับอัลเบอร์โต้ และสองคนนี้เป็นมิตรภาพแบบเพื่อนกัน ไม่ได้มีเรื่องของความรักของเด็กชายสองคนหรืออะไรออกมาแบบนั้น มันจึงเป็นอนิเมชั่นที่หน้าหนังดูสดใสแต่เปี่ยมประเด็นให้ตีความสำหรับผู้ใหญ่ที่เข้ากับเทศกาลเดือนแห่งความหลากหลายทางเพศอยู่เหมือนกัน น่าเสียดายที่มันสื่อออกมาแบบผิวเผินเลยกลายเป็นว่า อ๋อ เหรอ ประเด็นเดิมความแปลกแยกจากคนอื่นเหรอ ยิ่งมาเจอความอ่อนยวบยาบของเรื่องราว มากกว่าที่จะมอบอิมแพ็คให้คนดู ด้วยความที่ทางผู้สร้างก็ยืนยันว่าไม่ได้ตั้งใจ แต่จะตีความแบบนั้นออกไปก็ไม่เป็นไรอยู่ดี
โอเค ผมอาจจะบ่นมากไปหน่อยจนเหมือนจะสาปแช่ง แต่ว่าในส่วนของข้อดีมาก ๆ เลย นอกจากความไร้พิษภัยของเรื่องราวที่เหมาะกับเด็กและวัยรุ่นกำลังโต งานภาพนี่แหละที่เป็นงานแปลกใหม่ที่ดูมีเอกลักษณ์มากกว่าหนังพิกซาร์เรื่องก่อน ลายเซ็นของมันดูไปในทางผสมผสานกับงานศิลปะอิตาลีสีสันสดใส ท้องฟ้าสีสด ทะเลสีคราม เวสป้าสีแดงที่โดดเด่น ลายละเอียดของตัวละครและเมืองที่มีชีวิตชีวาและสะท้อนโลกของหนังได้เป็นอย่างดีไม่เสียชื่อพิกซาร์ เห็นแล้วชวนให้ตื่นตาตื่นใจตลอดท่ามกลางเนื้อเรื่องที่ดูเพลิน ๆ มันเลยชวนทำให้หนังมีอะไรที่โดดเด่นขึ้นมา ไหนจะการเคลื่อนไหวของตัวละครที่ไม่เน้นสมจริงเกินไป ยังมีความเป็นอนิเมชั่นที่ผสมระหว่างงานวาดมือกับงานสต๊อปโมชั่น แต่สมเหตุสมผลเพราะตัวละครบางตัวนั้นไม่ใช่มนุษย์ บางตัวก็ทำตัวล้นก่อนคนทั่วไป บางคนก็นิ่งจนเกินไป บางคนก็ร้ายยิ่งกว่าละครหลังข่าว เสียงพากย์ทั้งอังกฤษกับไทยเข้าขั้นดีเลยที่น่าชื่นชมคือการแปลบทพูดที่ค่อนข้างแปลกผิดไปจากยุคปัจจุบัน ก็อย่างที่บอก หนังเซ็ตโลกอยู่ในอิตาลียุค 1950 ภาษาจึงค่อนข้างเก่าแก่ พอพากย์ออกมาแล้วมันดันเข้าปากแล้วชวนให้เรานึกถึงรุ่นพ่อรุ่นลุงเลยทีเดียว แถมด้วยดนตรีประกอบที่หยิบเพลงคลาสสิกอิตาลีมาใช้ดำเนินเนื้อเรื่องอย่างเหมาะสมและเข้ากับบรรยากาศของเรื่องราวความงดงาม ให้อารมณ์สุนทรีย์ไปกับหน้าร้อนของเด็กชายสองคน
สรุป Luca
เป็นอนิเมชั่นที่งดงามในทางด้านศิลปะ และมิตรภาพอันแสนงดงามและอบอุ่น ชวนให้นึกถึงอดีตพร้อมประเด็นอันลึกซึ้งที่ตีความได้หลายแบบไม่รู้จบ แต่สอบตกการเป็นภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องสนุกและการขยี้เรื่องราวปมของตัวละคร แม้ว่าองค์ประกอบและคอนเซปต์ของเรื่องมันจะดีมาก ๆ แต่ก็ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกผิดหวังที่พิกซาร์ออกหนังมาเท่าไหร่ มันก็ออกมาเฉย ๆ ไปหมดแล้วทุกเรื่อง ถ้าใครจะชอบผมก็คงไม่แปลกใจเท่าไหร่ เพราะหน้าหนังมันก็ขายได้อยู่แล้วเรื่องความงามของภาพ และเสียงพากย์ที่มีคุณภาพ แต่เมื่อเทียบกับต้นแบบแรงบันดาลใจที่เอามาปรับใช้มันดันทำหน้าที่ของมันได้ไม่สุด แถมบทสรุปก็จบลงแบบง่ายดาย ด้วยความยาวหนึ่งชั่วโมงครึ่ง มันคงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมกับความผ่อนคลายในบรรยากาศหน้าร้อน แต่ถ้าหากคาดหวังเนื้อเรื่องที่ตราตรึงและความซึ้งจนน้ำตาไหล เรื่องนี้อาจไม่ได้มีให้คุณอย่างที่หวัง แต่งานระดับแบบนี้มันควรจะได้ฉายในโรงมันก็คงเป็นประสบการณ์ที่มีมนต์ขลังและน่าจะยกระดับหนังได้มากกว่านี้ เพราะผมรู้สึกตอนดูได้ว่าถ้าดูในโรงมันคงตื่นตาตื่นใจกว่านี้แน่ ๆ
ฉายแล้ววันนี้ทางสตรีมมิ่ง Disney+Hotstar
ราคาปีละ 799 บาท สำหรับลูกค้าทั่วไป แต่เฉพาะลูกค้า AIS สมัครแพ็กเกจ Disney+ Hotstar เพียง 49 บาท/เดือน (จาก 99 บาท) หรือ ราคาปีละ 499 บาท