รีวิว Midnight at the Pera Palace บุพเพสันนิวาสฉบับตุรกี (ไม่สปอยล์)
Midnight at the Pera Palace
สรุป
ซีรีส์ชั้นดีจากตุรกีที่หยิบพล็อตสูตรสำเร็จอย่างการย้อนเวลาแบบตะวันตกมาผนวกกับการเมือง ความรัก ปริศนาฆาตกรรมที่ผสมกลมกลืนในโรงแรมประวัติศาสตร์อย่างลงตัว มีชั้นเชิงและปมทิ้งไว้ในทุกตอน ครบทุกรสและนำเสนอภาพของประวัติศาสตร์ในยุคสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ประเด็นสังคมดี ๆ มากมาย นักแสดงที่แสดงได้อย่างยอดเยี่ยม โปรดักชั่นการถ่ายทำและเพลงประกอบที่ไร้ที่ติ ติดอยู่คือช่วงแรก ๆ น่ารำคาญตัวละคร และจบแบบทิ้งปมไม่แก้เพราะอาจเก็บไปขยายในซีซั่นถัดไป
Overall
8/10User Review
( votes)Pros
- สร้างจากหนังสือที่บอกเล่าประวัติศาสตร์ของโรงแรมที่มีอยู่จริงในประเทศตุรกี
- คอนเซปต์การย้อนเวลาน่าติดตาม หยอดปม ทิ้งความอยากดูในทุกตอน และไม่ซ้ำใคร
- บทมีชั้นเชิงในตัวละคร มีความน่าสนใจ หักมุมชวนเหวอได้ตลอด
- ครบทุกรสชาติ ดราม่า รัก ระทึกขวัญ ผจญภัย การเมืองเข้มข้นพอควร
- ประเด็นสังคมเกี่ยวกับชนชั้นและการปฏิบัติตนในสมัยเก่า
- นักแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม สุดหมดทุกคน ทั้งตัวหลักตัวประกอบ
- โปรดักชั่นและมุมกล้องคือเทียบอเมริกาตะวันตกได้เลย สวยมาก ๆ
- เพลงประกอบโดนใจคนชอบฟังเพลง และบิวท์อารมณ์ดีมาก
Cons
- ช่วงแรก น่าเบื่อไปหน่อย บุคลิกตัวละครน่ารำคาญ ต้องอดทนจนตอนที่ 3
- ปมบางอย่างไม่ได้รับการเฉลย หนำซ้ำยังจบแบบทิ้งปมใหม่ให้ค้างคาอีก
Midnight at the Pera Palace (เที่ยงคืน ณ เปรา พาเลซ) ซีรีส์แนวสืบสวนแฟนตาซีผจญภัยสัญชาติตุรกี แรงบันดาลใจจากวรรณกรรมเรื่อง Midnight at the Pera Palace: The Birth of Modern Istanbul โดย ชาร์ล คิงส์ เน็ตฟลิกซ์หยิบนำเรื่องราวของตำนานโรงแรมเพร่า พาเลซ โรงแรมแห่งประวัติศาสตร์มากมายทั้งเรื่องดีและไม่ดี รวมถึงเป็นที่ที่นักเขียนนิยายสอบสวนชื่อดัง อกาธาร์ คริสตี้ ได้เขียนงานชื่อดังอีกด้วย เมื่อผสานกับการย้อนเวลาเพื่อไขปริศนาและยับยั้งแผนฆาตกรรมแบบตะวันตกในยุต 1919 ช่วงก่อนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 และเข้าสู่ยุคสมัยโลกาภิวัฒน์
ตัวอย่าง Midnight at the Pera Palace (เที่ยงคืน ณ เปรา พาเลซ)
เรื่องย่อ Midnight at the Pera Palace (เที่ยงคืน ณ เปรา พาเลซ)
เอสรา หญิงกำพร้าที่ได้ทำงานเป็นนักข่าวเดินทางไปยังโรงแรมเพร่า พาเรซ ในเมืองอีสตันบลู ที่ ๆ ซึ่งประวัติศาสตร์มากมายได้ถือกำเนิดขึ้น เพื่อเขียนบทความใหม่ของโรงแรม แต่ความอยากรู้อยากเห็นในตอนเที่ยงคืนของเธอกลับทำให้เธอย้อนเวลามายังปี 1919 ปีที่ เพดริ หญิงสาวผู้เย่อหยิ่งได้พลิกประวัติศาสตร์ตุรกี เปลี่ยนชะตากรรม แต่ด้วยความผิดพลาดทำให้เธอต้องสวมรอยเป็นเธอเพราะความหน้าละม้ายคล้ายกัน เพื่อสืบหาความจริงของการลอบสังหารที่อาจพลิกประวัติศาสตร์ของตุรกีไปตลอดกาล ร่วมกับอาห์เมท ชายวัยกลางคนที่กุมกุญแจความลับของโรงแรมแห่งนี้ในการทำภารกิจให้สำเร็จ แต่เรื่องก็ไม่ได้ง่ายดายนัก เมื่อพวกเขาเข้าไปพัวพันกับ ฮามิท ชายหนุ่มรูปหล่อมีเสน่ห์ท่าทางน่าหลงใหลที่อาจเป็นฆาตกรสังหาร ที่สงสัยในการกระทำของทั้งคู่ เปิดโปงกลอุบายของจอร์จ นายพลของอังกฤษที่ต้องการจะยึดครองตุรกี และพยายามสกัดแผนสมคบคิดที่ใหญ่กว่านั้น เอสราจึงต้องใช้ความสามารถที่แทบจะไม่มีนอกจากความรู้ทางประวัติศาสตร์ไขปริศนา และหาทางกลับสู่ยุคปัจจุบันให้ได้ ก่อนที่ชะตากรรมแห่งประวัติศาสตร์จะกลืนกินเธอและอาห์เมทไปตลอดกาล
รีวิว Midnight at the Pera Palace (เที่ยงคืน ณ เปรา พาเลซ)
การเดินเรื่องของซีรีส์เรื่องนี้คือรวบรัดไม่เอ้อระเหยมาก แค่ 20 นาทีก็เริ่มสนุกแล้ว มีประเด็นเป้าหมายชัดเจนตามเรื่องย่อที่กล่าวมา แต่ก็ไม่วายที่จะทิ้งปมรายเรียงไว้เรื่อย ๆ ในแต่ละตอน ทำให้เราอยากดูมันไปเรื่อย ๆ เพราะความฉลาดในการเขียนบทและวางให้มันเชื่อมโยงกันแบบทั้งอึ้งและพีค และความสนุกของมันคือเห็นความพยายามของตัวละครที่ต้องเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ มันจึงเต็มไปด้วยความครบไปหมดในทุกรส ไม่ว่าจะเป็นตลกความกวนของตัวละคร คดีปริศนาที่ชวนให้นึกถึงนิยายสืบสวนสอบสวน เหมือนที่ซีรีส์มีการอ้างอิงวรรณกรรมของอกาธาร์ คริสตี้ว่ามันเชื่อมโยงยังไงพล็อตเรื่อง แล้วค่อย ๆ เล่าผ่านมุมมองของตัวละครหลักสองตัวที่ต้องออกไขปริศนาคนละแบบตามที่ถนัด ท่ามกลางความเป็นคนหลงยุคที่ทำอะไรมากไม่ได้ ความดราม่าโรแมนติกที่ไม่เลี่ยน มีพัฒนาการความรักและความสัมพันธ์ของตัวละครในทุกแบบที่ซึ้งกินใจและชวนเอาใจช่วย แต่ก็มีชั้นเชิง มีการหักมุมให้เราช็อคตามในทุกตอน ถือเป็นพล็อตเรื่องที่น่าประทับใจมากจริง ๆ
ที่น่าสนใจที่สุดคือ กฏของการข้ามเวลาที่แปลกดี ในการเดินเรื่องนั้นค่อนข้างจริงจังระหว่างความเป็นและความตาย ต้องเป็นไปตามเส้นทางนั้น ห้ามมีการบิดเบือนเด็ดขาด คือตัวละครไม่ได้เข้าไปเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ แต่ต้องรักษาประวัติศาสตร์เล่าไปแบบเพลิน ๆ ไขปริศนาไปเรื่อย แต่ช่วงหลัง ๆ เริ่มซับซ้อน เล่นท่ายากจนแอบเหวอ นั่นคือการเล่าสลับไทม์ไลน์ชนกันไปมา จากยุคหนึ่งกระทบกับอีกยุคหนึ่ง มีการขับเคี่ยว ชิงไหวชิงพริบ และตัวละครที่ค่อย ๆ มีพัฒนาการจนกลายเป็นที่ชื่นชอบ ซึ่งตรงนี้แหละที่เจ๋งมาก ๆ เพราะตอนแรกการกระทำของตัวละครค่อนข้างน่าขัดใจ ชวนให้ไม่อยากดูต่อ แต่นั่นก็เพื่อพล็อตหลักของเรื่องที่ผลักตัวละครให้มีพัฒนาการ บทสรุปของเรื่องจะเหมือนลงเอยอย่างสวยงาม แต่พอเฉลยออกมายังทิ้งปมอีกมากมายในตอนสุดท้ายที่ต้องมีซีซั่นต่อเท่านั้น ไม่มีคือโกรธจริง ๆ แต่เพราะปมที่ถูกทิ้งค้างไว้มาตลอด แต่ยังไม่ได้รับการสานต่อจริง ๆ นี่แหละที่ทำให้ดูจบต้องย้อนกลับมามองว่า จริง ๆ แล้ว เวลาอาจจะไม่เคยไปไหน และยังวนเวียนอยู่กับเราในจุดเดิม ๆ เหมือนกับสิ่งที่ตัวละครที่ต้องพบเจอมากมายในเรื่อง
ในส่วนของด้านบุคลิกตัวละครต้องบอกเลยคืออีกสิ่งที่น่าสนใจมาก ตัวละครจะมีความเทา ๆ ผสมกับชวนรำคาญแต่ไม่นาน เหมือนกับสถานการณ์ค่อย ๆ หล่อหลอมให้ตัวละครมีชั้นเชิง ฉลาดมากขึ้นตามลำดับ อย่างเอสรา หญิงสาวก๋ากั๋นผู้มั่นใจแต่ไม่กล้าทำอะไรที่ถูกดึงเข้ามาในอดีตและทะเลอทะล่าจนทำให้เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงด้วยความไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เชื่อเถอะว่าทุกคนอาจจะรำคาญตัวละครนี้ ผมก็ด้วย แต่ทว่าไม่กี่ตอน เธอกลับค่อย ๆ เรียนรู้รากเหง้าความเป็นหตัวเอง และใช้ไหวพริบที่มีอยู่รับมือปัญหาได้อย่างอยู่หมัด จนกระทั่งกลายเป็นเป็นหญิงสาวที่ดีกว่าที่เธอเคยเป็น อาห์เมท ตัวละครที่เป็นทั้งตัวตลกและตัวสำคัญที่ขับเคลื่อนเรื่องราวของเวลาและความลับที่ซ่อนอยู่ ค่อย ๆ เปลี่ยนเขาให้ทำทุกอย่างเพื่อเป้าหมายของตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม ฮามิท หนุ่มหล่อตุรกีที่เข้ามาพัวพันกับเอสราและตกหลุมรักเธอ เขาทั้งมีเสน่ห์ แต่ก็มีอดีตที่ปิดบัง บุคลิกที่ลึกลับ น่าดึงดูด แต่ก็ถูกวางบทให้มีความคลุมเครือว่าเขาอาจจะเป็นคนร้าย และเราค่อยได้เรียนรู้ตัวละครนี้ไปเรื่อย ๆ จะพบว่าเป็นตัวละครที่ดีมาก ๆ และเชื่อว่าทุกคนจะต้องรักและเอาใจช่วย ซอนญ่า อดีตสาวราชวงศ์ตกอับที่ถูกผลักดันด้วยแรงกดดันของสังคมให้มาเป็นสาวใช้ของโรงแรม ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดถึง แม้แต่จอร์จ ทหารอังกฤษที่ไม่หวั่นแม้เจอนักเดินทางจากอนาคตก็ยังเป็นตัวละครวายร้ายที่อาจจะไม่มีอะไร แต่ก็มีจุดที่ชวนลุ้นโดยเฉพาะช่วงท้ายของเรื่อง และที่สำคัญตัวละครทั้งหมดเหล่านี้ยังเชื่อมโยงตัวละครสำคัญ อย่างโรงแรม เปรา พาเลซ อีกด้วย
ประเด็นของเรื่องที่น่าสนใจก็ไม่น้อยหน้าบทและตัวละคร กับการนำเสนอภาพประวัติศาสตร์เมืองอีสตันบลูในประเทศตุรกีในช่วงที่กองทัพอเมริกาเข้ามาตั้งรกราก ด้วยอำนาจเผด็จการ ยุคสมัยที่ไร้ซึ่งเสรีภาพและความเท่าเทียม และเกมการห้ำหั่นทางการเมืองช่วงก่อนจบสงครามโลกครั้งที่ 2 แผนร้ายที่จำต้องทำเพื่อเป้าหมายของตัวเอง แต่ในขณะเดียวกันหนังยังนำเสนอภาพของเพศหญิงที่ต้องถูกกดขี่และห้ามมีปากมีเสียงในยุคสมัยก่อนโลกาภิวัฒน์ โดยเฉพาะเมื่อเกิดในครอบครัวของศาสนาอิสลามที่เคร่งครัดเรื่องการปฏิบัติตัว จนกระทั่งตัวละครได้ลุกขึ้นสู้และเปลี่ยนแปลงตัวเอง กลายเป็นคนใหม่แต่ก็ได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญคือการแก้ไขสิ่งผิดพลาด เราคือคนรับผิดชอบ ต้องกล้าที่จะเสี่ยง และมีเป้าหมายที่ชัดเจน และอย่าให้เรื่องอื่นมาทำให้เราหมดหวังหรือเสียใจ เพราะสุดท้ายชะตากรรมก็คือสิ่งที่อยู่ข้างเรา นอกจากนี้ยังสะท้อนวัฒนธรรมชนชั้นทางสังคม ระหว่างคนที่ไต่เต้าจนเป็นคนใหญ่คนโตเพราะทำเรื่องสีเทา กับคนที่เคยรุ่งเรืองกลับต้องตบอับ มีมุมมองต่างกันยังไง แล้วมันลงตัวกันได้ยังไง ด้วยการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ไหนจะความรักที่ไม่ต้องสมหวังแต่แค่ทำสิ่งที่ถูกต้องนั้นมันก็เพียงพอแล้ว แม้จะเชื่อในพรหมลิขิตหรือบุพเพสันนิวาสที่ทำให้ได้เจอกัน แม้ในสุดท้ายแล้วการทุ่มเท มันอาจจะไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีอะไร แต่ก็ดีกว่าทำให้อะไรแย่ลง เพราะไม่ยอมพยายามทำอะไรเลย
ในส่วนของงานภาพคือมีความเป็นซีรีส์ทั่วไปไม่ได้มุมกล้องแบบภาพยนตร์ แต่มันมีความสวย มีความหรูหราแบบสไตล์ยุค 1900 มุมกล้องที่ไม่ได้หวือหวาอะไรค่อนข้างทื่อ ๆ โปรดักชั่นมันดูดีมากเลย การเซ็ตฉาก ซีจีที่ไม่ลอยเกิน ดูแล้วเหมือนหลุดเข้าไปในยุคสมัยนั้น การตัดต่อก็ทำออกมาได้น่าติดตามทำให้เราต้องลุ้นตลอดเวลาตัดสลับว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในส่วนของนักแสดง ฮาซัล คายา เล่นดีมาก เธอแยกคาร์แร็คเตอร์ระหว่างสาวซ่าก๋ากั๋นกับสาวชั้นสูงผู้เย่อหยิ่งได้ไม่พอ ดราม่าเธอก็คมกริบ แถมความสวยของเธอก็เป็นสิ่งที่สะกดผู้ชมในทุกชุดที่เธอสวมใส่ เคมีความรักเข้ากับผู้ชายทุกคนในเรื่อง โดยเฉพาะ เซลาฮัตทิน พาเชอเลอ ที่รับบทชายหนุ่มผู้ทรงเสน่ห์ที่สะกดใจสาว ๆ ได้แน่นอน คาร์แร็คเตอร์ที่ดี หน้าตาก็หล่อดึงดูดพอ ๆ กับตัวเอกหญิง และมิติของตัวละครที่เขาแสดงออกมา ทำให้เราไม่กล้าเดาเลยว่าเขาเป็นตัวละครดีหรือร้าย เพราะมันค่อนข้างมีมิติเทา ๆ ให้เราลุ้นว่าเขาเป็นยังไงกันแน่ แต่ที่ดีมาก ๆ คือ ทานซุ ไบเซอร์ ที่เล่นเป็นชายวัยกลางคนที่อยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นผู้ใหญ่และความเป็นเด็กที่ค่อย ๆ ไต่ระดับจากความธรรมดาให้เป็นความเหนือกว่าทุกตัวละครในเรื่อง ในขณะคนที่เหลือก็แสดงกันสุดตัวมาก บทน้อยมากก็สำคัญดึงอารมณ์เราได้อยู่หมัด ที่ขาดไม่ได้คือดนตรีประกอบและบทเพลงที่สรรหาได้แบบโรแมนติกและโดนใจนักฟังเพลงแน่ โดยเฉพาะฉากที่ตัวละครเอกร้องเพลงบริทนีย์ สเปียร์ในยุค 1919 สไตล์แจ๊สและซาวนด์ประกอบสุดเร้าอารมณ์และเข้ากับจังหวะของเรื่องอย่างไร้ที่ติ
สรุป Midnight at the Pera Palace (เที่ยงคืน ณ เปรา พาเลซ) สนุกและดีไหม
เป็นซีรีส์ที่ทั้งสนุก ครบทุกรส ดีมาก แม้พล็อตจะเป็นแบบสูตรสำเร็จแต่กลับสามารถฉีกทางให้น่าสนใจและดึงดูด พลังของนักแสดงที่ยอดเยี่ยม องค์ประกอบอื่น ๆ ที่ดูดี ทั้งยังผสานประเด็นสังคมที่เข้ากับยุคสมัยใหม่ เป็นม้ามืดจากตุรกีที่ดีพอ ๆ กับตะวันตกเลยก็ว่าได้ ใครที่อยากหาอะไรซีรีส์นอกกระแสดี ๆ ดูได้ทุกเพศทุกวัย ผมขอแนะนำเรื่องนี้อย่างยิ่งเลยครับ
S2 มีต่อไหม มาเมื่อไหร่?
ตอนนี้ทาง Netflix ยังไม่ได้ประกาศอะไรออกมาเลยครับ อาจเป็นซีรีส์ของฝั่งประเทศตุรกี แต่ต้องมีซีซั่นต่อ เพราะซีซั่นแรกจบแบบช็อคและทิ้งปมอีกแล้ว เป็นอะไรมากมั้ยซีรีส์แนวย้อนเวลาเนี่ย อยากติดตามต่อมาก เพราะปมยังไม่เคลียร์ได้สนิทเลย ต้องรอดูกระแส ขอให้ได้ทำต่อเถอะ
ชมได้แล้ววันนี้ใน เน็ตฟลิกซ์
- ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจในแวดวงเกม รีวิวภาพยนตร์ ซีรีส์ และ อนิเมะ ได้ ที่นี่
- ติดตามผลงานของผม Thousand Mar ได้ ที่นี่