รีวิว The Princess Switch 1-2 สลับตัววุ่นวาย กับเหล่านายจอมบื้อ แฟรนไชน์ภาพยนตร์วันคริสต์มาส
-
The Princess Switch 1 - 7.5/10
7.5/10
-
The Princess Switch 2 : Switched Again - 7/10
7/10
สรุป
สรุปรีวิวภาคแรก : สนุก ตัวละครน่ารัก อมยิ้ม ไม่มีพิษไม่มีภัย นักแสดงทำได้ตามมาตรฐาน วาเนสซ่า ฮัดเก้นเด่นสุด
สรุปรีวิวภาคสอง : เนื้อเรื่องดีขึ้น แต่ปมบางอย่างค่อนข้างไม่จำเป็น และพล็อตที่โดดเด่นขึ้น นักแสดงยังครบทีมเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ วาเนสซ่า ฮัดเก้นเล่นสามบทรัว ๆ
Overall
7.3/10User Review
( vote)Pros
- วาเนสซ่า ฮัดเก้น คือเดอะแบก สวมบทบาทมากมายด้วยตัวคนเดียวได้เรียบเนียน แทบไร้ที่ติ
- ฉากตลกน่ารักและอมยิ้ม มีซึ้งช่วงท้ายตลอด
- โรแมนติกเพ้อฝันเหมาะกับคนอยากได้อะไรสบาย ๆ
- บทก็มีปมมีอะไรพอให้ได้ลุ้นกันอยู่
- นักแสดงทำหน้าที่ได้ดีจนเกิดความผูกพันในภาคต่อมา
- เสียงพากย์ไทยดีมาก ๆ ทั้งสองภาค
- จักรวาลเน็ตฟลิกซ์เริ่มต้นขึ้นมานานแล้ว
Cons
- ปมประเด็นไม่ค่อยมีอะไรมากมาย
- บทเฉย ๆ ไม่ได้มีอะไรที่พิเศษ ภาคสองก็ขยายความนิดหน่อย แต่ไม่ได้โดดเด่นอะไร
- พล็อตดาดมาก ยิ่งภาคสองคือไปไกลเลย มีลักพาตัว สลับตัววุ่นวายกว่าเดิม แต่แทบไม่ต่างกันมากนัก
- องค์ประกอบยังคลิเช่ซ้ำกับหนังในจักรวาลหนังคริสต์มาสในเน็ตฟลิกซ์เรื่องอื่น ๆ ด้วย
The Princess Switch 1-2 แฟรนไชน์ Netflix แห่งการสลับตัวสร้างรักที่จะนำพาทั้งเสียงหัวเราะแและความน่ารักมาสู่ผู้ชม โดยภาพยนตร์ชุดนี้กำกับโดย ไมเคิล โรหล ที่กำกับซีรีส์มามากมายมาหลายเรื่องซึ่งพูดชื่อไปก็คงไม่คุ้นอยู่ดี แต่คอนเซปต์ที่น่าสนใจคือการหยิบนำคนหน้าเหมือนแต่ต่างชนชั้น มาสลับตัวให้เกิดเรื่องวุ่นวายอลวนอลหม่านจากวรรณกรรม The Prince and the Pauper หรือ เจ้าชายกับยาจก ของ มาร์ค ทเวนมาตีความใหม่ หากใครได้ดูเน็ตฟลิกซ์กันมาเมื่อหลายปีก่อน เราจะพบกับหนังคริสต์มาสมากมายที่ขนมาราวกับไม่เกรงใจคุณภาพ กับสตางค์55 แต่แน่นอนว่ามันก็มีคนดูอยู่ดี ไม่ต้องคิดอะไรมาก แค่มีฉากคอเมดี้ เปิ่น ๆ หนุ่มสาวหล่อสวย และเรื่องนี้ก็คงเป็นอีกทางเลือกสำหรับคนดูหนังในวันหยุด อากาศเย็น ๆ แบบนี้แน่ ๆ เอาล่ะเริ่มที่ภาคแรกก่อนเลยแล้วกัน
รีวิว The Princess Switch 1 เดอะ พริ้นเซส สวิตช์ สลับตัวไม่สลับหัวใจ
The Princess Switch บอกเล่าเรื่องราวของ สเตซี่ เดอโนโว สาวคนทำขนมอบในร้านขนมชื่อดังในชิคาโกที่ยึดติดกับชีวิตมากเกินไป จนลืมสนใจคนรอบข้าง ที่ชีวิตเหมือนถูกหวยได้รับบัตรเชิญไปแข่งขันทำขนมที่ประเทศเบลกราเวีย ประเทศสมมติที่ใกล้กับประเทศอังกฤษที่ ๆ ซึ่งเธออยากหลีกหนีจากความเจ็บปวดในอดีต พร้อมด้วย เควิน เพื่อนชายคนสนิทแต่ไม่ถึงแฟน กับ โอลิเวีย ลูกสาวจอมซนและปราดเปรื่องที่คอยมาสนับสนุนเธอ แต่ด้วยเหตุอะไรบางอย่างทำให้เธอได้พบกับ มากาเรต เดลาคอร์ หญิงชนชั้นสูงจากประเทศมอนเทนาโรที่หน้าเหมือนเธออย่างกับฝาแฝด ก่อนที่เธอจะถูกดึงเข้าสู่แผนการอลหม่านทั้งกายและใจ เมื่อเธอต้องใกล้ชิดกับเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ว่าที่สามี ในขณะที่มากาเรตต้องเผชิญหน้ากับ เควินที่พยายามจะจับไต๋เธอ ก่อนที่จะเกิดเป็นความรักแบบผิดฝาผิดตัว แล้วเรื่องราวจะลงเอยแบบไหนล่ะเนี่ย
ตัวอย่าง The Princess Switch
นี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตที่ไม่รู้ว่ากามเทพปันใจหรือสวรรค์กลั่นแกล้ง เพราะชีวิตจริงมันก็ยากมากที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ เพราะทุกอย่างมันไปในทางไม่ฟลุ๊คก็บังเอิ๊ญบังเอิญไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะมันเป็นหนังรักโรแมนติกคอมเมดี้ที่พยายามชูการสลับตัวของสองหญิง สองชนชั้นมากกว่า เอาง่าย ๆ มันเป็นหนังของเน็ตฟลิกซ์ที่คุณภาพบทเหมือนกำลังดูช่องดิสนีย์แชนแนลที่โตขึ้นมาจริง ๆ ในขณะเดียวกันหนังยังใส่ประเด็นที่น่าสนใจไว้หลายอย่างเช่น ชีวิตต้องยอมปล่อยให้ใจนำทางบ้าง ลองเรียนรู้ที่จะเข้าถึงหัวใจของคนอื่นดูสักครั้ง ซึ่งในส่วนนี้อาจจะไม่ได้ขยี้อะไรมาก แต่ก็เป็นใจความของหนังมาตลอด
ในขณะที่ตัวละครต่าง ๆ ที่โดดเด่นนอกจากสองสาวแล้ว ยังมีหนุ่มหล่อมาดเซอร์อย่าง เควิน เพื่อนรักที่คิดว่าเขาไม่เคยคิดอะไรกับเพื่อนท่ามกลางเสียงเชียร์จนทำให้เขาต้องก้าวข้ามผ่านไป หรือเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดที่เปิดฉากมาเป็นคนที่ไม่สนใจรอบข้าง และไม่แคร์สังคมจนกระทั่งเหตุการณ์นี้ได้เปลี่ยนแปลงเขาไป โอลิเวียก็เป็นเด็กช่างฝันแต่เธอก็มอบบทเรียนให้กับทุกคน สรุปคือการสลับตัวครั้งนี้ยังทำให้หลาย ๆ คนในเรื่องได้เปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นคนที่ดีกว่าที่เคยเป็นด้วย แม้ว่าหนังมันจะไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น แต่มันก็คือสิ่งที่ทำให้หนังแทบไม่มีผิดไม่มีภัย ตัวร้ายก็ไม่ได้ร้ายเวอร์จนทำลายหนัง หรือปมของเรื่องก็แก้ง่ายไม่ขัดใจอะไรมากนัก ไม่มีใครทำตัวน่ารำคาญสักเท่าไหร่ในเรื่องนี้
ในส่วนของนักแสดงขอชื่นชม วาเนสซ่า ฮัดเก้น นักแสดงดิสนีย์เก่าที่เราอาจจะคุ้นหน้าจาก High School Musicle หรือ หนังซ่องแตกที่คนไม่ค่อยจำอย่าง Spring Breaker ที่สวมบทเป็นผู้หญิงที่หน้าเหมือนกันแต่ท่าทางและกิริยาไม่เหมือนกัน ได้ในขั้นใช้ได้ อาจจะไม่ได้เก่ง เพราะส่วนตัวการเคลื่อนไหวและนิสัยก็ไม่ได้ต่างกันมากเท่าไหร่ แต่เธอก็สามารถคุมเรื่องและทำให้เราเชื่อได้ว่าเธอคือ สเตซี่ และ มากาเรต และเอ็นดูกับความจะหลุดหรือไม่ ในส่วนของเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดที่ได้แซม ปัลลาดีโอ นักร้องและนักแสดงหนุ่มชาวอังกฤษก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรมาก แต่ก็มีปมและเสน่ห์ที่น่าสนใจ และรอยยิ้มของเขาอาจทำให้สาว ๆ ต้องใจสั่น เช่นเดียวกับเควินที่ได้นิค ชาคาร์มาแสดงก็ทำออกมาได้พอตัว แต่ก็ไม่ได้พิเศษ ต้องยอมรับว่าตัวละครชายไม่ได้มีอะไรเด่นเท่าไหร่ เพราะหนังมันไม่มีอะไรให้เล่นนอกจากความรักโรแมนติกของสองสาวที่เอามาเพ้อฝันได้แค่นั้นจริง ๆ ส่วนนักแสดงอื่น ๆ ก็ตามมาตรฐานไม่ได้โอเวอร์ ค่อนข้างเป็นธรรมชาติดี แต่รู้สึกว่าถ้าภาคนี้ไม่ใช่ภาคเดียว ตัวละครที่เด่นที่สุดคงเป็นสเตซี่ จนมากาเรตดูจางไปเลย
แน่นอนว่าโมเมนต์รักกุ๊กกิ๊กหวานแหววชวนอมยิ้มก็มีมาให้ไม่หยุด ไม่ว่าจะจ้องตา พูดคุยกันเรื่องอดีต เต้นรำด้วยกัน ถ่ายรูป กินอาหาร และเคมีของตัวละครที่ส่วนตัวรู้สึกว่าคู่ของสเตซี่กับเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดถือว่าหวานฉ่ำมากไม่ต่างกับ เจ้าชายคริสต์มาส เฟรนไชน์หนังที่เน็ตฟลิกซ์เคยทำมาก่อนหน้าเลย ในขณะเดียวกันช่วงไคลแมกซ์ของเรื่องก็สอดดราม่าเข้ามาให้ลำไยเล่น และโชคดีมากที่หนังไม่ใช้เวลากับมันมากเกินไป เพราะตามสถานการณ์แล้ว มันไม่ควรต้องมาลำบากลำบนอะไรขนาดนั้น แต่นั่นแหละ หนังมันก็ชอบใส่คอนฟลิกซ์หรือจุดตัดมาใส่แบบไม่สนใจเหตุผลอยู่แล้ว เอาเป็นว่าเป็นหนังรักตลกที่ดูแล้วอมยิ้มในวันหยุดก็พอ อย่าคาดหวังอะไรมากกว่านั้น แต่อย่าเพิ่งคิดว่าภาคต่อไปจะเป็นได้แค่นี้ เพราะมันไปได้อีกใน
รีวิว The Princess Switch 2 : Switched Again เดอะ พริ้นเซส สวิตช์ สลับแล้วสลับอีก
The Princess Switch 2 : Switched Again เล่าเรื่อง 1 ปีหลังจากเหตุการณ์ในภาคแรกที่ชีวิตสุขสันต์ไม่ได้เป็นอย่างที่หวังโดยเฉพาะกับ มากาเรต เดลาคอร์ หญิงชนชั้นสูงจากประเทศมอนเทนาโรที่ต้องแยกจากความรักเก่าเพื่อขึ้นเข้ารับตำแหน่งราชินี จนสเตซี่ที่ชีวิตแสนสุขสันต์ต้องเดินทางมาหาเพื่อวางแผนการรับมือ พร้อมทั้งยกเอาเควิน ริชาร์ด และ โอลิเวีย พร้อมทั้งสามีอย่างเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด แต่แผนการดังกล่าวก็ต้องมาสะดุด เมื่อ แอนโตนิโอผู้ช่วยของมากาเรตกำลังหวังจะครอบครองหัวใจเธอ เช่นเดียวกับ ฟีโอน่า ญาติของมากาเรตที่หวังจะครอบครองทรัพย์สมบัติของมากาเรต ทุกคนจึงต้องกู้ทั้งหัวใจที่แตกสลายและมงกุฏที่กำลังจะถูกยึดครอง เมื่อฟีโอน่าทั้งแสบและร้าย อีกทั้งยังหน้าเหมือนพวกเธอด้วย แผนการร้ายครั้งนี้จะเป็นอย่างไร และมากาเรตจะปิดฉากหัวใจกับคนที่เธอรักได้หรือไม่
ตัวอย่าง The Princess Switch 2 : Switched Again
ถ้าภาคหนึ่งเป็นหนังรักโรแมนติก ภาคนี้ก็ยกระดับเป็นหนังรักจารกรรมไปเฉย ใช่ เพราะการที่ชีวิตของแต่ละคนเหมือนจะลงเอยแล้ว มันมีอะไรมากกว่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าหมายถึงอุปสรรคใหม่ ความสัมพันธ์ใหม่ ๆ แต่ก็ยังไม่ได้ทิ้งความเป็นหนังภาคเดิมที่ไม่ได้บทดีต่อยอดมากไปกว่าภาคที่แล้วมากเท่าไหร่ มันยังเป็นหนังดิสนีย์ที่โตขึ้นมาหน่อย ๆ แต่ความน่าสนใจคือ วาเนสซ่า ฮัดเก้น เหมาสามบทเลยครับ รอบนี้ เรียกได้ว่าถ้าโปสเตอร์แปะชื่อนักแสดงคงมี วาเนสซ่า ฮัดเก้น แปะอยู่สามชื่อเลยทีเดียว เรียกได้ว่ามาเพื่อครองบทนำทั้งสามเลย และบทใหม่ก็ช่วยเพิ่มมิติการแสดงให้เห็นว่าเธอเต็มที่และตั้งใจสุด ๆ ในขณะที่ตัวละครอื่น ๆ ก็ยังเป็นเหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก
ในส่วนของพาร์ทความรักรอบนี้สมใจคนที่ชอบมากาเรตและเควินแน่นอน เพราะดราม่ารักรอบนี้เรียกได้ว่าหนักหน่วงและโดดเด่นเลยทีเดียว เรียกได้ว่าภาคนี้มากาเรตครองเรื่องเลย ไหนจะปมของมากาเรตที่ต้องแบกรับปัญหาของการปกครองประเทศว่าจะสามารถเป็นราชินีได้หรือไม่ แต่เพราะการเล่าเรื่องที่ไม่ได้พยายามขับเน้นมาก เราเลยไม่ได้รู้สึกหนักหนาอะไร แต่ตัวละครสองตัวนี้มีความพยายามมากกว่าภาคก่อน ๆ มาก ในขณะที่ปมของเอ็ดเวิร์ดกับสเตซี่ก็มีเข้ามาให้เห็นว่าชีวิตแต่งงานอาจไม่ได้หวานแหวว แต่ละคนก็มีหน้าที่สำคัญที่ต้องทำ แต่ถ้าหัวใจยังตรงกัน จะไม่มีอะไรพรากจากกันได้ และภาคนี้เจ้าชายก็มีมุมน่ารักน่าหยิกมากกว่าเดิม ผิดกับภาคแรกที่เราจะเห็นมุมนิ่ง ๆ การเล่าเรื่องก็มีอืดเบา ๆ และไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่
ในขณะที่ฟิโอน่า ตัวละครใหม่ของภาคนี้ เธอคือผมทองจอมแสบคนนี้คือ วาเนสซ่า ฮัดเก้น! เธอเป็นเสมือนตัวร้ายของเรื่องเลยทีเดียว เพราะเธอวางแผนซ้อนทับกันกับการสลับตัวของมากาเรตกับสเตซี่ร่วมกับสมุน ซึ่งเรียกว่าเป็นการก่ออาชญากรรมเลยทีเดียว ซึ่งถามว่ามันเป็นการออกทะเลมั้ย มันก็ดาบสองคมที่ทำให้เรื่องมันเข้มข้นและหลุดโลกพอสมควร โชคดีที่สเกลเรื่องมันก็ดิสนีย์ ไม่มีพิษไม่มีภัยเท่าไหร่ ปมตัวร้ายที่คิดจะจบก็จบลงอย่างง่ายดาย ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่เกิดขึ้นมันควรผูกปมได้ดีกว่านี้ เพราะงั้นอย่าคาดหวังอะไรมาก เพราะไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลงจากภาคก่อนมากเท่าไหร่ และก็รู้สึกว่าเรื่องมันดร็อปลงเรื่อย ๆ โชคดีที่ช่วงท้ายมันน่ารักและอบอุ่นมากจนลืมรอยโหว่และความดร็อปนั้นไปเลย
สิ่งที่น่าสังเกตของเฟรนไชน์นี้คือ บางทีก็รู้สึกเหมือนหนังเรื่องนี้มันแฟนตาซีแปลก ๆ ทั้งการให้ตัวละครชายแก่คนหนึ่งโผล่ไปในทุกที่ที่เกิดเรื่อง ซึ่งเขาโผล่มาตั้งแต่ภาคแรก และมักจะพูดอะไรคม ๆ เตือนสติ จนรู้สึกเหมือนเป็นพ่อสื่อให้กับความรักในเรื่อง แต่แล้วผมก็มารู้สึกตัวได้ในท้ายเรื่องว่า แท้จริงแล้ว มันมีคำตอบอยู่ และคำตอบนั้นก็ว้าวมากจนอยากตบบ่าเน็ตฟลิกซ์ว่าเก่งมากที่ทำแบบนี้ และถ้าคุณกำลังหาหนังดูในวันหยุด เรื่องนี้อาจจะไม่ได้ดีมาก ดีเวอร์ดีอลัง แต่ความน่ารักของมันก็ยังคุ้มค่าที่จะเปิดดูอยู่ดี เพราะถ้าได้เห็นวาเนสซ่า ฮัดเก้นมาสวมบทบาทหลาย ๆ อย่างให้ดูมันก็สนุกและชวนอมยิ้มอยู่แล้ว และแน่นอนครับว่ามันมีภาคต่อที่ 3 แน่นอน เน็ตฟลิกซ์ยืนยันแล้ว และกำลังจะมีการถ่ายทำอยู่ในตอนสิ้นปีนี้แหละ แค่นี้ก็น่าไปดูแล้วมั้ย เพราะงั้นเปิดดูเลยตอนนี้ที่เน็ตฟลิกซ์ รอภาค 3 กันเลย
สปอยที่ไม่เกี่ยวเนื้อเรื่อง แต่สำคัญมาก
ในตอนท้ายภาพยนตร์ปรากฏตัวให้เห็นตัวละครหลักจากเจ้าชายคริสต์มาสอย่าง เอมิลี่กับเจ้าชายริชาร์ดแห่งอะโดเวีย เฉลยว่าแท้จริงแล้ว แฟรนไชน์นี้อยู่ในจักรวาลเดียวกันกับ แฟรนไชน์เจ้าชายคริสต์มาส ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นมันก็จะเชื่อมโยงกับ อัศวินก่อนวันคริสต์มาส และกลายเป็นภาพยนตร์จักรวาลภาพยนตร์เทศกาลวันคริสต์มาสของเน็ตฟลิกซ์ เนื่องจากมาจากสตูดิโอ MPCA ผู้สร้างเดียวกัน (แม้ว่าในภาคแรกจะดูหนังเรื่องเจ้าชายคริสต์มาสก็เหอะ)
และหนังภาค 3 ก็น่าจะมาในเดือนพฤศจิกา ปีหน้าเหมือนเคยแน่ ๆ
สามารถชมได้แล้วที่ NETFLIX ไม่ควรพลาดครับ