รีวิว Thor: Love and Thunder ด้วยรักแด่เทพเจ้าสายฟ้าองค์ใหม่ ที่เปี่ยมไปด้วยหัวใจ (ไม่สปอยล์)
Thor: Love and Thunder
Summary
ภาพยนตร์เริ่มต้นมหากาพย์ใหม่ของเทพเจ้าสายฟ้าแบบ 80 ผสมรสชาติง่าย ๆ สไตล์มาร์เวลตลอดสองชั่วโมงที่เกือบจะสมบูรณ์แบบ เนื้อเรื่องรวบรัดง่ายดายไปหน่อย แต่ก็ไม่ต้องกลัวจะไม่เข้าใจ เพราะหนังไม่ได้เชื่อมกับอะไรมากนักนอกจากหนังภาคก่อน ๆ ดึงมิติและปมของตัวละครออกมาขยี้จนน้ำตาซึม ตั้งแต่ต้นจนจบ ตัวละครบางตัวก็ใช้ได้ไม่คุ้มมากนัก และมาเพื่อปูเรื่องราวในอนาคต กลายเป็นภาพยนตร์ธอร์ภาคที่ดีที่สุดของนักเขียน ทั้งดราม่า โรแมนติก คอเมดี้ที่ทำออกมาได้กลมกล่อมและเข้มข้น
Overall
8/10User Review
( votes)Pros
- เนื้อเรื่องรวบรัด เผยให้เห็นโลกตัวละครฝั่งเทพเจ้ามากขึ้น
- ครบทุกรสชาติ มีความกาว ตลกมากกว่าปกติ แต่ดราม่าจุกหนักมาก
- ตัวละครที่น่าสนใจมากขึ้นทั้งใหม่และเก่า
- ประเด็นเรื่องความรักที่สะท้อนใจคนดูอย่างเรียบง่าย
- นักแสดงเล่นดีมาก คริสเตียน เบลและนาตาลี พอร์ทแมน คือที่สุด
- การนำเสนอสไตล์ภาพสวย 80 ของผู้กำกับ
- เฉลยปมของตัวละครเก่า ๆ ที่เคยโดนตัดบทออกไปดื้อ ๆ
- พากย์ไทยดีตามมาตรฐานมาร์เวล
Cons
- สูตรสำเร็จ ไม่ได้เชื่อมกับจักรวาล ควรดูหนังสามภาคก่อนเพื่อเข้าใจความสัมพันธ์ของตัวละครที่กลับมา
- ใช้นักแสดงไม่คุ้มกับบทตัวละคร โดยเฉพาะคริสเตียน เบล และรัสเซล โครว์
Thor: Love and Thunder ธอร์: ด้วยรักและอัสนี สร้างจากตัวละคร ธอร์ ของ มาร์เวลคอมิกส์ ภาพยนตร์สร้างโดย มาร์เวลสตูดิโอส์ เป็นภาพยนตร์ภาคต่อโดยตรงของ ธอร์: ศึกอวสานเทพเจ้า (2017) และเป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 29 ในจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล (MCU) เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ใน อเวนเจอร์ส: เผด็จศึก กำกับโดย ไทกา ไวทีที ผู้กำกับในภาคที่แล้วที่พาธอร์ไปโลดแล่นอย่างฉูดฉาดอย่างมีสีสัน หลังจากสองภาคแรกไม่ค่อยประสบความสำเร็จในแง่ของการสร้างตัวละคร และเป็นครั้งแรกที่เขาได้สานต่อเรื่องราวของเทพเจ้าสายฟ้าองค์นี้ และสิ่งที่ยังค้างคาใจแฟน ๆ มาตลอด อย่างความสัมพันธ์กับ เจน ฟอสเตอร์ แฟนสาวที่เลิกกันแบบไม่สวยที่กลับมาในฐานะ เทพเจ้าสายฟ้าองค์ใหม่
เรื่องย่อ Thor: Love and Thunder
หลังจากเหตุการณ์มหาศึกธานอสที่คืนชีวิตให้โลกใน อเวนเจอร์ส เผด็จศึก ธอร์ โอดินสัน ได้ออกเดินทางปราบปรามวายร้ายไปทั่วจักรวาลเพื่อหวังจะลบล้างความเจ็บปวดจากความสูญเสียได้ แต่ทว่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลับเชื่อมโยงกันผ่าน ผู้ปราบเทพเจ้า กอร์ ที่ได้สังหารเทพเจ้าไปทั่วจักรวาล รวมไปถึงเพื่อนรักของเขา แต่เมื่อกลับมาตั้งต้นที่โลก เขากลับได้พบกับเจน ฟอสเตอร์ แฟนสาวที่เลิกรากันไปนาน ผู้ถือค้อนประจำตัวของเขา ธอร์จึงได้ออกสำรวจเหตุผลของความรักที่ทุกคนล้วนพร้อมจะทำเพื่อปกป้องและทำลาย แต่สุดปลายทางของเขานั้น ไม่ใช่การปกป้องจักรวาล แต่สำคัญกับการปกป้องคนที่เขารักตะหาก
รีวิว Thor: Love and Thunder
หนังมีสไตล์การเล่าที่เน้นความเป็นเอกลักษณ์ ฉูดฉาด และรวดเร็วสไตล์ 80 ของผู้กำกับ แต่ก็ยังมีกลิ่นอายของความเป็นหนังซูเปอร์มาร์เวลอยู่ดี ด้วยความที่หนังมีเวลาจำกัด เหตุการณ์ของเนื้อเรื่องจึงถูกบอกเล่าแบบรวบ ๆ ทั้งในส่วนของพล็อตหลักเน้น ๆ และมุกตลกที่ทำออกมาแบบติดตลก จนบางครั้งก็ยังเป็นส่วนที่เป็นทั้งข้อดีตรงที่มันขำจริง ๆ แต่นอกนั้นมันทำให้ภาพรวมกลายเป็นว่าเรื่องราวมันดูล่อง ๆ ลอย ๆ ไม่มีความจริงจังเท่าที่ควรแบบหนังมาร์เวลเรื่องอื่น ๆ จนเราอาจจะรู้สึกเพลิดเพลิน แต่ไม่ได้ทำให้เราเอาใจช่วยมากที่ควร แต่ถึงแบบนั้นหนังก็ถูกขับเน้นความรักและเปี่ยมด้วยอารมณ์เต็มขั้นจนทำให้เสียน้ำตาได้ตั้งแต่ต้นจนจบ แม้ว่าส่วนตัวแล้วตัวละครบางตัวที่ออกมาไม่ได้ทำหน้าที่เสริมสร้างความแน่นของเนื้อเรื่อง และใช้ได้อย่างไม่คุ้มสุดเอาก็ตาม
บทหนังในเรื่องจะค่อนข้างเล่าเรื่องแบบง่าย เรียกได้ว่าสำเร็จรูปเลย ซึ่งนี่แหละที่เป็นส่วนที่แฟนมาร์เวลเริ่มจะจับต้องและเบื่อกับมันแล้ว หนังที่รู้ว่าในเฟส 4 จะมามัวสร้างจักรวาลอย่างเดียวไม่ได้ จึงเน้นสร้างเนื้อเรื่องเอกเทศของมันเอง แต่ก็ยังไม่ทอดทิ้งสิ่งที่หนังภาคก่อนทั้งสามภาคเล่าไว้กับแฟน ๆ และบางส่วนที่ไม่ได้ถูกบอกเล่าในหนัง ก็ถูกเล่าให้เต็มเปี่ยมในภาคนี้ ซึ่งทำให้ภาพรวมของหนังมีความแข็งแกร่งที่สุดในหมู่หนังทุกภาคของธอร์ แต่คุณไม่จำเป็นต้องตามดูทุกเรื่องของ MCU คุณดูเรื่องนี้ก็พอจะอินไปกับมันได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี สำหรับคนที่ไม่ค่อยอยากจะตาม เพราะต้องดูหนังหลายเรื่อง ซีรีส์หลายตอน เรื่องนี้หมดห่วงไปเลย
ตัวละครหลักมีความโดดเด่นและน่าสนใจ ธอร์ จากที่มาเป็นตัวเอกเล่นตลก ตบมุก ก็กล้าที่จะกลายเป็นตัวตนที่เท่ และทรงพลัง มีพัฒนาการจากการเป็นเทพขี้เก๊กเน้นปล่อยพลัง ให้กลายเป็นเทพที่บอบช้ำ มีปมปัญหาในใจที่ทำให้เขาไม่เคยไปไหนได้ แต่ก็ยังทำทุกอย่างเพื่อปกป้องผู้คน และไม่ทิ้งเหตุผลที่จะเข้าใจการกระทำแม้แต่ศัตรูก็ตาม ทำให้ตัวละครธอร์ค่อนข้างทำให้เรารักและเอาใจช่วยเขามากขึ้น โดยเฉพาะตอนสุดท้ายที่เปิดทางตัวละครนี้ไปได้ไกลกว่าที่คาดการณ์ด้วยซ้ำ
เจน ฟอสเตอร์ จากตัวละครที่แทบจะไม่สามารถทำอะไรเพื่อช่วยธอร์ได้ นอกจากโดนจับตัว หรือเป็นคนรัก การรีเทิร์นครั้งนี้เลยเขียนบทแสดงให้เธออย่างเต็มเปี่ยม ทั้งในมุมดราม่า มุมตลก และมุมเท่ ๆ แอ็คชั่นสุดเจ๋ง ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนและเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน ที่ผมเชื่อเลยว่าทุกคนจะรักตัวละครนี้มาก ๆ หลังดูจบ
กอร์ ตัวละครที่จะเรียกว่าตัวร้ายก็คงไม่เต็มปาก เพราะว่า มีเหตุผลมาก ๆ ในการกระทำร้าย ๆ ในเรื่อง ความสิ้นหวังและการตั้งคำถามกับศรัทธากับพระเจ้าที่ผลักดันให้เขาทำสิ่งที่ไม่มีใครยอมรับ แม้ตรงนี้จะไม่ได้เล่าอะไรมากนัก นอกจากช่วงแรก แต่มันก็ทำให้ตัวร้ายนี้เป็นตัวละครที่น่าจดจำใน MCU เสียอย่างเดียวที่นอกจากดราม่าแล้วก็ไม่ได้มีอะไรให้ชื่นชมมากนัก
วัลคีรี่ ตัวละครสาวสายเลสเบี้ยนที่อยู่เคียงข้างกับธอร์ในการรบ จนได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ของเมืองใหม่ ที่เป็นตัวแทนของผู้หญิงทำงานที่พยายามปกครองประเทศได้อย่างแข็งแกร่งและมีอนาคต ในขณะที่ทั้งโลกยังปกครองแบบรัฐบาล แต่วัลคีรี่คือคนที่ทำทุกอย่างด้วยการไร้ซึ่งขอบเขต แต่เธอก็มีปมในใจที่แข็งแรงพอจะเดินเรื่องพร้อมกับพล็อตหลัก นอกจากนี้เธอยังคอยสนับสนุนทุกคนในการทำภารกิจปกป้องเทพ แต่น่าเสียดายที่บทเธอหายไปในช่วงไคลแม็กซ์ เพื่อเปิดทางให้ดราม่าของตัวละครท้ายเรื่องมากกว่า
ตัวขโมยซีนของหนัง คอร์ก เจ้ามนุษย์หินที่เปิดตัวมาตั้งแต่ภาคก่อน คราวนี้เขาก็ยังมีมุกฮา ๆ กาว ๆ มาคอยดับอารมณ์ซีเรียสไม่ให้โทนดูเรียบเกินไป แต่ก็ยังกลมกลืน แม้ว่ามุกตลกจะไม่คมอย่างในภาคก่อน ๆ แถมยังเซอร์ไพรส์คนดูในช่วงหลัง ๆ ด้วย ซึ่งตัวละครนี้จะกลายเป็นตัวละครที่น่าจดจำอีกตัวใน MCU
ที่น่าผิดหวังมากสุดเลย คือ ซุส เทพเจ้าแห่งอัสนี ที่มาของชื่อภาค ที่ครอบครองศาสตราวุธมหัศจรรย์ แต่มีบุคลิกกาว ๆ อย่างทำตัวขี้ขลาด กวนประสาท และใช้แต่อำนาจปกครองแต่ตนเอง เสียดายที่บทนี้เหมือนมาเพื่อปูเรื่องไปสู่อนาคตมากกว่า เพราะโดยรวมแล้วก็เหมือนมาเป็นตัวตลกมากกว่าที่จะเป็นตัวละครสำคัญ นึกถึงตอน แกรนด์มาสเตอร์ในภาค แร็คนาร็อก ที่มาเหมือนมาตบมุกมากกว่า ก่อนจะไปเด่นในหนังภาคหลัง ๆ
ประเด็นของเรื่องนี้ เน้นหนักไปที่ความรักที่ทรงพลังอานุภาพเหนือกว่าจักรวาลและเทพเจ้า ผ่านตัวละครต่าง ๆ ทั้งธอร์ ที่เคยมีความรักสุขสันต์แต่พอต้องทำหน้าที่ปกป้องโลก เขาก็ลืมค้นหาตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง จนกระทั่งวันที่เขาสูญเสียทุกอย่าง ทั้งครอบครัว เพื่อน และความรัก เขาก็จมดิ่งกับความเศร้า ใช้ชีวิตเสเพล กระทั่งรักเก่าอย่าง เจน ฟอสเตอร์ ที่มีเหตุผลให้ต้องกลับมา ทั้งคู่พบกันอีกครั้ง เธอเองก็มีปมในใจที่มีด้วยความรักในตัวของธอร์ และความเด็ดเดี่ยวมากพอที่จะปกป้องกันและกันไปจนสุดปลายทาง
เช่นเดียวกับกอร์ ผู้สังหารเทพที่สูญเสียสิ่งสำคัญไปในชีวิต เพราะความเชื่อที่ไร้ซึ่งความหมาย ผลักดันให้เขาจมลงสู่ความแค้นและความเกลียดชังจนมันค่อย ๆ กัดกินทุกอย่างในใจ ทำร้ายผู้คน ทำร้ายเทพ เพื่อเป้าหมายของตัวเองที่จะล้างบางเทพเจ้า และพวกเขาก็ได้เรียนรู้ที่จะเปิดใจ เรียนรู้ที่จะยอมรับ และปล่อยวาง แม้สุดท้ายพวกเขาจะต้องสูญเสียหรือพ่ายแพ้ แต่ความรักจะอยู่ในใจของพวกเขาตลอดไป เหนือกว่าความตาย เหนือกว่ากาลเวลา ซึ่งมันเป็นใจความสำคัญที่แข็งแกร่งและเข้ากับเรื่องราวของภาคนี้ได้อย่างเต็มเปี่ยมจนน่าปรบมือให้
ความโดดเด่นของหนังคือ งานภาพที่มีการเล่นกับสีสันและสไตล์ที่ฉูดฉาด ประหนึ่งสาดสีรุ้งเข้ามาและฉากขาวดำที่ถูกบอกเล่าในเรื่องที่เหมือนคารวะหนังเก่า ๆ หรือแม้แต่โทนสีหนังสือการ์ตูนมาร์เวล ผนวกกับดนตรีเพลงประกอบร็อคยุค 80-90 ที่โดนในทุกฉาก บางฉากก็มาแบบเบา ๆ บางฉากก็มาไวแบบสายฟ้าฟาด ฉากต่อสู้ที่มีเพลงเหล่านี้แทรกทำให้หนังมีความเท่อย่างไม่น่าเชื่อ คล้าย ๆ กับการ์เดี้ยนออฟดิกาแล็กซี่เลยที่ใช้เพลงเป็นตัวสื่อเรื่องราวในเรื่องและฉากแอ็คชั่น
ในส่วนนักแสดงนั้น คริส เฮมส์เวิร์ท เป็นธอร์ที่ทุกคนรู้จักกันดี แต่พ่วงมาด้วยอารมณ์ที่มากขึ้นมากกว่าเพียงตลก แต่ยังมีความดราม่า ความโรแมนติก รวมถึงความแข็งแกร่งของตัวละครที่ขับเน้นเสน่ห์ให้ผู้ชมจะได้เข้าใจความหมายของเทพเจ้าสายฟ้า แต่มันก็ไม่ได้เป็นบทบาทที่ยอดเยี่ยมดีอะไร มันแค่เป็นบทที่เขาเล่นมาตลอดจนกลมกลืนเป็นตัวของเขาไปแล้วซะมากกว่า แต่เขาก็ทำหน้าที่ออกมาได้สมบูรณ์แบบ เหมือนคนที่เติบโตตามตัวละครและทำให้เรานั้นรักได้อย่างเต็มหัวใจ นาตาลี พอร์ทแมน หญิงสาวเจ้าของรางวัลการแสดงที่โชว์ทั้งอารมณ์ดราม่า และความเข้มแข็งที่ทำออกมาได้อย่างลงตัว การแสดงของเธอคือสิ่งที่ทำให้ใครหลายคนต้องเสียน้ำตาที่สุดในเรื่อง ตัวละครของเธอคือหัวใจสำคัญที่ขาดไปไม่ได้เด็ดขาด โดยเฉพาะในฉากไคลแม็กซ์สุดท้ายที่เธอเล่นน้อยแต่มามากสมกับเข้าชิงออสการ์จริง ๆ
ในขณะที่ต้องขอยกนิ้วให้คริสเตียน เบล นักแสดงผู้ทุ่มสุดตัวในทุกบทตั้งแต่แบทแมน จนมาถึงหนังมาร์เวล ซึ่งเขาก็ทำให้เห็นแล้วว่า แม้แต่บทตัวร้ายที่ไม่ได้มีพลังยิ่งใหญ่อะไรอย่างกอร์ กลับทรงพลังอย่างน่ากลัวและน่าขนลุก แต่ก็ทำให้เราร้องไห้ได้เช่นกัน จนเสียดายที่หนังไม่ได้ใช้ศักยภาพของตัวละครนี้มากอย่างที่ควรจะเป็นเหมือนที่นักวิจารณ์หลายคนบอก มันน่าจดจำ แต่ไม่มากพอจะเป็นตัวละครร้ายที่ดีที่สุด แต่ผมว่าดีกว่าเฮล่า ตรงที่มันเด่นในด้านของการขยี้ปมตัวละครที่ดีกว่าภาคที่แล้ว ด้วยเวลาที่สั้นและการรวบรัดเราจึงได้เห็นชะตากรรมตัวละครแบบมาไวไปไวจนคิดว่าถ้ามีโอกาสก็อยากจะเห็นเขาในหนังเรื่องอื่น ๆ ในมาร์เวลมากกว่านี้ น่าเสียดาย
เทสซา ธอมป์สัน ในบทวัลคีรี่ที่ไม่ได้มีอะไรมาก นอกจากบทเพื่อนของตัวเอก แต่ความน่าสนใจคืออิสระที่ตัวละครนี้สามารถไปได้หลายทางมาก ทั้งตัวตบมุก และ ตัวดราม่า เพราะเธอเองก็สามารถแสดงบทเศร้าได้ดีเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อเธอต้องเผชิญหน้ากับกอร์ เธอก็ไม่ได้โดนคริสเตียน เบลกลบ แต่ก็เสียดายที่บทเธอไม่ค่อยทำอะไรในเรื่องมากนัก
ในส่วนของไทกา ไวทีทีที่เล่นบทมนุษย์หินใส่ซีจีมาตบมุกก็สามารถแสดงบทเดิมได้อย่างเป็นธรรมชาติ แสดงให้เห็นแล้วว่าผู้กำกับคนนี้ยังมีอนาคตที่สดใสรออยู่มากมายเลยทีเดียว ในขณะที่รัสเซล โครว์ ไม่ได้มีบทบาทอะไรเลย นอกจากมาเป็นตัวตลก และก็หายไปยาว เหมือนจะปูเรื่องในจักรวาลมากกว่า ทำให้รู้สึกว่าไทกา เอาเขามาเล่นเพราะเห็นว่ามันแปลกใหม่ที่จะได้เห็นเทพเจ้าสายฟ้าในแบบกาว ๆ ซึ่งมันก็ทำให้เรารู้สึกรำคาญได้อย่างเต็มเปี่ยมจริง ๆ
สรุป Thor: Love and Thunder สนุกและดีไหม
ภาพยนตร์มาร์เวลกลิ่นอายหนังตลกผสมดราม่าที่มันทั้งตลก ดราม่า และตื่นเต้น แต่เพราะหนังมันสั้นเกิน หนังเลยไม่ได้ให้พื้นที่กับการแสดงและตัวละครมากนัก พล็อตที่ดูเบาโหวงจนแอบรวบรัดไปไวมาก แต่บทสรุปก็ทำให้เส้นทางของเทพเจ้าสายฟ้าองค์นี้เปี่ยมไปด้วยรักอย่างสมบูรณ์และน่าจดจำ แต่ก็ยังมีเส้นทางที่ยาวไกลของมาร์เวลที่อาจไม่ได้ฉีกไปจากเรื่องอื่น แต่มันก็คงเป็นแนวทางที่เราจะดูต่อไปเรื่อย ๆ ยาวไป เพราะมันยังมีหลายสิ่งในฝั่งตัวละครเทพเจ้ามาร์เวลที่แฟน ๆ ยังไม่ได้รู้อีกเพียบเลยละ
ชมได้แล้ววันนี้
ในโรงภาพยนตร์
เร็ว ๆ นี้ ทาง Disney+
- ติดตามผลงานของผม Thousand Mar ได้ ที่นี่
อยากอ่านรีวิวซีรีส์จักรวาล MCU ในเฟส 4 เพื่อความต่อเนื่องทั้งหมด สามารถกดอ่านในข้อความชื่อเรื่องข้างล่างนี่เลยWANDAVISION, FALCON AND THE WINTER SODIER, LOKI, WHAT IF…?, BLACK WIDOW, SHANG-CHI, ETERNALS, HAWKEYE, SPIDER-MAN: NO WAY HOME, Doctor Strange In The Multiverse Of Madness