playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings เขย่าสูตรสำเร็จมาเวลให้ลงตัวด้วยวิทยายุทธ (ไม่สปอยล์)

สรุป

เปิดตำนานสูตรสำเร็จใหม่ MCU ใหม่ด้วยวิทยายุทธในเฟส 4 อย่างประณีตและงดงาม ด้วยฉากแอ็คชั่นและงานภาพที่วิจิตรตระการตา พร้อมการแสดงของซือมู หลิวที่แจ้งเกิดอย่างสวยงาม เหลียงเฉาเหว่ยที่มีอำนาจสะกดทุกฉาก และนักแสดงที่มีความเป็นธรรมชาติ ครบทุกรส และสอดแทรกประเด็นที่เข้าถึงง่ายทั้งครอบครัวเอเชียน และการค้นหาตัวเอง เพลงประกอบดีทุกเพลง และเป็นฟันเฟืองตัวแทนใหม่ในจักรวาลภาพยนตร์ MCU ภายหลังจบ เฟส 3 อย่างลงตัวไร้ข้อกังขา

Overall
8/10
8/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • ฉากแอ็คชั่นและฉากโชว์พลังสุดอลังการ
  • เรื่องราวที่สนุกและไหลลื่นพร้อมตัวละครที่มีเสน่ห์
  • ประเด็นเรื่องของครอบครัวสไตล์ชาวเอเชี่ยนและการค้นหาตัวตนเอง
  • เพลงประกอบเพราะทุกเพลง คัดมาอย่างดี
  • นักแสดงลบคำครหาได้ไม่พอ ยังแสดงได้ดี
  • งานภาพสุดวิจิตรในทุกฉากและโปรดักชั่นที่ผสมผสานได้ลงตัวระหว่างอเมริกันกับจีน
  • ครบทั้งตลก ดราม่า และแอ็คชั่น แบ่งสัดส่วนเรื่องราวได้ดี
  • นักพากย์ไทยชุดใหม่ ทำหน้าที่ได้ดีมาก

Cons

  • สูตรสำเร็จเดาเรื่องได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
  • การเล่าเรื่องเร็วจนขาดการขยี้อารมณ์

Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings (ชาง-ชี กับตำนานลับเท็นริงส์) ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโรสัญชาติอเมริกัน เนื้อเรื่องดัดแปลงมาจากตัวละครของมาร์เวลคอมิกส์ ชื่อ ช่าง-ชี่ ผลิตโดยมาร์เวลสตูดิโอส์ ภาพยนตร์เรื่องที่สองของ เฟส 4 นำแสดงโดย ซือมู่ หลิว ในบท ชางชี ตามชื่อเรื่อง พร้อมด้วยการเล่นภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดครั้งแรกของ เหลียง เฉาเหว่ย พร้อมด้วย มิเชล โหย่ว สมทบด้วยนักแสดงรุ่นใหม่ อควาฟิน่า และ เหมิงเอ๋อ จาง ภาพยนตร์เดี่ยวเปิดตัวละครของชางชี ตัวละครสายศิลปะป้องกันตัวที่ใช้พลังในการต่อสู้ด้วยพลังเวทย์ต่อกรกับจอมวายร้ายแห่งองค์กรสิบวงแหวนที่หวังจะทำลายล้างโลก ในขณะเดียวกันเขาก็ต้องค้นพบความจริงอันเจ็บปวดของครอบครัวที่แตกสลาย และต้องใช้มันผลักดันตัวเองเพื่อเตรียมรับมือกับสงครามที่จะเปลี่ยนชีวิตเขาและคนรอบตัวไปตลอดกาล ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ฉายไปแล้วในอเมริกาเมื่อเดือนกันยายนและได้คำวิจารณ์ในแง่บวกล้นหลามอีกทั้งยังเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้ทั่วโลกไปแล้วกว่า 402.9 ล้านเหรียญ ก่อนจะได้ฉายในประเทศไทยในจอโรงภาพยนตร์เดือนตุลาคม และในดิสนีย์พลัส 12 พฤศจิกายนนี้

ADBRO

 Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings (2021) on IMDb

ตัวอย่าง Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings

รีวิว Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings

ชอน ชายหนุ่มผู้ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายไปพร้อมกับ เคธี่ หญิงสาวสายซิ่ง เพื่อนสนิทที่เติบโตมาด้วยกันในเมืองซานฟรานซิสโก เมืองเดียวกับที่เคยเกิดเรื่องวุ่นวายใน ANT-MAN ทั้งสองภาค พวกเขารับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังสงครามที่กวาดล้างและเรียกคืนผู้คนจากครึ่งจักรวาลใน AVENGERS: ENDGAME และพยายามใช้ชีวิตในแบบที่พวกเขาเชื่อ กระทั่งวันหนึ่งพวกเขาถูกตามล่าและโจมตีโดยคนขององค์กรที่ชั่วร้าย เทนส์ริง องค์กรที่คอยบงการประวัติศาสตร์และครอบครองวงแหวนทั้งสิบที่สามารถมอบพลังในการต่อสู้อย่างไร้ขีดจำกัดพร้อมทั้งมอบชีวิตอมตะ พวกเขาจึงตัดสินใจออกตามหาน้องสาวของชอนที่ถูกพลัดพรากตั้งแต่เด็ก ก่อนที่พวกเขาจะค้นพบความจริงอันน่าตกตะลึงของครอบครัวชอน หรือแท้จริงก็คือ ชาง-ชี สายเลือดของเหวินหวู่ หัวหน้าขององค์กรเทนส์ริงที่มีพลังสามารถทำลายล้างจักรวาลได้ ชอนต้องเผชิญหน้ากับอดีตอันมืดมนที่เขาเก็บซ่อน เพื่อรวบรวมครอบครัวที่แตกแยกและพิทักษ์โลกใบนี้ในเวลาอีกเพียงไม่กี่วันเท่านั้น

เรื่องราวสูตรสำเร็จหนังฮีโร่ ตัวละครหลักของเรื่องมีปม มีปัญหาพยายามหลบหนีจากอดีตหรือปัญหาของครอบครัวและพยายามจะใช้ชีวิตใหม่ ก่อนจะได้พบเจอเรื่องที่ไม่คาดฝันที่เปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองและคนรอบตัว จากเอไปถึงบี ซึ่งก็มีแค่นี้แหละ แต่ที่มันทำได้แปลกใหม่กว่าคือสไตล์การเล่าเรื่องที่ผสมผสานความเป็นวัฒนธรรมอเมริกัน และแบบจีนที่มีความประณีตแต่ก็รวดเร็วฉับไหว แทบไม่มีช่วงไหนที่รู้สึกเบื่อ ไหนจะฉากที่โคตรจะโรแมนติกในช่วงแรกของโลกที่ถ้าเล่าออกมาไม่ดีจะทำให้มันดูตลก แต่หนังก็ทำให้มันสวยงามได้ แม้จะมีบางช่วงที่แอบเนือย ๆ แต่หนังก็รีบเล่าไปในจุดที่คนดูอยากเห็นได้ทันก่อนจะกลายเป็นอืด พร้อมทั้งสามารถแบ่งสัดส่วนการเล่าเรื่องระหว่างบทที่เข้มข้นในระดับหนึ่งและฉากต่อสู้ และฉากโชว์พลังที่ทำออกมาได้เท่และดูไม่โดดไปจากความเป็นหนังอเมริกัน แม้จะมีความคล้ายลมปราณกังฟูแต่มันถูกเอามาตีความในแบบมุมมองที่คนทั่วไปก็สามารถเข้าถึงได้ มีการเล่าสลับไปมาระหว่างแฟลชแบ็คเป็นระยะ ๆ ที่ไม่ได้เล่าทีเดียวจบ แต่เล่าออกเป็นช่วง ๆ และสอดแทรกออกมาเพื่อขับเน้นเรื่องราวที่ชวนสะเทือนใจและซาบซึ้ง สลับกับมุกตลกของตัวละครที่ไม่ถี่แต่ก็ตลกชวนอมยิ้มใช้ได้ ซึ่งยอมรับเลยว่า มันก็ทำได้ดีดีแล้ว แต่ก็อยากให้หนังขยี้มากกว่านี้ บางฉากสำคัญกำลังจะอินก็ดันตัดข้ามไปฉากต่อสู้เลยอย่างน่าเสียดาย ฉากสุดอลังการก็ใส่มาจัดเต็มแบบไม่กลัวว่าภาคต่อจะไม่ได้เล่ามันก็ยังสนุกเพลย์เซฟตามสไตล์หนังภาคต้น แต่ก็ไม่วายมีทิ้งฉากเอนเครดิตไว้สองตัวซึ่งชวนฮือฮาและทำให้รู้ได้ทันทีว่าจักรวาล MCU มาไกลและไม่มีวันเป็นเหมือนเดิม ยังไม่รวมกับ Easter Eggs จาก หนัง MCU ก่อนหน้าอย่าง The Incredible Hulk, IRON MAN 3 และ BLACK WIDOW อีกนะ ขอไม่สปอยว่าคืออะไร แต่เซอร์ไพรส์ผมใช้ได้

ตัวละครของเรื่องต่างมีมูลเหตุจูงใจที่ลึกซึ้งและซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็น ชอน หรือ ชางชี ตัวละครที่ดูเผิน ๆ มีอารมณ์ขัน เหมือนจะเป็นตัวตลกในหนังอเมริกัน แต่ไม่ใช่ในหนังเดี่ยวของเขา เขาต้องแบกรับความเจ็บปวดจากในอดีตที่ทำให้ครอบครัวกระจัดกระจาย จนต้องกลายเป็นคนที่จริงจังทั้งในการต่อสู้ แต่ก็ยังมีความเป็นมิตรกับคนรอบ ๆ ตัว ยกเว้นศัตรู เหวินหวู่ ชายผู้มีอายุที่สามารถใช้พลังวิเศษในการเรียกเวทย์เพื่อต่อสู้ แต่จริง ๆ เขาก็คือคนที่เปราะบางและโหยหาเป้าหมายในชีวิตจนได้ค้นพบ แต่แล้วทุกอย่างก็ได้เปลี่ยนไปเพราะโลกที่โหดร้าย ทำให้เขาต้องปะทะกับลูกชายของเขาซะเอง เซียหลิงหญิงสาวผู้เติบโตมาพร้อมกับชางชีที่มีปมถูกพ่อมองข้ามตลอดเวลา จนกระทั่งเธอดิ้นรนค้นพบหนทางตัวเองโดยไม่หวังให้ใครมาช่วย พร้อมท่วงท่าการควงมีดสุดเท่และขโมยซีนในทุกฉากโดยไม่ห่วงสวย เคธี่ ตัวแทนของคนตลกที่ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองเลือก โดยไม่สนใจว่าใครจะว่ายังไง ขอแค่มีคนคอยให้กำลังใจและผลักดัน เธอก็จะกลายเป็นคนในแบบที่คาดไม่ถึงได้เหมือนกัน ตัวละครทุกตัวถูกร้อยเรียงด้วยคำว่า “ครอบครัว” ภายใต้กรอบของความเป็นคนของจีน แม้พวกเขาจะเปิดรับวัฒนธรรมใหม่ แต่สุดท้ายแล้วความเป็นครอบครัวทั้งสายเลือดเดียวและต่างสายเลือดก็ได้ร้อยเรียงให้พวกเขามีส่วนร่วมในเรื่องราวไม่มากก็น้อย โดยไม่ได้ยัดเยียดวัฒนธรรมใดวัฒนธรรมหนึ่งมากจนเกินไป

ประเด็นของเรื่อง อย่างที่บอกว่าทุกตัวละครร้อยเรียงกันด้วยคำว่า “ครอบครัว” ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้หนังเรื่องนี้เข้าถึงคนได้ง่าย ไม่ว่าจะดีจะร้าย สุดท้ายเราก็ต้องเผชิญหน้า เรามองหาตัวตนและเป้าหมายในชีวิต แต่สุดท้ายแล้วเวลาที่เราค้นพบก็จะมาถึงถ้ามันเป็นของเราจริง ๆ การยอมรับความจริงและข้อผิดพลาดเพื่อเป็นคนใหม่ที่ดีกว่า การแก้แค้นที่ไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากทำลายล้างครอบครัว สังคมปิตาธิปไตยที่กดให้ลูกสาวต้องอยู่ในเงามืดและไม่ได้รับสิทธิที่เท่าเทียมภายในครอบครัวจนบางครั้งเราก็ต้องเปิดโอกาสให้ความเท่าเทียมในสังคมทุกเพศด้วย ไม่ว่าวัฒนธรรมโบราณจะว่ายังไง ยุคสมัยใหม่ เราไม่สามารถจะย่ำอยู่กับที่ได้ ทุกคนต้องก้าวไปข้างหน้าและหาทางใช้ชีวิตที่มีอยู่อันน้อยนิดเพื่อให้ได้ค้นพบจุดหมายที่แท้จริง ไม่ว่าจะในทางบวกหรือทางลบ การหันหน้าพูดจาคุยกันเพื่อช่วยกันหาทางแก้ปัญหา ความรักและสายใยของครอบครัวคือสิ่งที่ทรงพลังและมีอำนาจกว่าเวทมนตร์ใด ๆ

ด้านนักแสดงคงต้องชื่นชม ซือมู หลิว ที่สามารถลบทุกคำครหาและโอบรับตัวละครชาง-ชี ให้มีมิติและบทบาทมากกว่าเป็นฮีโร่คนหนึ่ง แม้หน้าตาเขาจะดูทำให้ใครหลายคนคิดว่าเขาไม่มีราศี แต่ในหนังจริงเขากลับทำให้เราได้เห็นความเจ็บปวด ความมีอารมณ์ขัน และเป็นกันเอง และความจริงจังที่ยกระดับตัวละครนี้ให้โดดเด่นและเท่มากจนใครหลายคนอาจจะขอสมัครเป็นติ่งได้เลย แต่ที่ดูท่าจะขโมยซีนกว่า คงเป็น เหลียง เฉาเหว่ย ในบทเหวินหวู่ ตัวละครที่มีความซับซ้อนที่เราอาจจะคิดว่าเขาเป็นตัวร้าย แต่จริง ๆ เป็นตัวละครที่น่าสงสารและหลงทางจนเลือกทำในสิ่งที่เลวร้าย อีกทั้งยังมีลูกเล่นในการแสดง เขาทั้งดุดัน อบอุ่น และมีเสน่ห์ โดยเฉพาะฉากโรแมนติกที่ลวดลายจากหนังจีนเก่า ๆ พี่แกถูกเอามาใช้ได้อย่างสวยงาม จริตความเป็นผู้นำและความสง่า และเอกลักษณ์ที่เห็นแล้วต้องชมเลยว่า ไม่มีใครจะเล่นบทของเขาแทนได้อีกแล้ว อควาฟิน่า แม้บทเธอจะไม่มีความสำคัญเท่ากับตัวละครหลัก แต่เธอก็คอยเป็นตัวแทนของคนดูไปสำรวจชีวิตของจอมยุทธ พร้อมมุกตลกแบบจังหวะซิทคอม แต่ก็ยังได้มีฉากแอ็คชั่นเป็นของตัวเอง เคมีความเป็นเพื่อนสนิทของเธอยังเข้ากันได้กับซือมู่หลิวอีกด้วย หรือแม้แต่ เหมิงเอ๋อ จาง งานแสดงแรกของเธอในบท เซียหลิง น้องสาวของชาง-ชีที่สามารถแสดงให้เห็นความเปราะบางและความแข็งแกร่งของผู้หญิง แต่ก็ยังเข้าถึงคนดูได้ด้วยซีนอารมณ์ที่ไม่ต้องทำอะไรมาก แต่ก็เป็นธรรมชาติ ส่วนมิเชล โหย่ว เธอแทบไม่ต้องทำอะไร ตัวละครของเธอก็เท่มาก ไม่แพ้เหลียง เฉาเหว่ยเลย แม้ว่าเธอจะเคยโผล่มาตอนท้ายในบทรับเชิญ Guardian of the Galaxy Vol.2 แต่เธอก็ทำให้ผมเชื่อว่าเธอคือคนละคนและไม่ติดใจอะไรเลย

ส่วนงานโปรดักชั่นจัดเต็มตั้งแต่ฉากต่อสู้จนไปถึงฉากโชว์ซีจีสุดอลังการ ฉากต่อสู้ที่ประหนึ่งดราก้อนบอลที่ผสมผสานการถ่ายทำแบบอเมริกันที่ให้ภาพลักษณ์ที่แปลกใหม่ ทั้งแสงสีและความเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ และมุมกล้องที่มีความประณีตและสวยงามในทุกอย่างราวกับเป็นธรรมชาติที่คอยหล่อหลอมพลังหยินหยางทุกนาทีที่ชม และที่ไม่พูดถึงคือเพลงประกอบที่มีทั้งเพลงบรรเลงที่ทำออกมาได้กลิ่นอายของหนังจีนแต่ก็เข้ากับจักรวาลมาร์เวล และเพลงประกอบมากมายที่ใส่เข้ามาเสริมบรรยากาศที่มีเยอะมาก แต่ก็เหมือนเอามาใช้ได้ไม่ตราตรึงสักเท่าไหร่ ทำให้มันเป็นเหมือนอีกมิติหนึ่งของจักรวาลมาร์เวล การตัดต่อที่ไหลลื่นและให้ภาพที่สวยงามในทุกฉาก ไม่มีฉากไหนที่รู้สึกว่าถ่ายออกมาได้ไม่สวยทีเดียว จนผมอดคาดหวังกับหนังเรื่องต่อไปที่จะมาต่อในจักรวาลแทบไม่ไหวแล้ว เพราะมาตรฐานเรื่องนี้ถือว่าอยู่ในระดับสูงพอควร

สรุป

Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings คงเป็นภาพยนตร์ที่แสดงให้เห็นแล้วว่ามาร์เวลจะหยิบฮีโร่โนเนมหรือมีชื่อคนไหนมาก็มีคนพร้อมสนับสนุนเพราะมันมอบความสดใหม่และเขย่าสูตรสำเร็จของมาร์เวลแบบที่เรารู้จักให้ไปในทิศทางใหม่ที่น่าชื่นชม การแสดงที่มากกว่าแค่ภาพลักษณ์ ตัวละครที่โดดเด่น ครบทุกรสชาติในแบบที่หนังซูเปอร์ฮีโร่ถนัด และยังสอดแทรกวัฒนธรรมของความเป็นเอเชี่ยน และกลิ่นอายของความเป็นครอบครัวที่ขับเคลื่อนภาพยนตร์ได้ตลอดทั้งเรื่องให้เราได้เดินทางตามตัวละคร และค้นพบความหมายของพลังอันมหัศจรรย์ที่จะส่งผลต่อจักรวาลมาร์เวลในอนาคต แม้ว่าซีจีจะแอบลอย และหนังไม่ค่อยจะขยี้ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครมากพอ ตัวละครบางตัวที่ออกน้อยเกินแม้ว่าจะสำคัญกับเรื่องราว แต่ก็เป็นหนังมาร์เวลที่คืนฟอร์มอีกครั้งหลังจากที่แบล็ควิโดว์ทำให้ผมผิดหวัง เพราะฉะนั้นถ้าหากมีโอกาสก็อยากให้ทุกคนไปดูกันในโรงนะครับ ถ้าไม่สะดวกก็ติดตามชมได้ในดิสนีย์พลัส เร็ว ๆ นี้ แนะนำอย่างยิ่งครับ

วันนี้ ในโรงภาพยนตร์

12 พฤศจิกายนนี้ ทาง ดิสนีย์พลัส

  • ติดตามผลงานของผม Thousand Mar ได้ ที่นี่
  • อยากอ่านรีวิวซีรีส์จักรวาล MCU ในเฟส 4 เพื่อความต่อเนื่องทั้งหมด สามารถกดอ่านในข้อความชื่อเรื่องข้างล่างนี่เลย

WANDAVISION, FALCON AND THE WINTER SODIER, LOKI, WHAT IF…?, BLACK WIDOW

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!