playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The SpongeBob Movie: Sponge on the Run ฟองน้ำซุ่มซ่ามตามหาเพื่อนแท้

สรุป

ภาพยนตร์อนิเมชั่นสามมิติที่คุ้มค่าตั้งแต่ต้นจนจบ เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี เนื้อเรื่องอบอุ่น งานภาพสวย และแฝงด้วยประเด็นดี ๆ เสียดายที่ติดสูตรสำเร็จของการเป็นหนังครอบครัวที่จบง่าย ๆ

Overall
8.5/10
8.5/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • งานภาพจัดเต็ม แสงสี และการเคลื่อนไหวแบบโมชั่น แคปเจอร์
  • ทีมพากย์เสียงทำหน้าที่ได้ดีเหมือนเดิม ดนตรีประกอบก็มาตรฐานดี ๆ
  • ประเด็นของเรื่องที่เด็กเข้าใจ ผู้ใหญ่ได้คิดตาม
  • ไม่มีพิษไม่มีภัยดูได้ทุกวัย
  • มุกตลกที่ไม่ทิ้งลายเซ็นเดิมของสพันจ์บ็อบ
  • ครบทุกอารมณ์ สุขเศร้าเหงาฮา

Cons

  • หนังสั้น จบตามสูตรสำเร็จดื้อ ๆ ไม่มีอะไรให้ลุ้นเลย

ADBRO

The SpongeBob Movie: Sponge on the Run หรือ สพันจ์บ็อบ ผจญภัยช่วยเพื่อนแท้ ภาพยนตร์ไลฟ์แอ็คชั่น 3 มิติที่ถูกสร้างขึ้นจากแอนิเมชั่นซีรีส์ค่าย นิคคาโลเดียน ในเครือไวอาคอมซีบีเอส สพันจ์บ็อบ สแควร์แพนส์ ของ สตีเฟน ฮิลเลนเบิร์ก กำกับและเขียนบทโดย ทิม ฮิลล์ ผู้กำกับเจ้าของงานดัง ๆ อย่าง การ์ฟิลด์ 2 ตอน อลเวงเจ้าชายบัลลังก์เหมียว กับ อัลวินกับสหายชิพมังค์ โดยนี่ถือเป็นภาพยนตร์สพันจ์บ็อบ สแควร์แพนส์ลำดับที่สาม ต่อจาก สพันจ์บ็อบ สแควร์แพ้นท์ เดอะมูฟวี่ (2004) และ สพันจ์บ็อบ ฮีโร่จากใต้สมุทร (2015) สร้างโดยเครือพาราเมาต์ อนิเมชั่น โดยถือเป็นภาพยนตร์ที่ต่างจากสองลำดับงานก่อน ตรงที่สไตล์งานจะเป็นไปในทาง CGI มากกว่าการใช้ภาพสองมิติแบบแอนิเมชั่นซีรีส์ ซึ่งจะใช้ลักษณะผสมกับการถ่ายทำแบบไลฟ์แอ็คชั่นซึ่งคล้ายคลึงกับ ลูนี่ย์ ทูนส์ รวมพลพรรคผจญภัยสุดโลก หนังโปรดในวัยเยาว์ของผมด้วย 

 The SpongeBob Movie: Sponge on the Run (2020) on IMDb

สตีเฟ่น ครูวิชาชีววิทยาทางทะเลสัญชาติอเมริกัน ที่นำความรู้และความชื่นชอบของตัวเองสร้างเรื่องราวของเหล่าสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลที่มีโลกและสังคมเป็นของตัวเอง พร้อมด้วยเรื่องราวสุดป่วนฮาที่เข้าถึงทุกเพศทุกวัยของเจ้า สพันจ์บ็อบ สแควร์แพนท์ ฟองน้ำสีเหลืองจอมซุ่มซ่ามที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองบิกินี่ บอททอมในฐานะลูกจ้างของร้านเบอร์เกอร์ครัสตี้แคร็บที่มิสเตอร์แคร็บ เจ้านายปูทะเลจอมขี้งกเป็นเจ้าของ และมีสควิดเวิร์ดเพื่อนร่วมงานนิสัยเสียคอยหาเรื่องและห้ามปรามเวลาเขาทำผิด และยังมีสควิดเวิร์ด ดาวทะเลสติเฟื่อง แซนดี้ กระรอกที่ดันอยู่ในทะเลได้โดยใช้ชุดช่วยหายใจ ที่ต้องมาปะทะกับ แพลงก์ตอนตัวเล็กแต่ใจเหี้ยมที่หวังจะเอาชนะพวกเขาด้วยแผนการชั่วร้ายในการขโมยสูตรเบอร์เกอร์ของร้านให้โลกใต้น้ำวุ่นวายกันถ้วนหน้า สำหรับในประเทศไทยนั้นมีฉายในช่องนิคเกลโลเดียนไทย และช่องเคเบิลทีวี รวมถึงเน็ตฟลิกซ์ที่ตอนนี้มีฉายซีซั่น 6 กับ 7 ซึ่งผมไม่ได้ดูทุกตอน แต่ยอมรับว่ามันดูสนุกและเพลินจริง ๆ ไม่แปลกว่าทำไมเฟรนไชน์นี้จึงโด่งดังมาก ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือเป็นการรำลึกให้กับการจากไปเมื่อปี 2018 ของ สตีเฟน ฮิลเลนเบิร์ก ผู้สร้างซีรีส์นี้ในวัย 57 ปี อีกด้วย

หลังจากพาเราไปตามหามงกุฏพระราชา ปราบวายร้ายเพื่อแย่งชิงสูตรอาหาร ไปในสองภาคก่อนหน้า ภาพยนตร์จะโฟกัสไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างสพันจ์บ็อบและแกรี่ หอยทากเพื่อนซี้และสัตว์เลี้ยงที่เป็นแค่ตัวประกอบเท่านั้น แต่ครั้งนี้จะเจาะลึกให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นของความแน่นแฟ้นและความสำคัญของทั้งคู่ผ่านการเดินทางตะลอนไปในโลกใต้ท้องทะเล จริง ๆ ภาพยนตร์ที่ควรจะได้ฉายในโรงภาพยนตร์ แต่อย่างที่ทราบกันว่าโควิดทำให้หนังต้องย้ายไปฉายในบริการสตรีมมิ่งแทน ซึ่งเน็ตฟลิกซ์ก็ใจป้ำซื้อลิขสิทธิ์มาฉายได้สำเร็จ และโชคดีที่เราได้เสียงไทยเจ้าประจำตั้งแต่เริ่มกลับมาอีกด้วย เรียกได้ว่าใครตามมาตั้งแต่เด็ก ต้องคุ้นเคยเสียงพากย์ไม่ต่างกับการดูโดราเอมอนแน่นอน เพราะงั้น เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา มาอ่านเรื่องย่อกันก่อนเลย!

“ในโลกใต้ทะเล มีสิ่งมีชีวิตใต้แนวปะการังที่อาศัยอยู่ในมหานครใต้บาดาลเล็ก ๆ ที่เรียกว่า บิกินี่ บอททอม ชีวิตที่แสนสงบและวุ่นวายของทุกคนถึงคราวปั่นป่วนเมื่อราชาโพไซดอนแห่งมหานครแอตแลนติสที่สาปสูญได้ร่วมมือกับ แพลงก์ตอน ศัตรูคู่แค้น พาตัว แกรี่ หอยทากเพื่อนรักของสพันจ์บ็อบ สแควร์แพนท์ไปยังที่มหานคร ท่ามกลางความหวาดกลัว และความไม่แน่นอน ได้ผลักดันให้ฟองน้ำสีเหลืองผู้เป็นมิตร ซุ่มซ่าม และฉลาด เพื่อค้นหาความหมายของความกล้า มิตรภาพ และสิ่งที่รักจึงเริ่มขึ้น พร้อมด้วยเพื่อนซี้อย่างแพททริคและเพื่อนใหม่อีกมากมายที่ออกสตาร์ทจากเมืองเล็ก ๆ สู่มหานครที่พวกเขาไม่เคยหยั่งรู้ อดีตที่ไม่เคยถูกบอกเล่า และความจริงบางอย่างที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใต้ทะเลไปตลอดกาล”

มิตรภาพและความกล้า คือ หัวใจหลักสำคัญของสพันจ์บ็อบ

เรื่องราวของภาคนี้ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน แบบเดียวกับที่อนิเมชั่นซีรีส์เป็น คือเล่าเรื่องชีวิตที่เรียบง่ายและวุ่นวายของเหล่าตัวละคร จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่ทำให้เรื่องเข้มข้นขึ้น สำหรับในภาคนี้เน้นย้ำถึงเรื่องความกล้าหาญของเหล่าตัวละคร และมิตรภาพที่เด่นชัดกว่าภาคก่อน ๆ จริงอยู่ที่แม้ว่าเรื่องจะเหมือนเปิดกว้างไปที่ปูมหลังของแกรี่ แต่มันยังครอบคลุมไปถึงตัวละครอื่น ๆ อย่างเพื่อนแท้ของสพันจ์บ็อบที่ออกมาให้เราได้รับรู้ว่าแท้จริงแล้ว เจ้าฟองน้ำสีเหลืองที่จริง ๆ ดูซุ่มซ่ามและน่ารำคาญในซีรีส์ มีหัวใจที่กล้าแกร่ง ไม่ย่อท้อ โอบอ้อมอารี ใจกว้างกับทุกคน และพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ แม้หนังจะไขว้เขวไปบ้างในบางช่วงเพราะต้องให้เวลากับมุกตลก และบทของแกรี่ที่ไม่โดดเด่นหรือพิเศษไปกว่าภาคก่อน ๆ มากนัก แต่สิ่งที่ผมชอบทุกครั้งที่ดูสพันจ์บ็อบมูฟวี่ คือการใส่มิติของตัวละครที่มากกว่าในซีรีส์ เพราะแม้แต่ตัวละครที่ดูจะร้าย แต่จริง ๆ ก็มีมุมดี ซึ่งเราอาจจะเห็นบ่อยเวลามีอนิเมชั่นถูกนำมาทำเป็นภาพยนตร์ พวกเขาก็จะมาร่วมมือกันเพื่อฝ่าฟันอุปสรรคไปอย่างกล้าหาญและปราศจากการเอาชนะ เรียกได้ว่าใครได้ดูต้องหลงรักตัวละครแทบทุกตัวในเรื่องแน่นอน

ล้อเลียนป๊อบคัลเจอร์ และมุกตลกที่ไม่ต้องรู้จักอะไรมากก็สนุกได้

Patrick (voiced by Bill Fagerbakke), SpongeBob (voiced by Tom Kenny), and Otto (voiced by Awkwafina) in THE SPONGEBOB MOVIE: SPONGE ON THE RUN from Paramount Animation and Nickelodeon Movies. Photo Credit: Paramount Animation.

แน่นอนว่าการ์ตูนเรื่องนี้ยังไม่ทิ้งลายเซ็นเดิม คือการล้อเลียนสื่อ ศิลปิน หรือสิ่งต่าง ๆ ที่คนทั่วไปรู้จักเหมือนอย่างสองภาคก่อน ๆ ที่ชอบหยิบมาจิกกัด มาเล่นเป็นมุกกันอย่างอบอุ่น ใครดูอะไรฮอลลีวู้ดมาเยอะได้ขำแน่ ๆ ยังไม่รวมกับความซุ่มซ่าม ติ๊งต๊องของแต่ละตัวละครที่ออกมาเฉิดฉายอย่างพอดิบพอดี มีหลายมุกที่เราคุ้นเคย มีบางมุกก็ทำให้เราตามไม่ทัน ช่วยไม่ได้มันเป็นมุกตลกแบบอเมริกัน ทั้งคำพูด คำเสียดสีต่าง ๆ พอแปลไทยมาแล้วก็จะงงหน่อย ๆ แต่ถามว่าถ้าไม่รู้จักเรื่องนี้มาดูจะรู้เรื่องมั้ย รู้เรื่องครับ เพราะเนื้อเรื่องมันง่ายมาก แบบปูมาให้พอดี แล้วเข้าเรื่องเลย ค่อนข้างที่จะเป็นสูตรสำเร็จของอนิเมชั่นเรื่องนี้อยู่แล้ว เราไม่จำเป็นต้องรู้จักตัวละครเพื่อมาดูเรื่องนี้ หรือดูภาคก่อนมาเพื่อให้เก็ตเรื่องในภาคนี้แน่นอน เพราะมันเล่าเรื่องแยกอยู่แล้ว แค่อยู่ในจักรวาลเดียวกันก็พอ ที่ต้องยกความดีความชอบก็คือทีมพากย์ต้นฉบับที่คุ้นเคย ที่ยังทำให้ตัวละครมีชีวิตชีวาไม่เปลี่ยนไปแม้เวลาจะผ่านมากว่าสิบปีแล้วก็ตาม

นักแสดงรับเชิญจัดเต็มโคตร ๆ เพลงก็เพราะอีกตะหาก

หากใครได้ดูตัวอย่างหรือตามข่าวมาบ้างจะรู้ว่านักแสดงที่มารับเชิญในเรื่องนี้แค่คนเดียวก็สะท้านวงการเรียบร้อย เฮีย เคอานู รีฟส์ ที่สลัดภาพเพชฌฆาตนักฆ่าจอมโหดจากจอหน์ วิค มาสวมบทเป็นต้นเสจที่มาเป็นเพื่อนกับสพันจ์บ็อบและเพื่อน ๆ ซึ่งเฮียแกเหมือนเป็นคนที่มาแทนผู้ชมในการนำทางตัวละครไม่ให้นอกลู่นอกทาง แต่จะทำสำเร็จมั้ยอันนี้ไปดูกันเอง นอกจากนี้ยังมีเซอร์ไพรส์อีกมากมายที่ใครดูหนังมาเป็นว้าว ทั้งนักพากย์ และนักแสดง ออกมาราวกับเป็นบิ๊กโปรเจกต์แห่งปีของภาพยนตร์ครอบครัวเลยทีเดียว แต่ผมพูดไม่ได้ อยากให้ไปดูเอง แต่รับรองว่าถ้าถึงฉากที่พวกเขาออกมาคุณจะต้องทึ่งบ้างแหละ ว่าพวกเขามาอยู่ในเรื่องนี้ได้ไง! นี่ยังไม่รวมกับเพลงประกอบสไตล์ดิสนีย์ที่ขนกันมาหลายสไตล์ตั้งแต่แร็พ ฮิปฮ็อป ยัน มิวสิคเคิล!

งานภาพจัดเต็ม กับประเด็นที่เห็นแล้วต้องนึกตาม

งานภาพเมื่อไม่อิงกับโลกความเป็นจริง จึงเนรมิตงานกราฟฟิกที่เคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติ และพัฒนากว่าในภาค 2015 เสียอีก เพราะภาพยนตร์ได้เสนอภาพที่สมจริง แต่ก็ยังไม่สูญเสียอัตลักษณ์เดิมไป พร้อมสีสันที่สวยสดใสดูแล้วสบายตาและปราศจากความหดหู่อย่างภาคก่อน ๆ ช่วงแรกอาจจะยังไม่ชิน แต่ดูไปเรื่อย ๆ เราก็เข้าใจท่วงท่าและการเคลื่อนไหวของตัวละครในเรื่องเอง นอกจากนี้ประเด็นยังแซะเรื่องทุนนิยม ความลุ่มหลงในความงาม ความเป็นผู้นำและเพื่อนที่ดี และความเชื่อมั่นในตัวเอง หรือเราจะสามารถมีผู้นำที่คู่ควรกับประชาชนหรือไม่อย่างไร เด็กได้ดูอาจจะได้ความสนุก แต่ผู้ใหญ่อาจจะได้อะไรมากกว่านั้นก็ได้ ในขณะเดียวกันหนังก็เหมือนหยิบเอาหนังสองภาคก่อนหน้าเขย่ารวมกันเป็นภาคนี้ โครงเรื่องจึงไม่ค่อยโดดเด่นเท่าไหร่ เพราะเรื่องของการเดินทางในเรื่องก็ไม่ต่างกับภาคแรก ในขณะที่ช่วงหลังที่มีตัวละครมากมาร่วมสมทบก็เหมือนเป็นภาคสอง แต่เบากว่าในแง่ของฉากแอ็คชั่น แต่มุกตลกถือว่ากลมกลืนกว่าภาคก่อนมาก แถมนักแสดงคนจริง ๆ ก็ไม่ทำให้อารมณ์ขาดตอนแถมมีซีนไม่กี่นาทีเลย

ควรชมหรือข้าม?

ม่ายยย ผมไม่ให้ข้าม เรื่องนี้คุณควรดูกันเป็นครอบครัว ดูกันเป็นหมู่คณะจะสนุกและเพลิดเพลินมาก ผมชอบหนังเรื่องนี้มาก มันให้ความสำคัญกับประเด็นที่เรียบง่าย และให้ความสำคัญกับตัวละครที่ใครหลายคนรักพร้อมขยายมุมมองมากขึ้น จนเสียดายที่หนังดันต้องลงมาฉายในบริการสตรีมมิ่ง ทั้งที่มันคู่ควรที่จะเป็นหนังในโรงภาพยนตร์แท้ ๆ มันไม่ใช่หนังอนิเมชั่นชิงรางวัล เนื้อเรื่องดีเด่ เพลงเพราะเวอร์ หรือภาพสวยยอดเยี่ยม แต่มันให้ความบันเทิง และความอบอุ่นกับคุณหลังดูจบได้แน่นอน คุณภาพมันดีเกินไป อาจดีกว่าภาคก่อนด้วยซ้ำ แต่เรื่องเนื้อหาก็ง่าย สูตรสำเร็จ ไม่มีอะไรน่าลุ้น แต่ความสำคัญที่ผมยกให้เป็นหนังที่ดี คือมันรู้ว่ามันเป็นอะไร แต่จะทำให้ออกมาดีในตัวมันอย่างไร ซึ่งผมขอยกนิ้วให้เพราะทำสำเร็จแล้ว และสามารถดูได้ที่เน็ตฟลิกซ์ มีเสียงภาษาไทย โดยทีมอนิเมชั่นซีรีส์ด้วย พิเศษมาก ๆ อย่าพลาดเด็ดขาดครับ!

ตัวอย่างล่าสุด The SpongeBob Movie: Sponge on the Run

สพันจ์บ็อบ ผจญภัยช่วยเพื่อนแท้ สามารถชมได้แล้ว วันนี้ที่ NETFLIX 

  • ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจในแวดวงเกม รีวิวภาพยนตร์ ซีรีส์ และ อนิเมะ ได้ ที่นี่
  • ติดตามผลงานของผม Thousand Mar ได้ ที่นี่
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!