รีวิว The Broken Hearts Gallery ฝากรักไว้…ในแกลเลอรี่ ศิลปะและการอกหัก (ไม่สปอยล์)
ฝากรักไว้...ในแกลเลอรี่
สรุป
ภาพยนตร์รักอกไม่หัก ที่ครบเครื่องด้วยเนื้อเรื่องไม่หวือหวาแต่ใส่ใจในรายละเอียด ทั้งตลกทั้งน้ำตาซึม ช่วงแรกตะกุกตะกักหน่อย แต่หลังจากนั้นเพลินจนจบแล้วครับ
Overall
8/10User Review
( vote)Pros
- นักแสดงทำหน้าที่ได้ดีมีเสน่ห์
- บทหนังผ่านการศึกษามาอย่างดี มีรายละเอียดในทุกฉาก ปมตัวละครที่สมเหตุสมผล
- ให้ความสำคัญกับความหลากหลายในสังคม
- บรรยากาศสวย และเพลงประกอบเข้ากันดี
- มุกตลกและน้ำตาซึมเป็นระยะ ๆ อิ่มอกอิ่มใจ และฟีลกู๊ดสุด ๆ
Cons
- ช่วงแรกของหนังมีการตัดต่อที่ไม่ค่อยดีมากนัก
- ช่วงท้ายเหมือนรวบรัดเรื่องความสัมพันธ์ตัวละครไวไป
The Broken Hearts Gallery หรือ ฝากรักไว้…ในแกลเลอรี่ ภาพยนตร์รักโรแมนติกคอเมดี้ กำกับและเขียนบทครั้งแรกของ นาตาลี ครินสกี และเซเลน่า โกเมซ รับหน้าที่เป็น Executive Producer นำแสดงนำโดย เจอรัลดีน วิสวานาธาน, เดเคอร์ มอนต์โกเมอรี่, Utkarsh Ambudkar, มอลลี่ กอร์ดอน อาร์ทูโร แคสโตร เบอร์นาเดต ปีเตอรส์ และ ฟิลลิปา ซู โซนี่ พิคเจอร์ รับหน้าที่สร้างและจัดจำหน่าย ภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของความรักที่มักมาพร้อมการอกหัก การปล่อยวาง และการยอมรับความเจ็บปวดของตัวเอง ซึ่งมันน่าสนใจเพราะที่อเมริกามีแกเลอรี่อกหักที่ให้คนเอาสิ่งของมาเก็บไว้จริง ๆ ที่ LOS ANGELES!
เรียกได้ว่าเป็นหนังรักที่เป็นม้ามืดของปีนี้เลยสำหรับ The Broken Hearts Gallery ที่ออกฉายไปตั้งแต่เดือนกันยายน แต่โซนี่พิคเจอร์ไทย เพิ่งจะเอาเข้าฉายในโรงภาพยนตร์มาสด ๆ ร้อน ๆ และได้รับคำชื่นชมจากคนที่ได้ดูในรอบสื่อ ซึ่งผมยอมรับว่านี่เป็นหนังที่ผมคาดหวังมาก เพราะนอกจากจะได้เซลีน่า โกเมซ นักร้องสาวชาวอเมริกันเจ้าของเพลงดังอย่าง Ice Cream ที่ร้องร่วมกับวงแบล็กพิงก์มาร่วมเป็นโปรดิวเซอร์แล้ว ยังมีเรื่องของเรื่องราวรวมถึงนักแสดงที่เราอาจจะคุ้นหน้าคุ้นตากันอย่าง เดเคอร์ มอนต์โกเมอรี่ ที่เคยฝากบทบาทการแสดง บิลลี่ หนุ่มดาวยั่วให้สาว ๆ หัวใจพองตัวและร้ายสุดขั้วโลกจากซีรีส์ สเตรนเจอร์ ธิงส์ ซีซั่น 3 คราวนี้เขามารับบท นิค ตัวละครหลักเป็นครั้งแรกอีกด้วย แต่นอกจากนั้นผมไม่รู้จักใครเลย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะส่วนตัวแล้วภาพยนตร์ที่คนไม่ค่อยสนใจนักแสดงดัง มักจะให้ผลออกมาเกินคาดเสมอ แต่เรื่องนี้จะเป็นแบบนั้นได้หรือไม่ มาฟังเรื่องย่อกันเลยครับ
“ลูซี่ กัลลิเวอร์ ผู้ช่วยมัณฑนากรสาวในนิวยอร์กที่ชอบเก็บของที่ระลึกจากแฟนที่เคยคบจนรกห้อง และเป็นที่เอือมระอาของเพื่อน ๆ กลับต้องมีชีวิตพลิกผันในชั่วค่ำคืน เมื่อเธอถูกเท ทั้งด้านการงานและความรักโดยแฟนเก่าอย่าง แม็กซ์ จนได้ไปพบกับ นิค ชายหนุ่มไร้ความรู้สึกผู้กำลังทำธุรกิจเปิดโรงแรมแต่ประสบปัญหาบางอย่าง แต่ลูซี่กลับมองเห็นโอกาสที่จะให้คนที่อกหักทั่วทุกมุมเมือง เอาของที่ระลึกจากความรักเก่า ๆ มาไว้ที่โรงแรม โดยตั้งเป็น แกเลอรี่คนอกหัก สำหรับคนที่อยากมูฟออน แต่ไม่กล้าทิ้งของคนรักเก่า ได้เอามาจัดแสดงเป็นนิทรรศการ ในระหว่างที่ธุรกิจกำลังไปได้สวย ทั้งคู่ก็ดันปาร์คจอยกันซะงั้น แล้วแบบนี้แกเลอรี่คนอกหัก จะกลายเป็นแกเลอรี่คนรักกันหรือไม่ ลูซี่จะเข้าใจถึงความเจ็บปวดของตัวเอง เพื่อเดินหน้าและมีความสุขหลุดพ้นจากความสัมพันธ์แย่ ๆ แล้วเริ่มต้นใหม่ได้อย่างไร”
ย่อยง่าย แต่ ลึกซึ้ง
ภาพยนตร์ถ่ายทอดเรื่องราวความรักและการอกหักได้อย่างคมคาย มีคำพูดหรืออะไรหลายอย่าง ที่ตัวละครพูดออกมาแล้วสามารถเอามาใช้ได้ในชีวิตจริง แม้ว่าจะบทหนังจะออกแนวเรียบง่ายประสาหนังรักรอมคอมที่มีพล็อตเรื่อย ๆ เล่าเหตุการณ์นึงไปเหตุการณ์นึง แต่ในระหว่างการเดินทางของเรื่องราว นอกจากความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครแล้ว หนังยังให้พื้นที่กับสิ่งของเก่าต่าง ๆ ได้มีบทบาทแทนความทรงจำและความเจ็บปวดของคนที่เคยรักกันผ่านตัวละครหลักได้เป็นอย่างดีซึ่งก็ถ่ายทอดมาในรูปแบบโอเวอร์แอ็คติ้ง ร้องไห้ยังไงให้ดูตลก โวยวายยังไงให้ดูฮา เมาท์กันยังไงให้ดูขำ ผ่านตัวละครของนิคและลูซี่ที่ได้มาเจอกันท่ามกลางวันแย่ ๆ ของชีวิต ได้ช่วยกันทำงาน ได้เรียนรู้ตัวตนซึ่งกันและกัน ได้มูฟออนไปด้วยกัน ซึ่งเป็นช่วงที่เราได้อมยิ้มไปพร้อม ๆ กับอยากรู้ว่าเรื่องจะลงเอยอย่างไร แถมยังค่อย ๆ เห็นตัวละครเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองไปทีละก้าว
ทว่าในช่วงหลังของเรื่อง หนังกลับจริงจังและชัดเจนว่าไม่ได้อยากเป็นแค่ความบันเทิง แต่ยังให้ความรู้สึกโอบรับผู้ชมทุกคนที่อาจจะเคยอกหักหรือไม่เคยอกหักได้เรียนรู้และเข้าใจไปพร้อมกับตัวละคร โดยไม่ทิ้งความตลกให้เราดูได้อย่างเพลิน ๆ และพัฒนาไปพร้อมกับตัวละครที่ตอนแรกอาจจะเป็นคนแบบหนึ่ง แต่ตอนหลังจะกลายเป็นคนแบบหนึ่ง ซึ่งมันดีมาก ๆ เพราะมันทำให้เราเข้าใจเจตนาและปมของตัวละครที่ขับเคลื่อนไปด้วย เพราะฉะนั้นหากคิดว่าจะเป็นหนังรักฮา ๆ ธรรมดาอย่างในตัวอย่าง ผมบอกเลยว่าคุณคิดผิด เพราะดูจบแล้ว คุณอาจจะรู้วิธีหาทางที่จะมีความสุขจากการอกหักได้แน่ ๆ
ตัวละครมีเสน่ห์ และฉายแสงออกมาอย่างถ้วนหน้า
ถ้าถามว่าหนังรักโรแมนติกเรื่องไหนที่ตัวละครอื่นเด่นพอ ๆ กับตัวเอก ก็คงเป็นเรื่องนี้ เพราะลูซี่ก็มีบุคลิกแบบผู้หญิงทั่ว ๆ ไปที่เราสามารถพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน นิคก็อาจจะเป็นผู้ชายแบบเพื่อนที่มีปัญหาไม่กล้าสุงสิงกับใคร แต่พอเขาได้ทำสิ่งที่เขาชอบ พวกเขาจะมีเสน่ห์มาก ๆ เช่นเดียวกับตัวละครแวดล้อมรอบ ๆ ช่วยสร้างความสนุกให้กับเรื่องมากขึ้น เช่น นาดีน ความสัมพันธ์แบบสนุกสนานไม่ผูกมัด แถมเป็นเลสเบี้ยนอีกด้วย ซึ่งเรามักจะได้เห็นตัวละครแนวนี้มักเป็นผู้ชาย แต่ไม่ครับ เธอมีความสัมพันธ์รักอย่างอิสระแบบเพลย์เกิลส์ จะคบใครรักใครเลิกกันก็ทำได้เหมือนเพศชาย น้ำหนัก LGBT ในส่วนนี้ถือเป็นเรื่องขบขันแบบพอดิบพอดีไม่ยัดเยียดเกินไป จนทำลายสาสน์ของหนัง ส่วน อะแมนด้า คือ ทนายความสาวที่คบกับแฟนแต่ก็ยังเกรงใจเพื่อน เพราะตัวเองก็ไม่ค่อยแน่ใจในความสัมพันธ์ แต่เป็นห่วงเพื่อนสุด ๆ แม้จะชอบแซะ ชอบแซว ทั้งคู่ก็คอยเป็นกำลังสำคัญที่อยู่กับลูซี่และสนับสนุนเวลาเพื่อนอกหัก และเมาท์กันแบบผู้หญิงถึงผู้หญิงที่เราดูแล้วเหมือนกำลังดูเพื่อนหรือผู้หญิงใกล้ตัวเล่าเรื่องชีวิตรักให้เราฟัง เช่นเดียวกับ มาร์คลอสที่คอยเป็นพ่อสื่อให้กับนิค ด้วยมุกตลกขำ ๆ ซึ่งมาช่วยทำให้หนังไม่จืดจนเกินไป ทุกตัวละครมีฉากให้เราสะดุดหูสะดุดตาตลอด ด้วยคำพูดที่จิกกันและแสบสัน
บรรยากาศอบอุ่น ละมุนละไมหัวใจตลอดทั้งเรื่อง
หนังเปิดโอกาสให้นิวยอร์กกลายเป็นมหานครแห่งความโรแมนติก ด้วยบรรยากาศตอนกลางคืนที่เต็มไปด้วยแสงสีและหลอดไฟที่เราได้เห็นพระนางอยู่ด้วยกัน หรือผู้คนที่พลุกพล่านในบนถนนแต่พอพระนางอยู่ด้วยกันมันมีความสนุกและความน่ารักอยู่ ด้วยการต่อบทสนทนาที่ไหลลื่นและชวนให้ขบคิดตลอดเวลา ทำให้มันไม่ใช่การจีบแบบทั่ว ๆ ไป แต่มันคือการค่อย ๆ เปิดใจของอีกฝ่ายผ่านคำพูด ไม่ใช่การเร่งรัดในความสัมพันธ์หรือใช้คำพูดหวานเลี่ยน รู้สึกถึงมนต์ขลังและความสัมพันธ์แนบแน่นระหว่างตัวละครที่มันค่อย ๆ ก่อขึ้นเรื่อย ๆ ต้องยกความดีความชอบให้ เจอรัลดีน วิสวานาธาน กับ เดเคอร์ มอนต์โกเมอรี่ ที่ถ่ายทอดออกมาให้เชื่อได้ แถมยังมีเพลงจากศิลปินดังที่ยกโขยงมาเปิดให้เราฟังให้เข้ากับฉากในเรื่องอยู่หลายฉาก ไม่ว่าจะทั้งสนุกสนาน เศร้าสร้อย สับสนต่างก็มาช่วยให้เรื่อง เช่นเดียวกับมุมกล้องของเรื่องที่ไม่ได้แปลกใหม่อะไรแต่ถ่ายให้เห็นมุมเมือง มุมกว้างได้สวย แต่ในเรื่องการตัดต่อมันยังมีปัญหาในช่วงแรก ๆ ที่มันค่อนข้างตะกุกตะกักรวบรัดไปบ้าง แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรอีก เพราะเหมือนหนังรู้แล้วว่าหนังอยากจะเล่าอะไรและไปยังไงต่อ แต่ก็ยังรู้สึกว่าหนังมันง่ายไปหน่อย เพราะพระนางอยู่ด้วยกันไม่นานเท่าไหร่ก็บอกรักกันแล้ว อาจเป็นสไตล์คนอเมริกันรักไวหรือผมไม่ชินกับการที่คนรักกันง่าย ๆ แบบนี้…
ประเด็นสังคมความสัมพันธ์ที่ทันยุคทันสมัย
นอกจากความรักของคนในเรื่อง หนังยังแซะประเด็นสังคมโดยเฉพาะเรื่องสังคมปิตาธิปไตย (ผู้ชายเป็นใหญ่) ซึ่งผ่านความสัมพันธ์ตัวละคร แม็กซ์ (Utkarsh Ambudkar) แฟนเก่าของลูซี่ ที่ตอนคบกับลูซี่เขายึดลูซี่เป็นเหมือนเครื่องมือเพื่อความสำเร็จทางการงาน ทั้งที่เธอมีความสามารถมากกว่าเขา แต่กลับไม่เคยชื่นชมเธอ ไม่เห็นค่าเธอ แถมยังทิ้งเธอไปหาผู้หญิงคนใหม่ พร้อมกับหน้าที่การงาน ทิ้งให้เธอเจ็บปวดกับรักที่มันเป็นพิษ และอาจจะสายไปด้วยหากเขาเลือกที่จะกลับมาหาลูซี่ ซึ่งมันสะท้อนให้เห็นว่า สังคมยังไม่เปิดโอกาสให้กับผู้หญิงได้ฉายแสงในการทำงานมากหนัก แม้ว่าผู้หญิงจะมีฝีมือความสามารถมากแค่ไหน แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังมองข้าม ยังกดพวกเขาไว้ และในความสัมพันธ์ก็เช่นกันจนพังไม่เป็นท่า หรือแม้แต่คำพูดของตัวละครตัวหนึ่งในเรื่องที่กล้าวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของลูซี่ที่ยอมแฟนไปซะทุกเรื่อง จนไม่กล้าทำอะไรด้วยตัวเอง การร่วมมือร่วมใจฝ่าอุปสรรคของตัวละครหญิงที่โดดเด่น แต่ก็ไม่กดขี่หรือแย่งชิงบทบาทกับผู้ชายของเรื่อง เรียกได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ให้พื้นที่และบทบาทความเท่าเทียมกับทุกคน ทุกชนชาติ และทุกสีผิวเลยทีเดียว
การอกหักเป็นเรื่องที่ทำให้ทุกคนเท่าเทียม ไม่ว่าจะเพศไหน เมื่อทุกคนอกหัก ทุกคนก็ต้องหาทางฝ่าฟันเหมือนกันหมด เพื่อที่จะกลายเป็นคนที่เข้มแข็งในวันข้างหน้า ซึ่งก็คือการเก็บของไว้เตือนใจในที่ ๆ หนึ่งโดยไม่ให้มันกลับมาทำลายเรา ซึ่งในเรื่องแทนสิ่งของเหล่านั้นเป็นศิลปะ สิ่งที่คนเก็บมันเอาไว้ อาจจะไม่มีค่ามากมายอะไร แต่มันก็มีความหมายทางใจกับเราในฐานะความทรงจำที่เราอาจไม่อยากจะลืม เหมือนกับที่ลูซี่เลือกที่จะเก็บของของคนรักเก่าไว้ และเปิดแกเลอรี่ให้คนเอาของมาเก็บไว้เพื่อปลดปล่อยตัวเองจากความเจ็บปวด นอกจากนี้ยังให้สัจธรรมว่า ถ้าเราอยู่ในความสัมพันธ์ใด ๆ ความซื่อสัตย์และการรับฟังคือสิ่งสำคัญที่สุด ไม่เช่นนั้นแล้วมันจะกลายเป็นการคิดเข้าข้างตัวเองหรือหนักถึงขั้นหลอกว่ามันยังดี ซึ่งผลที่ตามมาคือ ความเจ็บปวดและการพยายามลบความทรงจำรักเก่า ๆ ออกไปอย่างยากลำบาก ซึ่งในส่วนนี้ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้ชวนน้ำตาซึมมาก ๆ
ควรชมหรือข้าม?
เป็นโปรแกรมหนังเด่นและม้ามืดแห่งปีเลยทีเดียวสำหรับหนังเรื่องนี้ ถ้าคุณคาดหวังหนังรักฟีลกู๊ดคุณจะได้ ถ้าคุณคาดหวังมากกว่าความตลกและมีสาระคุณก็จะได้เหมือนกัน เพราะหนังเรื่องนี้พร้อมจะมอบความหวังและดามใจให้กับคนที่กำลังสิ้นหวังในความรักหรืออกหัก มันอาจจะไม่แย่ขนาดนั้น ด้วยนักแสดงที่เริ่มแรกอาจไม่หล่อสวย แต่ตัวละครมีเสน่ห์ บทที่เรียบง่ายแต่ผ่านการศึกษามาเป็นอย่างดี บรรยากาศและดนตรีเพราะ ๆ บทพูดที่ราวกับมานั่งในใจคนดู มันก็โคตรคุ้มแล้วกับค่าตั๋ว ผมดีใจมากที่เซลีน่า โกเมซเลือกมาเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับหนังเรื่องนี้ ถ้าเทียบกับหนังไทย มันก็คือหนังค่ายดังอย่าง GDH ที่ไม่เน้นตลกโปกฮา แต่ยังให้พลังบวกกับคนที่ได้ดูจบด้วย เรียกว่าหาได้ยากเลยทีเดียวกับหนังที่ละมุนละไมหัวใจขนาดนี้ เพราะงั้นอย่าช้า โรงใกล้บ้านอยู่ไหน ผมแนะนำให้ไปดู The Broken Hearts Gallery อย่างยิ่งครับ
ตัวอย่างล่าสุด The Broken Hearts Gallery
ฝากรักไว้…ในแกลเลอรี่ วันนี้ในโรงภาพยนตร์