playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Last Letter from Your Lover หนังรักอบอุ่นหัวใจแต่ไร้อารมณ์ (ไม่สปอยล์)

สรุป

หนังรักสองช่วงเวลาที่ไม่มีอะไรแปลกใหม่ แม้ว่านักแสดง งานภาพและเรื่องราวบางส่วนจะน่าสนใจ แต่ด้วยการนำเสนอที่ขาดอารมณ์ร่วม ตัวละครที่ไม่มีมิติ และจังหวะของหนังที่ไม่เป็นธรรมชาติ มันเลยกลายเป็นหนังเน็ตฟลิกซ์ที่เปิดดูได้ผ่าน ๆ ให้อบอุ่นหัวใจกับบทสรุปแค่นั้น

Overall
6.5/10
6.5/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • เรื่องราวของความรักในอดีตที่ดราม่าชวนให้ติดตาม
  • นักแสดงที่มีคุณภาพชั้นนำจากประเทศอังกฤษ
  • งานภาพและโปรดักชั่นที่ทำออกมาได้ดี
  • การตัดต่อสลับระหว่างสองช่วงเวลาทำออกมากลมกล่อม
  • มีฉากซึ้งพอหอมปากหอมคอพอให้อินได้
  • เพลงประกอบที่เข้ากับบรรยากาศของเรื่อง

Cons

  • การนำเสนอของหนังค่อนข้างธรรมดาและตกยุค
  • ขาดอารมณ์ร่วมด้วยมิติตัวละครที่แบนราบ
  • ช่วงเรื่องราวในปัจจุบันไม่น่าสนใจหรือดึงดูด
  • จังหวะของหนังไม่เป็นธรรมชาติเข้ากับสิ่งที่หนังปูมา ทำให้บทสรุปตอนท้ายไม่ดีพอ

ADBRO

The Last Letter from Your Lover (จดหมายรักจากอดีต) ภาพยนตร์โรแมนติกดราม่าสร้างจากนิยายขายดีปี 2012 ในชื่อเดียวกันของ โจโจ้ โมเยส ผู้ที่เคยฝากผลงานนิยาย ME BEFORE YOU มี บีฟอร์ ยู จนครองใจนักอ่านทั่วโลก และถูกสร้างเป็นภาพยนตร์กวาดรายได้มากมาย โดยหนังเรื่องนี้ตั้งใจใจฉายในโรงแต่เพราะสถานการณ์โควิด เลยโยกมาฉายทางเน็ตฟลิกซ์ นำแสดงโดย เฟลิซิตี โจนส์, เชลีน วูดลีย์, คัลลัม เทอร์เนอร์, นาภา ริซวาน และ โจ อัลวิน ว่าด้วย นักข่าวสาวที่คอยสืบปริศนาของจดหมายรักปี 1965 จนเข้าไปพัวพันความสัมพันธ์สวาทอันขื่นขมที่มีจุดจบรออยู่ข้างหน้า โดยหนังได้รับคำวิจารณ์ทั้งแง่บวกและลบ แต่สำหรับผู้เขียนมันจะเป็นยังไงกันนะ

 The Last Letter from Your Lover (2021) on IMDb

ตัวอย่าง The Last Letter from Your Lover

รีวิว The Last Letter from Your Lover

ในปี 2019 แอลลี่ ฮาเวิร์ธ นักข่าวสาวชาวอังกฤษมากฝีมือได้รับมอบหมายให้เขียนบทความเพื่อสดุดีแก่บรรณาธิการที่ล่วงลับ ในขณะที่ชีวิตรักของเธอมีแต่ความผิดหวังจนจมดิ่งกับความล้มเหลว เธอก็ได้พบกับรอรี่ ชายหนุ่มเพื่อนร่วมงานจากแผนกดูแลเอกสารที่ทำให้เธอไม่ถูกชะตาในตอนแรกก จนกระทั่งทุกอย่างเปลี่ยนไป เมื่อเขาพาเธอไปค้นพบจดหมายรักจากชายปริศนาที่ทำให้เธอหมกมุ่นอยากค้นพบความจริงและบทสรุปของความสัมพันธ์จนมันค่อย ๆ บ่อนทำลายปัจจุบันของเธอกับรอรี่ เธอต้องเลือกว่าจะปล่อยวางอดีตหรือเดินหน้าเพื่อหาความจริง ในขณะเดียวกันปี 1965 ยุครุ่งเรืองของอุตสาหกรรม เจนนิเฟอร์ สเตอร์ริ่งผู้ประสบอุบัติเหตุจนเสียความทรงจำ เริ่มรู้สึกถึงบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับสามีหนุ่มอย่าง ลอว์เรนซ์ จนทุกอย่างค่อย ๆ เชื่อมโยงกับจดหมายรักฉบับนึงที่ได้พาเธอย้อนอดีตไปสู่ความสัมพันธ์ต้องห้ามระหว่างเธอกับแอนโธนี่ โอแฮร์ นักข่าวหนุ่มที่มอบการผจญภัยและชีวิตใหม่ที่เธอไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน และนั่นจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอไปตลอดกาล

การเล่าเรื่องนี้จะเป็นการเล่าสลับไปมาระหว่างสองเส้นเวลานั่นคือ 2019 ผ่านตัวละครแอลลี่ที่พยายามจะสืบความจริงเกี่ยวกับอดีต กับ 1965 ผ่านตัวละครเจนนิเฟอร์ที่พยายามจะจำอดีตของตัวเอง ที่ทั้งสองคนต่างมีเรื่องราวเป็นของตัวเอง โดยเรื่องราวจะถูกร้อยเรียงแบบเรียบง่ายและมีแรงจูงใจทั้งฝ่ายของคนในปัจจุบันกับในอดีต แต่ปัญหาของมันคือทุกอย่างง่ายไปหมด มิติของตัวละครเบาหวิว จริงอยู่ที่หนังพยายามจะบอกเราว่าเพราะตัวละครเป็นแบบนี้ แต่มันไม่มีการปูหรือเจาะลึกเลยสักนิดเหมือนกับอยากเห็นคนรักกันเหรอ ดูไปสิไม่ต้องถามอย่างอื่น เลยทำให้เราไม่ค่อยเข้าถึงตัวละครเท่าไหร่ ทั้งที่พล็อตมันก็เอื้อให้น่าสนใจมากพอแต่พอถ่ายทอดออกมามันกลับธรรมดาไม่มีชั้นเชิงโดยเฉพาะจังหวะตัดสลับซึ่งก็ถือว่าใช้ได้ไม่สับสน มีหลายช่วงที่ทำออกมาทับซ้อนระหว่างอดีตอย่างดี แต่เพราะสองเรื่องราวมันก็เหมือนกับหนังคนละเรื่อง เรื่องนึงเป็นรักโรแมนติก อีกเรื่องเป็นรักดราม่า มันจึงไม่ค่อยส่งผลอะไรกับตัวละครมากนัก นอกจากการตามหาให้รู้ว่าความสัมพันธ์ในอดีตมันจบลงยังไง แถมพล็อตปัจจุบันก็ดูไม่น่าสนใจเท่าอดีตด้วย พล็อตปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 30 พล็อตอดีตมีไปกว่า 70 เปอร์เซนต์ แถมประเด็นของปัจจุบันก็ธรรมดามาก ธรรมดาแบบที่คนดูหนังรักมาหลายเรื่องต้องเดาออกว่ามันจะจบยังไง แต่ในอดีต หนังพยายามจะหลอกเราว่ามันจบแบบนี้นะ แต่ก็หักไปอีกทางนึงแบบที่เราคาดไม่ถึงเหมือนกัน แต่สุดท้ายไม่ว่าชีวิตตัวละครจะดราม่ายังไง มันก็จบลงแบบแฮปปี้เอนดิ้งง่าย ๆ ว่า เราสามารถเริ่มต้นประวัติศาสตร์ความรักได้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหน ตราบที่มีชีวิตอยู่ ซึ่งมันก็ดูดี แต่พอหนังมันขาดน้ำหนักก็กลายเป็นเฉย ๆ ไปเลย

หนังเรื่องนี้มีทุกอย่างตามขบถหนังจดหมายรัก ตัวเอกจากปัจจุบันค้นพบจดหมายอดีตโยงไปโยงมาเข้ากับตัวเอง เป็นสูตรสำเร็จที่ให้อารมณ์ย้อนไปในวันวานหนังปี 2000 ก็ได้ จะว่าขี้เกียจเขียนพล็อตใหม่ก็ได้เหมือนกัน เพราะด้วยความที่พล็อตแบบนี้มันมีเกลื่อนแล้ว การนำเสนอจึงเป็นอะไรที่สำคัญ แต่หนังก็ทำให้มันผ่าน ๆ ไม่ว่าจะเป็นแอลลี่ที่ตัวละครของเธอไม่น่าสนใจ นอกจากการยุ่งเรื่องของคนอื่น ดูไม่มีจรรยาบรรณในการเป็นนักข่าว จนไม่สนใจคนรอบข้าง เพียงเพราะอกหักบ่อยจนไม่อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ หนังก็จะเล่าว่าแอลลี่เศร้า เจอจดหมาย อ่านจดหมาย สลับกับเรื่องราวของความรักที่ไม่รู้ว่าไปรักกันตอนไหน แต่หนังก็พาเราไปถึงจุดแยกทางความสัมพันธ์ที่พอแยกก็ทำเอาดื้อ ๆ  ไม่รู้สึกอินไปกับความรักของเธอกับรอรี่เลย ในขณะที่เรื่องของเจนนิเฟอร์กลับเป็นส่วนที่ดีที่สุดก็ยังมีปัญหา ตรงที่เราไม่รู้แรงจูงใจมากพอที่ทำให้เธออยากใช้ชีวิตคบชู้ เพียงเพราะถูกชะตา เบื่อสามีที่ไม่ไยดีเธอหรืออะไรก็ตาม หนังใช้บทสนทนาพูดผ่าน ๆ ปากตัวละคร แล้วก็ข้ามไปเป็นช่วงเวลาที่เธอกับชู้รักไฟสปาร์คและเขียนจดหมายพร่ำหากัน มันก็ดูโรแมนติกดี แต่เวลาไม่กี่เดือนที่เธอยังไม่หย่าสามีกับเธอด้วยซ้ำ ก็ทำให้รู้สึกกระอั่กกระอ่วนเล็ก ๆจริงอยู่ที่สามีไม่สนใจอะไรนอกจากงาน แต่เธอควรจะหย่า แต่เธอไม่กล้าทิ้งชีวิตอันสุขสบายของตัวเอง มันเลยกลายเป็นโศกนาฏกรรมในวัยของสาว ที่มันก็ดูจะทำให้เราเศร้าซึ้ง แต่พอมันขาดมิติตัวละครที่ต่างแบนราบไม่มีความลึก ก็กลายเป็นว่า อ๋อ อ๋อ อ๋อ มันเป็นแบบนี้ เดี๋ยวตัวละครก็ต้องทำแบบนี้ ขาดอารมณ์ร่วมเหมือนตัวละครมันถูกยกมาจากหนังสือไม่ได้ตีความให้มันเป็นมนุษย์จริง ๆ ซึ่งมันตกยุคแล้ว

ประเด็นของเรื่องก็ซ้ำซากแต่ก็เข้ากับตัวหนังอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกปล่อยวางจากอดีตเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย การเขียนประวัติศาสตร์รักกันใหม่อีกครั้ง การรักที่จะใช้ชีวิตของตัวเอง การตัดสินใจระหว่างความรักที่ตัวเองต้องการหรือปัจจัยอื่น ๆ ผ่านตัวละครสองยุค แต่ที่บอกที่เด่นสุดคือ อดีต ปัจจุบันเหมือนมาปิดเรื่องให้มันสวย ๆ แค่นั้น ซึ่งถ้าหนังมันทำดีกว่านี้ เราจะอินมากกับหนังว่า เออ ตัวละครเหล่านี้เขาเลือกจะมูฟออนเดินไปข้างหน้าแล้วนะ พวกเขารักกันได้แล้วนะ อะไรประมาณนี้ ตอนท้ายมันทำได้แหละ แต่มันก็ไม่พอกับองค์ประกอบอันเรียบเฉยที่หนังส่งมามันเลยทำให้ประเด็นของหนังแผ่วเบาลงอย่างเห็นได้ชัด มันเลยเป็นหนังรักที่พอดูผ่าน ๆ ได้แต่ไม่มีอะไรน่าจดจำเท่าไหร่ เพราะดูจบแล้วเราอาจจะรู้สึกว่า ก็ตัวละครมันเป็นแบบนี้ เราจะไปทำอะไรได้ แทนที่เราจะรู้สึกว่า เราก็สามารถเอาคำพูด บทสนทนาในหนังไปใช้ดำเนินชีวิต กลายเป็นมันเป็นคำพูดพูดผ่าน ๆ ในจังหวะที่หนังกำหนดไว้แล้ว มันทำให้เรารู้สึกเหมือนดูฉากแบบนี้มาบ่อยแล้วในหนังรักหลายเรื่อง ฉากบทสรุปปิดปมก็เหมือนกัน

เรื่องงานภาพถือว่าสวยและเรียบง่าย ตัดสลับได้ดี โปรดักชั่นที่ดูดีระหว่างยุควินเทจ 60 กับยุคหม่นหมองในปี 2019 และเพลงประกอบที่เข้ากับบรรยากาศ ดังนั้นนักแสดงจึงถือว่าเป็นส่วนที่ดีที่สุดของเรื่องเลย โดยเฉพาะ เชลีน วูดลีย์ ที่แม้มิติของตัวละครเจนนิเฟอร์จะบางเฉียบ แต่เธอก็แสดงออกมาได้อย่างสุดความสามารถทั้งมุมสดใส มุมสง่า และมุมดราม่าน้ำตาไหลในช่วงท้ายที่สงสารจับใจ ไหนจะเสียงตอนอ่านจดหมายที่มันมีมนต์ขลัง เช่นเดียวกับ เฟลิซิตี โจนส์ ที่บทเหมือนมาผ่าน ๆ ไม่ได้มีมุมดราม่า แต่แสดงให้เห็นถึงวงการหนังสือพิมพ์ที่หมกมุ่นกับความจริงของข่าวจนลืมมองโลกความเป็นจริง และความสัมพันธ์กับคนรอบ ๆ ที่เธอก็แสดงได้เสมอตัวตามบท ไม่มีอะไรพิเศษ คัลลัม เทอร์เนอร์ เขาแสดงให้เห็นถึงผู้ชายที่เปี่ยมความรักและพร้อมแลกทุกอย่างเพื่อผู้หญิงที่เขารัก ฉากที่เขาเสียใจแต่ไม่มีน้ำตาคือสุดยอดจริง ๆ แต่ที่ขาดไม่ได้คงเป็น โจ อัลวิน ที่แม้บทลอว์เรนซ์ของเขาจะน้อย แต่พอออกมาทีรังสีของความร้ายและความเห็นแก่ตัวก็แผ่ออกมา เขาเข้าฉากกับเชลีนและแทบจะสูสีกับเธอ แม้ว่าบทของเขาจะไม่ได้มีพลังพอเท่ากับตัวละครเอกอีกสองคน แต่ออกมาทีก็คือขโมยซีนได้เลยทีเดียว ที่น่าเสียดายคือบทของ นาภา ริซวาน ที่บทดูจะไม่มีความสัมพันธ์กับตัวละครหลัก นอกจากพาไปเจอจดหมายแล้วก็ตกหลุมรักแบบผ่าน ๆ แล้วก็รักกันง่าย ๆ การแสดงก็พอ ๆ กับคนอื่น ๆ ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นหรือดูเป็นตัวเอกชายที่สำคัญอะไรกับเรื่อง

สรุป The Last Letter from Your Lover

ถือเป็นหนังรักที่ดูผ่าน ๆ ได้สไตล์เน็ตฟลิกซ์ ด้วยนักแสดงชั้นนำมากมาย แม้องค์ประกอบของหนังจะดูธรรมดา ตัวละครที่ขาดมิติ บทที่ค่อนข้างซ้ำซากที่เหมือนยกหนังสือมาทั้งดุ้น แต่ตัดบางส่วนออก มันก็ยังมีส่วนที่ยังพอดึงดูดให้ชมได้จนจบก็คือพลังของนักแสดงและอดีตที่ดูหวานหอมแม้ว่ามันจะเป็นความสัมพันธ์ผิดศีลธรรม งานภาพที่สวยและโปรดักชั่นที่ดูดี   ในขณะที่ช่วงเวลาเรื่องในปัจจุบันเป็นช่วงที่น่าเบื่อที่สุดด้วยความสัมพันธ์ที่ไม่มีอะไรน่าสนใจและง่ายดายเกินไป มันอาจจะไม่ใช่หนังรักโรแมนติกที่จะทำให้ทุกคนร้องไห้หรือซาบซึ้ง แต่อย่างน้อยมันก็เป็นหนังรักอบอุ่นหัวใจที่ดูได้ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์นะครับ

ชมได้แล้ววันนี้ใน เน็ตฟลิกซ์ 

  • ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจในแวดวงเกม รีวิวภาพยนตร์ ซีรีส์ และ อนิเมะ ได้ ที่นี่
  • ติดตามผลงานของผม Thousand Mar ได้ ที่นี่
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!