The Princess Switch 3: Romancing The Star
สรุป
ภาคสามที่ยกระดับแฟรนไชน์หนังเจ้าหญิงสลับตัวคริสต์มาสให้เป็นหนังจารกรรมแบบสายลับที่ดูได้แบบเพลิน ๆ และขยายจักรวาลให้กว้างมากขึ้น แม้จะไม่ได้ลงตัวกับคอนเซปต์เรื่อง เพิ่มด้วยดราม่าของตัวละครร้ายในภาคก่อนที่เป็นปมสำคัญของเรื่อง และการแสดงของวาเนสซ่า ฮัดเจนท์ที่ยอดเยี่ยม เพลงประกอบและเนื้อเรื่องที่ยกระดับขึ้นมาให้น่าสนใจขึ้นเล็กน้อย แต่ตัวละครอื่นนั้นขาดเสน่ห์จากภาคก่อน ๆ และบทบาทแทบไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่ถ้าคนตามแฟรนไชน์นี้มาตั้งแรกก็น่าจะพอใจกับบทสรุปของเรื่องราว
Overall
6.5/10User Review
( vote)Pros
- ยกระดับจากหนังรักตลกเป็นหนังโจรกรรมชวนลุ้นและหรรษา
- การแสดงของวาเนสซ่า ฮัดเจนท์ที่เล่นเนียนกริบกว่าเดิม
- เพลงประกอบสุดไพเราะ
- มุมกล้องที่มีการพัฒนาจากภาคก่อน
- ตัวละครมีพัฒนาการที่น่าสนใจจากร้ายเป็นดีได้อย่างน่าเชื่อ
- เพิ่มปมประเด็นปัญหาครอบครัวและโทนเรื่องดราม่า
- มีพากย์ไทย
Cons
- หนังสูตรสำเร็จที่พยายามฉีกหักมุมแต่ก็ทำออกมาได้อย่างผ่าน ๆ
- บทบาทของตัวละครภาคก่อนหน้าแทบไม่มีความหมาย
- การแสดงของตัวละครอื่น ๆ ไม่น่าสนใจและขาดเสน่ห์
The Princess Switch 3: Romancing The Star (เดอะ พริ้นเซส สวิตช์ 3: ไขว่คว้าหาดาว) คือภาคที่สามของภาพยนตร์ไตรภาคเดอะ พริ้นเซส สวิตซ์ของเน็ตฟลิกซ์ แฟรนไชน์นี้อยู่ในจักรวาลเดียวกันกับแฟรนไชน์ A Christmas Prince เจ้าชายคริสต์มาส ที่ฉายจนจบไปแล้วทั้งสามภาค รวมถึงอัศวินก่อนวันคริสต์มาส ซึ่งมาจากสตูดิโอ MPCA ผู้สร้างเดียวกัน นำแสดงโดย วานเสซ่า ฮัดเจนท์ นักแสดงสาวที่ตอนนี้กำลังเป็นที่จับตามองของออสการ์ รางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม จาก tick, tick…BOOM! ที่จะฉายพรุ่งนี้ในเน็ตฟลิกซ์เช่นเดียวกัน แต่ก่อนจะได้เห็นเธอในบทบาทนั้น ขอเชิญพบกับบทเจ้าหญิงจอมสลับตัวกับสาวสามัญชนที่นึกสนุกสลับร่างสร้างรักที่ดำเนินเรื่องวุ่นมาจนถึงภาคที่สาม พร้อมแผนจารกรรมสุดป่วนในสไตล์หนังสุดฮาที่ก๊วนสามสาวพร้อมจะเสิร์ฟให้ทุกคนได้ลิ้มรสชาติใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งถ้าหากใครอยากรู้ว่าสองภาคก่อนหน้า รีวิวเป็นอย่างไร สามารถติดตามได้ ที่นี่
ตัวอย่าง The Princess Switch 3
รีวิว The Princess Switch 3
1 ปีหลังจากเหตุการณ์ในภาคที่แล้ว ฟีโอน่า แพมบรูค ต้องบำเพ็ญประโยชน์เพื่อลดหย่อนโทษในการลักพาตัว ราชินีสเตซี่ หญิงสาวสามัญชนเพื่อนรักของราชินีมากาเร็ตผู้เป็นญาติ แต่แล้วก็ได้รับข้อเสนอจากทั้งสองราชินีให้ออกตามหาดาวแห่งสันติที่ได้รับมอบจากวาติกันเพื่อใช้ประดับในคืนวันคริสต์มาส ทว่าในคืนหนึ่งได้เกิดหายไปและแทบหาเบาะแสเชื่อมโยงคนร้ายไม่ได้ ทำให้ทั้งสองราชินีสาวจอมสลับต้องใช้ตัวช่วยแบบร้าย ๆ เริ่ด ๆ อย่างเธอมาเป็นผู้ช่วย ในการปล้นเอาดาวสันติกลับคืนมา ทำให้ฟีโอน่านำพาสมุนของเธอทั้งสองคนออกตามหาและสืบคดีว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง จนฟีโอน่าได้พบกับ ปีเตอร์ ชายหนุ่มปริศนาถ่านไฟรักและเพื่อนสมัยเด็กที่ห่างเหินกับเธอกับปมในใจที่เธอไม่เคยเปิดให้ใครได้เข้ามาทำให้หัวใจเธอหวั่นไหวซะงั้น เอาล่ะสิ สามสาวที่ใบหน้าเหมือนกันราวกับฝาแฝดจะสามารถตามหาดาวแห่งสันติได้ทันก่อนวันคริสต์มาสจะมาถึงได้มั้ยล่ะเนี่ย
เรื่องราวยังคงเป็นสไตล์การเล่าเรื่องไม่ต่างกับสองภาคก่อนหน้า ในแบบสูตรสำเร็จแบบโรแมนติกคอเมดี้ รอบนี้พ่วงมาด้วยรสชาติแบบหนังโจรกรรมที่ขยายสเกลของเรื่องราวที่เน้นผ่านตัวละครของฟีโอน่า ตัวร้ายจากภาคก่อนที่เธอยึดหนังภาคนี้เป็นของตัวเองและพาเราไปสำรวจความเริ่ดเชิ่ดและความบอบช้ำ และวางบทให้สองตัวละครหลักจากภาคที่แล้วกลายเป็นตัวละครสมทบ แม้ว่าบทจะคาดเดาง่าย ไม่ค่อยมีอะไรให้คิดมาก และทุกอย่างดูจะเป็นใจไปซะทุกอย่าง สิ่งที่ยกระดับของภาคนี้คือการเขียนบทที่ไม่ได้เน้นแค่ความรักและการสลับร่างวายป่วงที่ยังคงมีไม่ต่างกับภาคก่อน แต่ยังสอดแทรกเรื่องครอบครัวและความสัมพันธ์ ประเด็นปัญหาต่าง ๆ แบบหนังครอบครัวรับวันคริสต์มาส และบทสรุปที่รอบนี้ไม่รีบร้อนและจบปมของเรื่องได้ดีกว่าภาคก่อน ๆ มาก มีหักมุมเล็ก ๆ ให้อึ้งเล็กน้อย ผ่านตัวละครจากร้ายที่ค่อย ๆ แสดงด้านดีและความสามารถของตัวเองในการทำให้เราเข้าใจตัวละครนี้และลุ้นไปกับความรักของเธอว่าเธอจะลงเอยกับใคร
ตัวละครของเรื่องในภาคนี้จะถูกปรับใหม่ไม่ใช่สองสาวตัวหลักที่เราคุ้นเคยอย่างสเตซี่และมากาเร็ตที่บุคลิกเราคงรู้จักกันดีถ้าหากได้ดูภาคก่อนหน้า แต่จะเป็น ฟีโอน่า ถือเป็นตัวละครที่ถูกยกระดับจากการเป็นตัวร้ายที่ใครก็คงโกรธไม่ลงแม้จะทำตัวร้าย ๆ ก็มีมุมอ่อนไหว มุมสับสน และดราม่าทางอารมณ์ที่มากกว่าตัวละครไหน ๆ พร้อมกับตัวละครใหม่อย่างปีเตอร์ ชายหนุ่มปริศนาที่กุมความลับและความรักของเธอไว้ด้วยเสน่ห์มาดกวน และความอ่อนโยนและตามเกมเธอทันซึ่งกลายเป็นกุญแจสำคัญของเรื่องราวคู่กับเธอ ในขณะที่ผู้ชายสองคนอย่างเควินและเจ้าชายวินแฮมที่บทภาคนี้แทบไม่มีอะไรนอกจากสนับสนุนทั้งสามสาว รวมไปถึงแมนดี้และเร็กจี้ สมุนของฟีโอน่าที่คอยเป็นตัวตลกให้หัวเราะตลอดเวลาก็มีบทบาทเพิ่มเข้ามาเล็กน้อย และยังมีตัวร้ายที่เรียกได้ว่าเป็นอาชญากรโฉดของจักรวาลนี้อย่าง ฮันเตอร์ ที่เป็นชายผู้ร่ำรวย ที่มีบุคลิกดาด ๆ น่าเกรงขาม และหลงใหลในตัวฟีโอน่า ซึ่งก็ไม่มีอะไรให้พูดถึงมากเท่าไหร่ ในขณะที่ตัวละครโอลิเวีย ลูกสาวของเควินที่อยู่มาตลอด มีบทบาทเพียงเล็กน้อย แต่เธอโตขึ้นมากและยังสนับสนุนความรักของเควินและราชินีมากาเร็ตเสมอ
ปมภาคนี้จะไม่ใช่เรื่องของความแตกต่างในความสัมพันธ์ แต่จะเป็นเรื่องของปัญหาบอบช้ำทางใจของครอบครัว การให้อภัยคนที่ทำผิดในการกลับตัว เหมาะสมกับวันคริสต์มาส การถูกทอดทิ้งและการเลี้ยงดูที่ผิดพลาดนั้นทำให้คนเติบโตมาอย่างมีปัญหาและต้องการความรักเอาใจใส่ แต่บางครั้งเราก็เลือกที่จะเสแสร้งเข้มแข็งจนกลายเป็นนิสัยและหนีออกจากปัญหาทุกครั้งที่ผมเจอ เราควรจะรู้จักเปิดใจให้อภัย เพราะเราไม่รู้ว่าเรามีเวลาเหลือเท่าไหร่ที่จะใช้ชีวิตกับคนที่รักหรือคนที่แคร์ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว คนรัก หรือแม้แต่การเชื่อใจและสนับสนุนกันและกันของคู่รักที่ไม่ต้องทำอะไรแม้จะมีปัญหาแค่พูดคุยปรึกษาหารือกันก็จะสามารถช่วยกันหาทางได้ หรือบางครั้งเราไม่จำเป็นต้องไขว่คว้ามองหาใคร หรือดวงดาวที่ห่างออกไป เพราะคนที่ใช่นั้นอาจจะอยู่ใกล้ตัวกว่าที่เราคิด เหมือนที่ฟีโอน่านั้นปิดกั้นตัวเองและเนื้อแท้เธอแค่ต้องการเรียกร้องความสนใจจากคนที่เธอรัก แต่สุดท้ายเธอก็ต้องผิดหวังและเสียใจจนหลงทางไปบ้าง
ในส่วนของนักแสดง วาเนสซ่า ฮัดเจนท์ เธอสามารถแบกบทสามหญิงที่แตกต่างกันสุดขั้วและควงคู่กับผู้ชายสองคนไม่พอ เธอยังแสดงฉากดราม่าของฟีโอน่าที่ทำให้เราเห็นว่าเธอเป็นตัวละครหลักตัวหนึ่งที่ทำให้เราอินจนน้ำตาร่วงได้ และบุคลิกสุดเริ่ดเชิ่ดที่เล่นซ้อนทับกันกับตัวละครที่ตัวเองเล่นอีกทีอย่างแนบเนียนเรียกได้ว่า เธอคือนักแสดงมากฝีมือที่แม้หนังเน็ตฟลิกซ์อาจจะไม่เอื้อพลัง แต่เธอก็ทำได้ดีและยกระดับตัวละครในเรื่องให้น่าสนใจมากขึ้น พ่วงมาด้วยความรักหวานอมขมกับ เรมี่ ไฮ ในบทของปีเตอร์ ชายหนุ่มคนรักเก่าของฟีโอน่า บทของเขาทั้งเท่และมีเสน่ห์แบบสายลับ เจ้าเล่ห์ในแบบที่น่าสนใจกว่าตัวเอกชายก่อนหน้า เพราะเขาไม่ได้ดีและบื้อ แต่กลับสามารถตอกกลับฟีโอน่าที่มีแผนการลับได้เสมอ เคมีของเขาเข้ากันได้ดีกับวาเนสซ่า มากกว่าสองคนก่อนหน้าซะอีก เพราะสองตัวละครชายหลักในภาคนี้อยากราชาวินแฮมกับเควินนั้น มาแค่มุกตลกไม่ได้โชว์อะไรมากเท่าไหร่ แถมตัวละครอื่น ๆ ก็บทน้อยจนน่าใจหายและการแสดงของนักแสดงคนอื่น ๆ ก็ตามมาตรฐานแต่ขาดเสน่ห์แทบไม่เป็นธรรมชาติ ส่วนเพลงประกอบรอบนี้ก็ไพเราะและเข้ากับสถานการณ์ เช่นเดียวกับมุมกล้องที่รอบนี้ดูพัฒนาขึ้นบ้างในการเล่นมุมภาพระหว่างตัวละครที่แนบเนียนกว่าภาคก่อน มีฉากที่ตัดสลับอย่างลงตัวระหว่างฉากระทึกและฉากเต้นรำ โดยสิ่งที่น่าสังเกตของเฟรนไชน์นี้ยังคงมีอยู่ นั่นคือชายชราปริศนาที่ปรากฏตัว ในฉากที่ไม่สำคัญแต่ถ้าใครตามจักรวาลหรือดูสองภาคก่อนหน้าจะต้องร้องอ๋อทันที ทำให้พอจะมองผ่านความง่าย เพราะแท้จริงมันคือแฟนตาซีที่ชีวิตจริงไม่น่าจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังมีอีสเตอร์เอ้กสำหรับคนที่ติดตามแฟรนไชน์ เจ้าชายคริสต์มาส ให้ได้หายคิดถึงด้วย
The Princess Switch 3: Romancing The Star อาจจสามารถยกระดับเรื่องราวโรแมนติกคอเมดี้ผสมกับโจรกรรมได้อย่างแนบเนียน บวกกับอารมณ์ดราม่าน้ำตาร่วงและเสน่ห์ของตัวละครตัวละครฟีโอน่าที่ครองทั้งเรื่อง ด้วยพล็อตสุดสำเร็จที่ไม่ต้องจริงจังอะไรมากมาย แต่ตัวละครอื่นนั้นกลับไร้ชีวิตชีวาและมีบทบาทน้อยอย่างน่าใจหาย ซึ่งผมผิดหวังเล็กน้อย ทำให้มันเป็นหนังที่ทำออกมาเพื่อเอาใจคนชอบการแสดงของวาเนสซ่า ฮัดเจนท์กับภาพยนตร์แฟรนไชน์เป็นภาพยนตร์ที่ดูเพลิน ๆ ได้ในวันคริสต์มาส ก็หากชอบหนังแฟรนไชน์นี้ก็ไม่ควรพลาด แต่ส่วนตัวมันก็ยังเป็นหนังที่ดูได้เพลิน ๆ ไม่ต้องคาดหวังอะไรนอกจากความสนุกและความหรรษาสไตล์เน็ตฟลิกซ์เหมาะแก่การรับชมในวันหยุดครับ
ชมได้แล้ววันนี้ใน เน็ตฟลิกซ์